ก่อนจะเข้าเรื่องที่จะเขียนวันนี้ ต้องกราบขอบคุณทุกท่านที่เป็นกำลังใจแก่เราทั้ง 4 คน และสัญญาว่าเราจะจับมือกันเดินไปข้างหน้า โดยไม่หวาดหวั่นต่อภัยอันตรายทั้งปวงอันพึงมี จนกว่าภากิจการสร้างสรรค์ประชาธิปไตย จะเสร็จสิ้น จนกว่าเผด็จการตัวสุดท้ายจะดับดิ้นสิ้น ลมหายใจไปตรงหน้า
ต้องบอกว่าเหนื่อยมาก และเหนื่อยเหลือเกินกับการแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าให้รอดพ้นจากการถูกโจมตี ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการโจมตีที่รุนแรงและหนักหน่วงที่สุด เท่าที่เราเคยเจอมา ด้วยวิธีการที่เราคาดไม่ถึง ว่าจะมีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้ บอกได้แต่เพียงว่าในแวดวงโลกไซเบอร์ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ต่างพากันส่ายหัวและทำท่ารังเกียจมากเมื่อได้รู้ว่าผู้มีอำนาจรัฐในประเทศไทย ใช้วิธีการใดจัดการกับ Hi-thaksin เนื่องจากเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้อื่นซึ่งไม่เกี่ยวข้องเดือดร้อนไปด้วย โดยเฉพาะผู้ใช้อินเตอร์เนตในประเทศที่เราฝากเซิฟเวอร์ไว้
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา Hi-thaksin จึงมีอาการติดๆ ดับๆ บางวันดูได้ตอนเช้า ตอนเย็นดูไม่ได้ บางวันดูแต่ตอนดึกๆ ตอนเช้าถึงเย็นดูไม่ได้ ซึ่งเป็นไปตามเป้าประสงค์ของผู้กระทำการ ที่มุ่งสร้างความรำคาญใจแก่ผู้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากเวปไซต์นี้
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทีมงานของเรา ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่สนใจว่าใครจะคิดร้ายกับเราอย่างไร หากจะมีที่หายหน้าหายตาไปบ้าง ก็คือผม นายประดาบ นี่ล่ะ ที่ต้องใช้เวลาเกือบทั้งหมดประสานงานกับผู้ดูแลระบบของเราในต่างประเทศ เพื่อสร้างระบบป้องกันการถูกโจมตีขึ้นมาเพิ่มเติม และจากการทดสอบระบบได้ระยะหนึ่งแล้ว จนถึงขณะนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่า เราจะกลับมาพบกันเหมือนเดิมได้แล้ว แม้อาจจะต้องหายไปอีก แต่ก็คงไม่นานเหมือนครั้งล่าสุดที่ผ่านมา
แจ้งข่าวเรื่องราวส่วนตัวจบแล้ว ก็ อยากจะชี้แจงแถลงไขสักเล็กน้อย ถึงกรณีคลิปวิดีโอ ที่เป็นต้นเหตุให้ สดศรี สัตยธรรม สั่งปิดเวปไซต์ Hi-Thaksin ซึ่งที่จริงแล้ว ไม่ใช่ฝีมือของผม หากแต่เป็นน้องสาวคนเก่งในทีมงานคิดและทำขึ้นมา ด้วยอารมณ์ประชดประชัน แกมขบขัน มากกว่าที่จะนำเสนอแบบซีเรียสจริงจัง แต่กลับปรากฎว่าผู้ถูกพาดพิง ไม่รับมุก และไม่มีอารมณ์ขันด้วยเลย จึงทำให้เกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต
หลังจากเป็นข่าวใหญ่ข่าวดัง ผมก็มานั่งดูอีกหลายๆ เที่ยว ยิ่งดูก็ยิ่งชัด ยิ่งดูก็ยิ่งจริง ยิ่งดูก็ยิ่งใช่ จึงไม่เข้าใจว่าคนเหล่านี้ทำไมต้องโกรธด้วยเมื่อมีผู้เปิดเผยความจริงอีกด้านหนึ่งของตนเอง
โดยเฉพาะ นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ผู้ก่อตั้งพรรคเพื่อแผ่นดิน รวมไปถึง นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่กำลังรอกินส้มหล่น คนอยากเป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่ได้ดูสารรูปตัวเองว่าแม้แต่คิดก็ผิดแล้ว แค่จัดงานไทยพาวิลเลี่ยน ในงานเวิล์ดเอ็กซ์โป ที่ญี่ปุ่น เมื่อ 3 ปีก่อน ยังทำให้ประเทศไทยเสียหน้าในเวทีโลก ไม่พอ ยังจะมาอาสาเป็นผู้นำประเทศไทยในเวทีโลก อีก คิดได้ไงหนอพ่อคนนี้
กรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประขาธิปัตย์ ผมยืนยันได้เลยว่า คลิปวิดีโอที่นำมาเสนอ ไม่ผิดไปจากความจริงแม้แต่น้อย หากจะผิด ก็ต้องผิดตรงที่ให้ความจริงน้อยเกินไป เพราะนายอภิสิทธิ์ ไม่ได้สมคบ วางแผนร่วมกันกับกลุ่มพันธมิตร ของสนธิ ลิ้มทองกุล เท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปสู่คณะรัฐประหาร อีกด้วย
