คอลัมน์ : ฮอตสกู๊ป
มุมมองสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรมไทยและสากล
ในงานสัมมนาโครงการส่งเสริมและพัฒนากระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 24-25 กรกฎาคม 2551 ณ โรงแรมอมารี แอร์พอร์ต โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชน แก่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมของกระทรวงยุติธรรม เกี่ยวกับหลักสิทธิมนุษยชนที่เป็นมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากลของสหประชาชาติ และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยไม่เกิดการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน จากกระบวนการสอบสวนเพื่อค้นหาความจริง
ดร.คณิต ณ นคร ประธานกรรมการการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวในการบรรยายเรื่อง “สิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม” โดยระบุว่า กระบวนการยุติธรรมไทยได้พัฒนามาจากระบบไต่สวนที่ไม่แยกอำนาจหน้าที่การ สอบสวนฟ้องร้อง กับการพิจารณา พิพากษา ออกจากกัน การตรวจสอบความจริงในระบบไต่สวนจึงมีชั้นเดียว คือ การตรวจสอบโดยศาล ในระบบไต่สวน “ผู้ถูกกล่าวหา” เป็น “กรรมในคดี” จึงขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ในขณะที่กระบวนการยุติธรรมสมัยใหม่ซึ่งเป็นระบบกล่าวหา ได้แยกอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบความจริงออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ การตรวจสอบความจริงในชั้นเจ้าพนักงาน และการตรวจสอบความจริงในชั้นศาล
โดยกฎหมายได้กำหนดให้ผู้ต้องหามีสิทธิต่างๆ ในการต่อสู้ทางคดี ซึ่งสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ วิธีพิจารณาคดีอาญาที่ดีต้องมีความเป็นเสรีนิยม มีความเป็นประชาธิปไตย และเป็นการกระทำเพื่อสังคม ให้สังคมได้รับรู้ ตระหนัก และเห็นว่ากระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ถูกต้อง อีกทั้งนัยที่สำคัญในตัวกฎหมายประกอบด้วย 2 หลักสำคัญ คือ เป็นกฎหมายที่รักษาความสงบเรียบร้อย และเป็นกฎหมายที่เป็นการคุ้มครองสิทธิ ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้ว การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนก็จะเกิดขึ้น
โดยเฉพาะการตรวจสอบความจริงที่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนในชั้นเจ้าพนักงาน จึงต้องคำนึงถึงสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาเสมอ ต้องเริ่มจากการพิจารณาว่า การกระทำดังกล่าวนั้นเป็นความผิดอาญาหรือไม่ และเป็นความผิดฐานใด พนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐานทั้งปวง เพื่อยืนยันการกระทำนั้นต่อศาล
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ บทบาทการตรวจสอบใน การออกหมายค้น และการขอหมายจับของศาล ซึ่งเป็นการพิจารณาตามหลักเกณฑ์และความจำเป็นของการขอออกหมายค้น หมายจับ ยังไม่แสดงถึงความเป็นเสรีนิยมในด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเท่าที่ควร และหลายส่วนก็ยังไม่เป็นไปตามกฎหมายเท่าที่ควร อย่างเรื่องของการขอหมายค้น หมายจับ รวมทั้งความสมบูรณ์ของการแจ้งข้อกล่าวหาซึ่งยังไม่สมบูรณ์นัก การแจ้งข้อกล่าวหาที่สมบูรณ์จะต้องแจ้งว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาคืออะไร และผิดกฎหมายอย่างไร
ตรงจุดนี้ควรพัฒนาเรื่องการเคารพสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาให้มากขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้อาชีพนายประกันและบริษัทประกันเสรีภาพที่เข้ามาหากินในขั้นตอนการขอประกันตัวของผู้ต้องหา ได้ผลประโยชน์มูลค่ามหาศาลจากการประกันเสรีภาพ ซึ่งระบบอยางนี้เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เป็นการซ้ำเติมผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นประชาชนยากจน กระทรวงยุติธรรมจึงต้องเข้าไปดูแลแก้ไข
“ตามกฎหมายกระบวนการยุติธรรมไทยในปัจจุบันสามารถคุ้มครองสิทธิมนุษยชนดีพอสมควร แต่ทางปฏิบัติยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนบ่อยครั้ง การปฏิรูปกฎหมายต้องทำพร้อมกัน 3 อย่าง คือ ปฏิรูปตัวบทกฎหมาย ปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมาย และปฏิรูปความคิดของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ผมคิดว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษหน่วยงานใหม่ เป็นมิติใหม่ของสังคมไทย ที่จะปฏิรูปความคิดของคนในองค์กรได้ และจะทำให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของประชาชนได้” ดร.คณิต กล่าว
