ในที่สุด คมช. ก็จำนนด้วยหลักฐาน ไม่สามารถเอาตัวออกจากมุมที่ถูก "ความจริง" ต้อนเข้ามุมได้ และไม่สามารถโกหกต่อไปได้อีก
แต่กว่าจะยอมรับว่าเอกสารลับคือเอกสารจริง ก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์คำโกหกของทหารระดับผู้บัญชาการกองทัพนานกว่า 1 เดือน
จึงเป็นเวลานานกว่า 1 เดือน ที่กองทัพต้องมัวหมอง และเสื่อมเกียรติศักดิ์ เพราะมีนายทหารที่ริรักเป็นคนโกหก มากกว่าคนถือสัตย์ยิ่งชีพ
เริ่มจาก ไม่มีเอกสาร เอกสารปลอม เอกสารมีความแตกต่างกัน ถ้อยคำในเอกสารไม่ตรงกับฉบับจริงที่มีอยู่ แต่สุดท้ายก็มาลงเอยที่ เอกสารฉบับจริงของ คมช. เหมือนกับสำเนาเอกสารที่สื่อมวลชนนำเสนอไปแล้วทั้งหมด ไม่ต้องพิสูจน์อะไรกันอีกแล้ว เพราะดูด้วยตาเปล่าก็รู้ได้ว่าเป็นเอกสารชุดเดียวกันทุกถ้อยคำ ทุกตัวอักษร ทุกวรรค ทุกย่อหน้า เพราะ หนีความจริงไปไม่พ้น
บอกตรงๆ กรณีเอกสารลับฉบับสกัดกั้นพรรคพลังประชาชนนี้ ผมไม่ได้คาดหวังแล้วว่า กกต. จะมีมติอย่างไร และจะดำเนินการอย่างไร หรือไม่ดำเนินการอย่างไร ก็แล้วแต่ กกต. จะแสดงตัวตนและธาตุแท้ของตัวเองต่อหน้าประชาชนทั้งประเทศให้ได้เห็น ให้ได้รู้ว่า กกต. แต่ละท่านพอจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ประชาชนจะฝากความหวังไว้ได้หรือไม่ พอจะเป็นกรรมการกลางที่ประชาชนเชื่อถือได้หรือไม่ว่า ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ถูกครอบงำจากอำนาจภายนอกหรืออิทธิพลใดๆ
ไม่ว่า กกต. จะตัดสินอย่างไร ผมไม่ได้สนใจเลย แต่ผมสนใจการพิจารณาของประชาชนมากกว่า และอยากจะเสนอแนะนำว่าการพิจารณาเอกสารลับฉบับนี้ เราต้องย้อนไปพิจารณาเจตนาของ คมช. ตั้งแต่แรกเริ่มต้นด้วยการวางแผนสกัดกั้นพรรคพลังประชาชน แทรกแซงการเลือกตั้งอย่างเป็นขบวนการ โดยใช้กำลังพลและเครื่องมือของกองทัพปฏิบัติการตามแผน และมีการจัดทำเอกสารแผนงานกันอย่างเป็นระบบ โดยผ่านการกลั่นกรอง การอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพ และ คมช. อย่างเป็นขั้นตอน
จากนั้น เมื่อถูกจับได้ไล่ทัน ถูกแฉ ถูกเปิดโปงว่ามีแผนการอย่างไร คมช. ทุกคนก็ปฏิเสธและโกหกประชาชนทั้งประเทศมาโดยตลอด การให้ข้อมูลแก่คณะกรรมการตรวจสอบของ กกต. ก็ยัง ให้ข้อมูลเท็จ ว่าในเอกสารที่สื่อนำเสนอมีถ้อยคำในเอกสารไม่ตรงกับเอกสารจริงที่ คมช. มีอยู่ ดังที่ นายสุพล ยุติธาดา ให้สัมภาษณ์ว่า เอกสารตรงกัน 90% และมีความคลาดเคลื่อนบางส่วน ซึ่งก็เป็นเพราะ คมช. ให้ข้อมูลเท็จนั่นเอง
แม้กระทั่งการยื่นหนังสือไม่ยอมรับมติของคณะกรรมการตรวจสอบเอกสารของ กกต. และขอให้กกต. เลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน ก็ยังคง โกหกว่า เอกสารที่ กกต. ได้รับ กับเอกสารฉบับจริงในมือ คมช. มีความแตกต่างกัน
แต่เมื่อถึงเวลาต้องนำเอกสารฉบับจริงมาแสดง กลับปรากฏว่า เหมือนกับเอกสารที่สื่อ ซึ่งก็คือ ประชาทรรศน์นำเสนอไปทั้งหมดทุกตัวอักษร
การที่ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ให้ข้อมูลว่ายกเลิกคำสั่งไปแล้ว ย่อมแสดงให้เห็นว่า คมช. ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ยังวางแผนกระทำการกันขึ้นมา ทั้งๆ ที่ คมช. เรียกร้องให้ผู้อื่นเคารพกฎหมาย แต่ คมช. กลับละเมิดกฎหมายเสียเอง