เรียกได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ มีส่วนร่วมกับสนธิ ลิ้มทองกุล และ คมช. ในการก่อวิกฤติประเทศไทยขึ้นมาในรอบ 2 ปีนี้ และทำท่าว่าจะลุกลามจนยากจะเยียวยาได้ในปีหน้า ซึ่งทุกสำนักเศรษฐกิจทั้งไทยและเทศ บอกว่า จะเลวร้ายกว่าปีนี้ และปีที่ผ่านไป
อันที่จริง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ควรจะต้องย้อนกลับดูตัวเองก่อนว่า เป็นจริงดังที่ถูกพาดพิงถึงหรือไม่
เลือก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ สนธิ ลิ้มทองกุล ทุกคะแนนที่ได้จะสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ สนธิ ลิ้ม ผู้นำขบวนการโค่นล้มอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
มีข้อความใดผิด มีข้อความใดใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ หรือพรรคประชาธิปัตย์ มีข้อความใดเข้าข่ายหลอกลวงประชาชน
นายอภิสิทธิ์ ตั้งสติให้ดี แล้วย้อนกลับไปดูพฤติกรรมของตัวเอง และพรรคประชาธิปัตย์ แล้วนำมาพิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรม ก็จะได้รู้ว่าความระยำที่พวกตนทำไว้ ไม่เกินไปกว่าที่คลิปวิดีโอ บอกไว้ ยังน้อยไปด้วยซ้ำ และจะได้รู้ว่าเพราะอะไรสื่อมวลชนทั่วไป จึงนำถ้อยคำเหล่านี้ไปนำเสนอซ้ำๆ หลายเที่ยว หลายครั้งหลายหน แบบมีชั้นเชิง คือ เสนอไปก็ตำหนิ Hi-Thaksin ไป แต่เท่ากับย้ำให้ประชาชนที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงเวปไซต์ ได้รู้ว่าเลือกพรรคประชาธิปัตย์ แล้วจะได้อะไรเป็นของแถม
ในฐานะตัวแทนทีมงาน Hi-Thaksin ประดาบขอน้อมรับคำตำหนิจากทุกท่านไว้แต่เพียงผู้เดียว และขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันนำเสนอข้อความในคลิปวีดีโอไปยังประชาชนทั่วประ เทศ ให้ได้ฉุกคิดก่อนจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ หรือให้คะแนนแก่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าจะต้องเจออะไร และใคร หลังการเลือกตั้ง หากพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นรัฐบาล
ลองไล่เรียงพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ กันดูว่า ทำไม เลือกอภิสิทธิ์ แล้วจึงได้สนธิ ลิ้มทองกุล
รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร กำเนิดขึ้นครั้งแรกที่สวนลุมพินี โดยการสนับสนุนสถานที่ ไฟฟ้า และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างครบครันจาก นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมทั้งจัดหาผู้ฟังมาร่วมรายการเพื่อให้ดูสมจริงสมจังว่า มีประชาชนสนใจติดตามรับฟังการชำแหละความเลวร้ายของรัฐบาลทักษิณ จำนวนมาก ด้วยการสั่งการให้เจ้าหน้าที่เทศกิจ และพนักงานทำความสะอาด ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาฟัง ทุกเย็นวันศุกร์
หากจะบอกว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้จุดเทียนแห่งปัญญา นายอภิรักษ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ก็คือ ผู้ใช้มือป้องลมกันเปลวไฟที่แท่งเทียนดับ และเป็นผู้ที่คอยอำนวยความสะดวกด้วยความยินดียิ่ง จนกลายเป็นว่า สวนลุมพินี ตกเป็นสมบัติส่วนตัวของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ทุกเย็นวันศุกร์ ที่ใครจะมาจัดกิจกรรมใดๆ แข่งขัน หรือแย่งความสนใจของประชาชนไปอีกไม่ได้
นอกจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ยังไม่ปรากฎว่าจะมีใครได้สิทธิพิเศษในการใช้สวนลุมพินีเป็นเวทีจัดการอภิปรายทางการเมืองและปลุกระดมมวลชน อีกเลย