Mr.Homayoun Alizadeh Regional Representative, Office of High Commissioner for Human Rights : OHCHR บรรยายเรื่อง “Human Rights : The Road to Justice” โดยกล่าวว่า ในการทำให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชนดำเนินไปได้ด้วยดี จะต้องคำนึงถึงคนยากจน และผู้ทุพพลภาพ เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มักจะถูกละเลย
ฉะนั้นจะต้องมีกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ ต้องมีกฎเกณฑ์เพื่อการดำเนินการ และมีแนวทางที่ละเอียดที่จะดำเนินไปสู่กระบวนการยุติธรรมที่ถ่องแท้ ดังนั้นการสร้างสังคมยุติธรรมคนในสังคมนั้นจะต้องมีสิทธิมนุษยชนที่เท่าเทียมกันทุกคน
Dr.Friedrich Hamburger Ambassador Head of Delegation, EU Delegation บรรยายเรื่อง “The Role of international Cooperation to Promoting and Protecting Human Rights” โดยกล่าวว่า ตนได้ยินบ่อยครั้งเรื่องการที่ผู้ต้องหาหรือผู้เกี่ยวข้องในคดีไม่ได้รับการเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างเหมาะสม และเข้าใจว่าวัฒนธรรมความเชื่อที่แตกต่างกันของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลกระทบกับเรื่องนี้โดยเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งตนเชื่อว่ากลุ่มประเทศเหล่านี้กำลังปรับตัวให้สอดคล้องกับหลักการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
ซึ่งปัจจุบันสมาชิกสหภาพยุโรปและอื่นๆ ราว 110 ประเทศ ได้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิตไปแล้ว และในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปยังได้มีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อปรับปรุงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศสมาชิกให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งใน ปี 2006 ได้มีกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไว้ว่า จะไม่มีการซื้อสินค้าจากประเทศที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือประเทศที่ยังมีการลงโทษประหารชีวิตอยู่ นอกจากนี้ ในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปได้มีการกำหนดจุดยืนของตัวเองในเวทีระหว่างประเทศไว้ โดยมีเป้าหมายในการพยายามคุ้มครองสิทธิมนุษยชนด้วย
นายชัชชม อรรฆภิญญ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ รักษาการอัยการพิเศษ ฝ่ายกิจการต่างประเทศ สำนักงานต่างประเทศ สำนักอัยการสูงสุด กล่าวว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นได้มากที่สุดในคดีอาญา ทั้งนี้เนื่องจากการรับโทษในคดีอาญาของผู้ต้องหาแต่ละประเภทล้วนกระทบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นปรับ ยึดทรัพย์ จำคุก ประหารชีวิต นอกจากนั้นระหว่างการดำเนินคดีก็คล้ายกับว่าเจ้าพนักงานจะมีดาบอาญาสิทธิ์ที่จะไปจับกุม หรือถามคำถามที่ปกติจะไม่สามารถถามคนอื่นได้เลย แต่เมื่อสวมบทพนักงานสอบสวนแล้วเขาสามารถถามคำถามเหล่านั้นได้ จึงเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้นได้
ดังนั้น การคุ้มครองสิทธิกับการดำเนินคดีสามารถทำควบคู่กันได้ แต่ต้องถามก่อนว่า การคุ้มครองสิทธินั้นสิทธิของใคร เพื่ออะไร และทำอย่างไร และต้องคำนึงว่าผู้ที่จะต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิคือผู้ต้องหา ผู้เสียหาย หรือเหยื่อ และพยาน การคุ้มครองสิทธินั้นเป็นไปเพื่อค้นหา “ความจริง” ซึ่งจะเป็นเกราะปกป้องทั้ง 3 ฝ่าย ในกระบวนการค้นหาความจริงของกระบวนการยุติธรรม
สำหรับบทบาทอัยการกับการคุ้มครองสิทธิในกระบวนการค้นหาความจริง ทั้งในคดีอาญา คดีแพ่ง และคดีปกครองนั้น อัยการมีบทบาทเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งสิ้น รวมทั้งในส่วนคดีอาญาพิเศษ ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในเรื่องการคุ้มครองสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญ มาตรา 40 (5) และยังมีกฎหมายอื่นๆ ที่กล่าวถึงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของบุคคลอื่นไว้
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)