คอลัมน์: ฮอตสกู๊ป
สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น ก่อให้เกิดความแตกแยกของกลุ่มคน ซึ่งหลายฝ่ายแสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์การเผชิญหน้าของประชาชนในเวลานี้
ไม่ว่าใครจะลงมือก่อนในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ระหว่างกลุ่มพันธมารและกลุ่มต่อต้านพันธมาร สิ่งหนึ่งที่นักวิชาการและคนในสังคมต้องตระหนัก ก่อนที่จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ให้ความคิดเห็นต่อสาธารณะ และมองให้เห็น “ต้นตอ” ของปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นด้วย
“ต้นตอ” ที่ว่านี้ก็คือ การชุมนุมและการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมาร ที่มีเป้าหมายคือ ต้องการโค่นล้มระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสะท้อนได้จากข้อเรียกร้อง และการปราศรัยบนเวที ที่มีลักษณะโจมตีบุคคลต่างๆ ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ และปลุกกระแสล้าหลังคลั่งชาติ พฤติกรรมและเป้าหมายเช่นนี้ ถือเป็นความรุนแรงทางโครงสร้างที่ร้ายแรงกว่าการทุบตีกันทางกายภาพ
ผลเกิดจากเหตุ จะแก้ปัญหาจึงต้องมุ่งไปแก้ที่เหตุ จึงจะคลี่คลายปมความขัดแย้งได้
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน จ.อุดรธานี ที่ผ่านมา มีสื่อสำนักหนึ่ง และมีการปล่อยข่าวบนเวทีพันธมารว่า นพ.เหวง มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏ จึงได้นำจดหมายเปิดผนึกชี้แจงข้อเท็จจริงจาก นพ.เหวง โตจิราการ ความดังนี้
เรื่อง ขอชี้แจงความเป็นจริง
เรียน กอง บ.ก. การเมืองที่นับถือ ส่งสำเนาถึง นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา
ตามที่มีข่าวในหน้าข่าว (เว็บไซต์) ของหนังสือพิมพ์มติชน ประจำวันที่ 28 กรกฎาคม 2551 โดยมีเนื้อความว่า
“นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวถึงกรณีที่ นพ.เหวง โตจิราการ ได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับชมรมคนรักอุดร กรณีปะทะกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.อุดรธานี ว่ายังไม่มีผู้ร้องเรียนกรณีพฤติกรรมของ นพ.เหวง ว่าขัดจรรยาบรรณวิชาชีพแพทย์หรือไม่ ซึ่งหากมีผู้ร้องเรียนเข้ามา ก็ต้องนำเรื่องเข้าคณะอนุกรรมการจริยธรรม เพื่อพิจารณาว่ามีความผิดหรือไม่ แม้กรณีที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่การประกอบวิชาชีพก็ตาม แต่เนื่องจากแพทย์มีหน้าที่ดูแลรักษาคนป่วย และที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีแพทย์คนใดรู้สึกดีใจที่ได้เห็นคนบาดเจ็บด้วย”
ในฐานะที่เป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรง จึงขอเรียนชี้แจงว่า
“ผมไม่ได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับชมรมคนรักอุดร กรณีปะทะกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.อุดรธานี” และ “ไม่ได้สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงในการกระทำต่อฝ่ายที่เห็นต่าง ไม่ได้สนับสนุนให้มีการตีกัน ปะทะกัน ด้วยกำลังอาวุธ” โดยเด็ดขาด
และ “ผมขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการต่อผู้ที่กระทำผิดไปตามกฎหมายบ้านเมืองอย่างเข้ม งวด เท่าเทียม และเป็นธรรม เพราะบ้านเมืองต้องมีขื่อมีแป กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์”
ตลอดชีวิตในการต่อสู้เผด็จการเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่ประมาณปี 2511 ผมก็ยึดหลักการต่อสู้ด้วยสันติวิธีมาโดยตลอด
แม้ในการต่อสู้กับเผด็จการ 19 กันยายน 2549 ในคราวนี้ ผมก็ได้ยืนหยัดหลักการ “สันติวิธี” รวมทั้งเป็นผู้จัดตั้งกลุ่ม “สันติวิธี” โดยมีหลักการ 3 ไม่ คือ ไม่โกรธ ไม่รุนแรง ไม่ตอบโต้ ให้เกิดขึ้นในการเคลื่อนไหว และยังคงดำเนินต่อเนื่องตลอดไป
การเข้าร่วมต่อสู้เผด็จการนั้น เป็นภาระหน้าที่ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกคนต้องทำ เพื่อไม่ให้ระบอบประชาธิปไตยถูกเผด็จการทำลายล้างไป
แต่ผมก็ประกอบวิชาแพทย์ด้วยความเคารพต่อวิชาชีพและคนไข้ตลอดมาและตลอดไป
หากทางแพทยสภาต้องการที่จะให้ไปชี้แจง ก็ยินดีที่จะไปชี้แจงทุกประการ
จึงขอเรียนชี้แจงมาเพื่อได้โปรดเผยแพร่ให้เข้าใจตามนี้ด้วย
ขอแสดงความนับถือ
(นายแพทย์เหวง โตจิราการ)