พฤติกรรมของ คมช. ต่อกรณีเอกสารลับนี้ แสดงให้เห็นว่า คมช. โกหก ให้ข้อมูลเท็จ หลอกลวงประชาชนมาโดยตลอด จนกระทั่งหมดทางหนีแล้ว จึงจำต้องยอมรับ ชนิดที่เรียกว่า จำนนด้วยหลักฐาน ไม่ใช่เพราะสำนึกในความผิดที่ตนเป็นผู้กระทำ
แต่ก็น่าประหลาดที่คนโกหกเช่นนี้ ยังพอจะมีเครดิตเป็นที่เชื่อถือแก่ประธาน กกต. ได้ เมื่อ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล เลขา คมช. ให้ข้อมูลว่ายกเลิกคำสั่งไปแล้วตั้งแต่มีการประกาศใช้กฎหมายเลือกตั้งฉบับใหม่ แต่ไม่มีหนังสือคำสั่งยกเลิกมาแสดงต่อ กกต. มีเพียงถ้อยคำ วาจา ก็มีน้ำหนักพอที่ประธาน กกต. บอกว่าเชื่อถือได้แล้ว
ผมถึงบอกว่า ไม่ได้คาดหวังว่า กกต. จะตัดสินอย่างไรในกรณีเอกสารลับ เพราะวันนี้ คมช. ได้ตายกลายเป็นศพไปแล้วในความคิดของประชาชนทั่วประเทศที่ติดตามข่าวนี้ จะเหลือก็แต่ กกต. นั่นล่ะ ว่าจะฆ่าตัวตายตาม คมช. ไปด้วยหรือไม่
การตัดสินของ กกต. จึงเป็นการแสดงให้เห็นสำนึก ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี ว่ามีอยู่มากน้อยเพียงใดในหัวใจของคนที่เคยเป็นผู้พิพากษา และรองอัยการสูงสุด ซึ่งจะต้องดำรงไว้ซึ่งความสุจริต เที่ยงธรรม ในการปฏิบัติหน้าที่ และการสร้างความเป็นธรรม การรักษาความยุติธรรมให้ดำรงอยู่ในสังคม เป็นที่เชื่อถือและพึ่งหวังได้ของประชาชน โดยเฉพาะในยามที่ประเทศอยู่ในภาวะไม่ปกติ และกฎหมายต้องตกอยู่ใต้กฎแห่งปืน
สำหรับ คมช. กับพฤติกรรมที่ผ่านมา ในเรื่องเอกสารลับฉบับนี้ ต้องบอกว่าพวกเขาไม่มีแล้วซึ่งสำนึก ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี ขณะนี้ในหัวสมองคิดแต่จะเอาตัวรอดได้อย่างไรจากการถูกความคิดฝันของตัวเองตามเล่นงานอยู่ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ว่าหากพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล จะดำรงชีวิตอยู่อย่างไร ทั้งคนที่ยังอยู่ในราชการ อย่าง พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก คมช. คนโกหกคนแรกในเรื่องนี้ และบรรดาแม่ทัพที่กำลังจะเป็นข้าราชการบำนาญ จะมีอะไรมาคุ้มหัว ป้องกันตัวเองได้บ้าง เมื่อหมดอำนาจวาสนาในกองทัพ
การที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยังดึงดันที่จะเป็นรองนายกรัฐมนตรี สั่งสอน อบรม ผู้อื่นให้มีความเป็นกลางในการเลือกตั้ง และใช้สิทธิเลือกตั้งด้วยความสุจริต ไม่ละเมิดกฎหมาย ทั้งๆ ที่ตัวเองทำในสิ่งที่ตรงข้ามทั้งหมด ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า หัวขบวนของ คมช. ไร้ซึ่งสำนึก ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี อย่างน่าตกใจ ว่าคนคนนี้เหตุใดจึง "ด้าน" ได้เพียงนี้ จึงไม่ต้องสงสัยว่าลูกแถวจะด้านขนาดไหน
จึงไม่ควรต้องใส่ใจกันอีกว่า คมช. จะเป็นอย่างไรนับจากวันนี้ไป
แต่ที่ต้องสนใจก็คือ นับจากวันนี้ไป กกต. จะยืนอยู่อย่างไรในหัวใจของประชาชน
///////////////////
นายกอ