ไม่ใช่เพียงสวนลุมพินี เมื่อนายสนธิ เคลื่อนทัพสมาชิกพันธมิตร ออกมาปักหลักบนท้องถนน นานนับเดือน นายอภิรักษ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ก็ให้บริการอำนวยความสะดวกแก่ผู้นำม็อบ และผู้ร่วมชุมนุม อย่างครบครัน ไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย ราวกับว่าเกรงประชาชนจะไม่ได้รับความสะดวกในการมาร่วมชุมนุม แล้วจะไม่มาอีก
การยึดสนามหลวงเป็นเวทีปลุกระดมประชาชนขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร นายสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตร ก็ได้สิทธิพิเศษในการใช้พื้นที่ โดยไม่ต้องขออนุญาตเช่นผู้อื่น ด้วยการประกาศวรรทองเพียงวรรคเดียวว่านี่คือ “อารยะขัดขืน”
นายสนธิ และพันธมิตร จะใช้สนามหลวง และท้องถนนที่ยึดมา กระทำการผิดกฎหมาย ขัดศีลธรรมอันดีของบ้านเมืองอย่างใด ก็ทำได้ตามอำเภอใจ จะนำขบวนประชาชนเดินไปทิศใด ทางใด ได้ทั้งนั้น แม้แต่การปิดถนนสายเศรษฐกิจหลักของกรุงเทพ ที่บริเวณสยามสแควร์ ปิดห้างสยามพารากอน ก็ทำได้ ราวกับว่าเป็นเจ้าของกรุงเทพมหานคร โดยที่นายอภิรักษ์ ในฐานะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้แต่เอามือซุกหีบ รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง ไม่ดำเนินการอะไรทั้งสิ้น เพราะการมีประโยชน์ทางการเมืองร่วมกันระหว่างนายสนธิ กับ พรรคประชาธิปัตย์ นั่นเอง
การโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร คือ ผลประโยชน์ร่วมกันของ นายสนธิ กับ พรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ก่อนที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล จะเริ่มทำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ทุกเย็นวันศุกร์ ที่สวนลุมพินี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้นำสมาชิกคนสำคัญของพรรค ไปเข้าพบ คารวะ และให้กำลังใจนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และบอกให้นายสนธิ เดินหน้าสู้ต่อไป พรรคประชาธิปัตย์ เป็นกำลังใจให้
การพบกันวันนั้น บรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น และร่วมมือร่วมใจกันอย่างยิ่ง ดังภาพถ่ายที่ปรากฎในเวปไซต์ต่างๆ เป็นภาพนายสนธิตบหลังตบไหล่ขอบอกขอบใจนายอภิสิทธิ์ ที่หยิบยื่นกำลังใจมาให้ ที่มีชื่อภาพว่า “ดีมากไอ้น้อง”
ไม่เพียงแต่นายอภิสิทธิ์ ที่ไปให้กำลังใจ และคารวะนายสนธิ ถึงสำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ สมาชิกคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายอลงกรณ์ พลบุตร นายเกียรติ สิทธิอมร คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ยังได้เข้าร่วมกับการชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างเปิดเผย และขึ้นเวทีปราศรัยขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย
ว่ากันว่า ทุนในการจัดการชุมนุมของพันธมิตร ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่ก็ไหลมาจากแกนนำคนสำคัญบางคนของพรรคประชาธิปัตย์ นี้เอง จึงทำให้การชุมนุมของพันธมิตรดำเนินมาได้อย่างยาวนานต่อเนื่องกันเป็นแรมปี และยังรวมไปถึงการจัดผู้ฟังทั้งในกรุงเทพและต่างจัง หวัด เข้ามาร่วมสมทบเพื่อเพิ่มยอดจำนวนผู้ชุมนุมในนัดสำคัญๆ เป็นประจำ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากชุมชนในกรุงเทพมหานคร และ ภาคใต้
นักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ต่างพาเหรดเข้าร่วมรายการสนทนาการเมือง ของสถานีโทรทัศน์ ASTV ไม่เว้นแต่ละวัน บางวันมีหลายรายการ ซึ่งทุกรายการล้วนแต่ด่า ไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ทั้งนั้น และพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของสถานี โทรทัศน์แห่งนี้ ด้วยการออกสปอตประชาสัมพันธ์พรรคประชาธิปัตย์ อย่างสม่ำเสมอ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ทางตรง ก็คือ ใช้เงินอุดหนุนพรรคการเมืองที่ได้จากกกต. จ่ายค่าโฆษณาให้แก่ ASTV
