กรณีเอกสารลับ มีพยานหลักฐานเป็นเอกสารลับของ คมช. ลงวันที่มีลายเซ็นผู้จัดทำ ผู้กลั่นกรอง ผู้สั่งการ ผู้อนุมัติ และผู้รับปฏิบัติ ครบถ้วน มีพยานบุคคลเป็นข้าราชการทหารสังกัด คมช. ออกมายอมรับสารภาพหมดแล้ว มีคณะกรรมการตรวจสอบเอกสารลับ สอบสวนสรุปผลเป็นมติไว้เรียบร้อย ครบถ้วนทุกขั้นตอน ว่า คมช. ไม่เป็นกลาง และ กกต. ต้องดำเนินการกับนายทหารผู้ลงนามในเอกสารลับ ตามกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 57 ในฐานะที่ กกต. เป็นเจ้าพนักงานรักษากฎหมาย
แต่ปรากฏว่า กกต. กลับตั้งข้อสังเกตและหาเหตุหาช่องว่างของกฎหมายหลายต่อหลายฉบับ มานำเสนอเพื่อจะชี้ว่า มติของคณะกรรมการชุด นาย
ไม่น่าเชื่อว่า กกต. จะไม่เชื่อถือผลการสอบสวนและมติของคณะกรรมการที่ตัวเองแต่งตั้งขึ้นมา มิหนำซ้ำยังจะหาเหตุผล หาหลักฐานใหม่ๆ มาคัดค้าน ทำลายความน่าเชื่อถืออีกด้วย
การเลื่อนประชุม เพราะ พล.อ.
แต่กรณีวีซีดีทักษิณเชียร์พรรคพลังประชาชน ที่จนถึงเวลานี้ที่ผมเขียนต้นฉบับ ก็ยังไม่รู้ว่าใครทำ ใครปั๊ม ใครแจก ทำเมื่อไร แจกวันไหน แจกที่ไหน แจกให้ใคร ยังไม่มีข้อมูล และหลักฐานปรากฏแม้แต่เพียงเรื่องเดียว
กกต. กลับแสดงความเห็นกันอย่างขยันขันแข็ง ว่าน่าจะมีความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ทั้งในฐานะอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนที่ถูกตัดสิทธิ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมือง การเลือกตั้ง และในฐานะ “ผู้ใด” ที่เชียร์พรรคพลังประชาชน
ไม่เพียงแต่แสดงความเห็นแบบชี้นำ ว่าการกระทำครั้งนี้ผิดแน่ๆ ยังมีการแจ้งโทษไว้เสร็จสรรพว่า ถึงกับยุบพรรคพลังประชาชน และจับทักษิณติดคุกได้
ไม่ว่า นาย
ที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็คือ คำสัมภาษณ์ของ กกต. ที่ชื่อ นาย
“เรื่องดังกล่าวไม่น่าจะใช่ประเด็นหลักที่ต้องดู เพราะการทำผิดกฎหมายต้องนับแต่วันที่มีพระราชกฤษฎีกา หากอ้างเช่นนี้เหมือนกับอ้างว่าทำมาแล้วสิบปีจะทำอย่างไร ปัญหาคือจะพูดตอนไหนก็ตาม แต่นำมาใช้หาเสียงในช่วงนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ กกต. ก็ต้องพิจารณาว่าการกระทำอย่างนี้ ทำให้การเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์หรือไม่
ต้องพิจารณาด้วยว่า การกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายด้วยหรือไม่ หากผิดก็จะต้องรวบรวมหลักฐานเพื่อส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีอาญาต่อไป ต้องพิจารณาว่าทางพรรคมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ หากรู้เห็นด้วยก็อาจจะต้องมีความผิดด้วย
ต้องขอเวลาให้ กกต. พิจารณาเรื่องวีซีดีของ พ.ต.ท.
กรณีวีซีดีทักษิณนี้ แม้ว่าการกระทำจะเกิดก่อนมีพระราชกฤษฎีกา ก็ถือว่าผิด เพราะผลของการกระทำมีมาถึงหลังประกาศพระราชกฤษฎีกา และต้องทำเร็วที่สุด แต่กับกรณีเอกสารลับของ คมช. นาย
“ตามจริงเนื้อหาตามเอกสารลับของ คมช. ไม่น่ากลัว เพราะเป็นเพียงเอกสารที่เป็นแผนการ เพื่อให้ คมช. และทหาร ช่วยกันรณรงค์ให้การเลือกตั้งยุติธรรม แต่ บังเอิญ เอกสารดังกล่าวได้พาดพิงถึงพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งอาจทำให้การเลือกตั้งเกิดความไม่เป็นธรรม และบางพรรคอาจเสียเปรียบ ซึ่ง กกต. จะพิจารณาจุดนี้เป็นสำคัญ เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่ถูกทำขึ้นเพื่อบ้านเมือง เพราะ หวังดีต่อบ้านเมือง การจะวินิจฉัยว่าการกระทำของ คมช. เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันหรือไม่ จำเป็นต้องดูว่าเอกสารดังกล่าวทำขึ้นก่อนหรือหลังมีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง ซึ่ง กกต. จะพิจารณาและลงมติอีกครั้งหนึ่ง”
กรณีของเอกสารลับ คมช. นายสุเมธกลับเห็นว่าต้องพิจารณาว่าทำก่อนหรือหลังพระราชกฤษฎีกา ราวกับมีนัยที่จะบอกว่าหากทำก่อนก็ไม่ผิด ทั้งๆ ที่ผลของการกระทำยังคงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากยังไม่มีการสั่งยกเลิกคำสั่งสกัดกั้นพรรคพลังประชาชนอย่างเป็นทางการ และหลักฐานสำคัญก็คือ โครงการประชาธิปไตยสีขาว ของสำนักงานเลขาธิการ คมช. ที่ยังดำเนินการกันอยู่ในขณะนี้ และ รายการข่าวหน้าหนึ่ง ของสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 ที่มี นาย
นาย
ในขณะที่กรณีวีซีดีทักษิณยังไม่ได้เริ่มสอบสวนแม้แต่คำเดียว ยังไม่มีแม้แต่ข้อมูลสักตัวเดียวมาถึงมือ นายสุเมธกลับบอกว่าจะสรุปแล้วเสร็จได้ภายใน 3-7 วัน
ก็เพราะ กกต. พูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ แสดงความคิดเห็นแบบแก้ผ้าล่อนจ้อน ให้ประชาชนเห็นว่ามี 2 มาตรฐานอย่างนี้นี่เอง
จึงไม่ต้องถามว่า ทำไมประชาชนบางส่วนจึงมอง กกต. ด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