ทางอ้อม ก็คือ แนะนำให้บริษัทธุรกิจต่างๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์ สนิทสนมเป็นพิเศษ เช่น ยูคอม ที่มี ดร.ประกอบ จิรกิตติ เป็นผู้บริหาร และ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ซื้อโฆษณาใน ASTV เป็นกรณีพิเศษ
มืออาชีพในการจัดการชุมนุม ประเมินว่าแต่ละนัดของพันธมิตร ที่เรียกระดมประชาชนมาชุมนุกันที่สนามหลวงและลานพระราชวังดุสิต ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 30-40 ล้านบาท มีการตระเตรียมอาหารและน้ำ ไม่ต่ำกว่า 1 แสนชุด ในแต่ละครั้ง ยังไม่นับรวมค่าเดินทางผู้มาชุมนุมอีกคนละ 500-800 บาท แล้วแต่ว่าค้างคืนหรือไม่ หากไม่ต้องค้างคืน ก็ 500 บาท หากต้องค้างคืน ก็ 800 บาท ครั้งหนึ่งมียอดผู้ชุมนุมที่จัดมา และต้องจ่าย ประมาณ 50,000 คน
หลังการรัฐประหาร ซึ่งนายสนธิ และพรรคประชาธิปัตย์ สมประโยชน์ร่วมกัน เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และไม่สามารถกลับสู่ประเทศไทย ได้ นายอภิสิทธิ์ กับ นายสนธิ ต่างฉลองชัยชนะและความสำเร็จร่วมกัน ในงานวันเกิดของนายสนธิ โดยนายอภิสิทธิ์ ได้นำแจกันดอกไม้ขนาดใหญ่ใบงาม เข้าแสดงความยินดี และคารวะต่อนายสนธิ ในฐานะผู้มีคุณูปการต่อการเมืองไทย และพรรคประชาธิปัตย์ อย่างยิ่ง ที่ได้ขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ออกจากการเมืองไทยได้สำเร็จ เพราะเท่ากับพรรคประชาธิปัตย์ จะได้มีโอกาสชนะเลือกตั้งบ้าง
ภาพนายอภิสิทธิ์ มอบแจกันดอกไม้แก่นายสนธิ ด้วยความนอบน้อมยิ่ง คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา ของคนสองคนนี้
หลังการรัฐประหาร คนสำคัญของขบวนการพันธมิตร ที่เดินตามนายสนธิ ได้รับรางวัลกันถ้วนหน้า นายสำราญ รอดเพชร โฆษกบนเวทีพันธมิตร และเป็นลูกจ้างของนายสนธิ ได้เป็น สนช. นายประพันธ์ คูณมี เลขานุการส่วนตัวของนต.ประสงค์ สุ่นศิริ แกนนำสำคัญของพันธมิตร ได้เป็นสนช. ในฐานะที่เป็นผู้นำนายสนธิ เข้าพบ พล.อ.สนธิ ที่กองทัพ บก เพื่อเชื่อมประสานแผนการรัฐประหาร เป็นครั้งแรก
แม้ว่าสถานการณ์การเมืองหลังการรัฐประหาร แม้จะวุ่นวายอยู่บ้าง เพราะผลประโยชน์ที่ได้มาจากการปล้นอำนาจ แบ่งสันปันส่วนกันไม่ลงตัว นายสนธิ ลิ้มทองกุล จึงออกอาการขัดอกขัดใจ และเคืองๆ คณะรัฐประหาร และรัฐบาลที่ไม่ตามใจ ไม่ให้ประโยชน์ตามที่คิดหวังไว้ ก็มีรายการกระทบกระทั่งให้กระเทือนกันอยู่หลายครั้ง แต่ระหว่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธ มิตร กับพรรคประชาธิปัตย์ ความสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างราบรื่นและลึกซึ้งมากขึ้น
เมื่อถึงวันที่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง จึงปรากฎว่า นายสำราญ รอดเพชร และ นายประพนธ์ คูณมี สองแกนนำคนสำคัญของพันธมิตร และเป็นสองคนที่เป็นมือไม้คอยรับใช้คำสั่งของนายสนธิ ได้รับการพิจารณาจากพรรคประชาธิปัตย์ ว่าสมควรเป็นผู้แทนราษฎร จึงส่งสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมๆ กัน ในเขตเดียวกัน ที่กรุงเทพมหานคร
การปรากฎชื่อนายสำราญ รอดเพชร และ นายประพันธ์ คูณมี ในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่เพียงพออีกหรือที่จะเป็นพยานหลักฐานว่า พรรคประชาธิปัตย์ กับนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตรฯ ขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เป็นพันธ มิตรทางการเมืองต่อกัน
การมีนายสำราญ รอดเพชร และ นายประพันธ์ คูณมี อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่เพียงพออีกหรือที่จะทำให้เชื่อได้ว่า หากเลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะได้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นของแถม และทุกคะแนนที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับ จะไปสร้างความยิ่งใหญ๋ให้แก่นายสนธิ ลิ้มทองกุล
ผมกล้าพูดได้เลยว่า จนถึงขณะนี้ นายสำราญ รอดเพชร และ นายประพันธ์ คูณมี เชื่อและฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล มากกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และหาก ทั้งสองคนนี้ได้เข้าไปในสภาผู้แทนราษฎร ก็จะเป็นส.ส.กลุ่มสนธิ ลิ้มทองกุล สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และจะเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง เพราะมีเครือข่ายสื่อ และเครือข่ายพันธมิตร เป็นกองหนุนอยู่นอกสภา
หากนายสำราญ และนายประพันธ์ ได้เป็นส.ส. เราก็จะได้เห็นบทบาทใหม่ของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ เครือข่ายพันธมิตร อีกบทบาทหนึ่ง อย่างแน่นอน ก็เหมือนกับที่เราได้เห็นเครือข่ายพันธมิตร ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่มีความแข็งขันอย่างยิ่งในการทำลายล้างทุกคน ทุกฝ่ายที่ขัดประโยชน์ตนเอง แม้แต่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีของเผด็จการทหาร และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคมช. ที่แต่งตั้งมาเป็นสนช. ก็ยังโดนเล่นงาน ฟ้องประจานได้ ในที่สุด
หากพิจารณากันด้วยใจที่เป็นธรรม เรียงลำดับพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน นายสำราญ รอดเพชร นายประพันธ์ คูณมี และพรรคประชาธิปัตย์ ในห้วงเวลา 2 ปีเศษที่ผ่านมา โดยมีนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นตัวขับเคลื่อนให้ทุกคนทุกฝ่ายในซีกข้างนี้ได้รับประโยชน์ตามต้องการแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าคลิปวิดีโอเลือกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ใช่เรื่องเกินจริง หรือใส่ร้ายกัน
หากแต่ไม่น่าเชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะวิ่งหนีเงาอดีตของตนเอง ที่เคยไปร่วมกระทำบางสิ่งบางอย่างกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล มาอย่างแนบแน่นและยาวนาน จนสำเร็จสมประโยชน์ด้วยกัน
ไม่น่าเชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะไม่ยอมรับความจริง ที่ตนได้ทำไปแล้ว และ พยานหลักฐานที่นำมาแสดง ก็ล้วนแต่เป็นการกระทำของตนทั้งสิ้น
นักการเมืองคนหนึ่งเมื่อไม่ยอมรับความจริงในสิ่งที่ตนได้กระทำไปแล้ว ก็อย่าได้หวังว่าเขาจะยอมรับความจริงในเรื่องใดๆ ได้อีกเลย
คงเป็นแบบนี้กระมัง ที่สโลแกน “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น” จึงเป็นสโลแกนของพรรคประชาธิปัตย์ มาอย่างยาวนานและยั่งยืน
วันที่ สนธิ ลิ้มทองกุล มีประโยชน์ และเป็นจุดสนใจของประชาชน ก็เดินเข้าหา และผูกมิตร
วันนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล หมดประโยชน์ และเป็นจุดรวมความเกลียดชังของประชาชน ในฐานะผู้ก่อวิกฤติชาติ ก็เดินหนี ทิ้งห่าง กลัวจะพลอยติดกลิ่นเหม็นมาด้วย
คนอย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เพียงเท่านี้เอง
ใครอยากได้คนแบบนี้เป็นผู้นำ ก็อย่าได้ลังเล แต่เลือกแล้ว ต้องยอมรับให้ได้ว่าต่อจากนี้ไป เราจะต้องอยู่ในสังคมที่มีค่านิยม “มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ไม่ร่วมต้าน”
โดย ประดาบ จาก http://www.hi-thaksin.org/home.php