WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, August 1, 2008

กรรมการสิทธิ & 145 นักวิชาการ“กล้าหาญ” หรือ “ดัดจริต”?

คอลัมน์: รายงานพิเศษ

สืบเนื่องจาก 2 ประเด็นร้อน “ปราสาทเขาพระวิหาร” และ “ม็อบชนม็อบ”

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เขียนจดหมายถึงองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แสดงความ “ผิดหวัง” กรณีขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยเห็นว่ายูเอ็น “ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง”

“145 นักวิชาการ” จากกว่า 30 สถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ ออกแถลงการณ์ “ประณามการใช้ความรุนแรง” ของกลุ่มผู้ชุมนุมที่เกิดขึ้นที่อุดรธานี

คนละเรื่อง คนละสถานการณ์

แต่จุดร่วมเดียวกันคือ ผู้ออกมาประณามเป็นบุคคลในแวดวง “ปัญญาชน”

จึงทนไม่ได้กับการกระทำที่ใช้ความรุนแรงทั้งทางตรง ทางอ้อม ทั้งการตีกันซึ่งหน้า หรือแม้แต่ลักษณะในทางกฎหมาย

จึงได้เห็นคณะกรรมการสิทธิ ทวงถามถึงปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ตำหนิการตัดสินของคณะกรรมการมรดกโลก ที่ทำให้ชีวิตของผู้ที่อาศัยอยู่ชายแดนไทย-กัมพูชาต้องตกอยู่ในอันตราย อันเนื่องมาจากความขัดแย้งในพื้นที่

จึงได้เห็น 145 นักวิชาการเรียกร้องความรับผิดชอบของรัฐบาลที่ปล่อยให้ม็อบตีกัน และระบุว่า รัฐบาลอาจหมดความชอบธรรมกับกรณีนี้

แม้ไม่บอกออกมา แต่ก็ตีความได้ว่า ผู้ประณามการกระทำดังกล่าว ต้องวางตัวเองอยู่ตรงข้ามกับความเลว คือเป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม เที่ยงธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย

เพียงแต่คำถามง่ายๆ ที่ทั้ง 2 กลุ่มชนชั้นนำทางปัญญานี้จงใจมองข้ามคือ ทั้ง 2 เหตุการณ์ “เขาพระวิหาร” และ “ม็อบชนม็อบ” นอกจาก “รัฐ” ที่หลีกเลี่ยงการปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้แล้ว…ยังมี “ตัวละคร” สำคัญใดอีกบ้าง

เป็น “ตัวละคร” สำคัญที่เกี่ยวพันกับทั้ง 2 เรื่องอย่างไม่น่าจะบังเอิญ แต่ทำไมกลุ่มปัญญาชนผู้เปี่ยมคุณธรรมไม่ตงิดสะกิดใจ

เมื่อเหตุการณ์ที่เข้าข่ายความรุนแรงที่สุดในเรื่องเขาพระวิหารก็คือ การปะทะของชาวบ้านที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเริ่มต้นจากมี “ม็อบ” นอกพื้นที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่

เมื่อเหตุการณ์การปะทะกันของม็อบในอุดรธานี ก็เกิดจากการที่มี “กลุ่ม” เข้าไปแหย่หนวดเสือในพื้นที่นั้นก่อน

ทั้งม็อบที่ชายแดนเขาพระวิหาร ทั้งม็อบที่อุดรธานี

ล้วนมีชื่อของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เกี่ยวข้องทั้งสิ้น

ความรุนแรงในพื้นที่ ไม่ว่าจะที่เกิดกับชาวบ้านชาวไทยที่เคยอยู่ร่วมชายแดนอย่างสงบกับชาวบ้านกัมพูชา หรือชาวบ้านที่สนับสนุนรัฐบาลอย่างเหนียวแน่นในอุดรธานี…

หาก “รัฐ” หรือ “ชาวบ้านในพื้นที่” ที่ย้ำว่าเคยอยู่กันอย่างสงบ จะต้องตกเป็นจำเลยในสายตาคนกลุ่มนี้ด้วยแล้ว…

ก็แล้วทำไมคุณธรรมจริยธรรมที่กล้าแกร่งของ “ปัญญาชน” เหล่านี้ไม่เผื่อแผ่ไปถึง “พันธมิตรฯ” ด้วยเล่า

ทั้งที่ก็กลุ่มพันธมิตรฯ มิใช่หรือ ที่ปราศรัยยั่วยุให้ทหารไทยใช้กำลังเปิดเกมรุกที่ชายแดนก่อน

ทั้งที่ก็ยังเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ มิใช่หรือ ที่ยุแยงให้กองทัพเข้าใช้กำลังแทรกแซงการเมืองภายในประเทศอยู่เสมอ

แต่การกระทำเหล่านี้ของพันธมิตรฯ กลับเป็นสิ่งที่ไม่รุนแรง ไม่น่าถือสา ในสายตาคณะกรรมการสิทธิฯ และ 145 นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ…!?!

ยังไม่รวมกับที่ว่า ก่อนหน้านี้เกือบ 2 ปี เมื่อมีกำลังทหารขับรถถังเข้ากรุง ใช้ปืนยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนในวันที่ 19 กันยายน 2549

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนโดย นายเสน่ห์ จามริก กลับเป็นคนแรกๆ ที่ออกมาปกป้องแก้ต่างให้คณะรัฐประหาร อย่างไม่มีความสำนึกสักนิดว่า การยึดอำนาจนั้น มันเข้าข่าย “ความรุนแรง” หรือละเมิดสิทธิมนุษยชนบ้างหรือไม่

เช่นเดียวกันกับ 145 นักวิชาการ ที่ไม่รู้ว่าตอนนั้นยังเกิดไม่ทันหรืออย่างไร จึงไม่เห็นมี “สาร” แข็งขันในอันที่จะประณามและเรียกร้องให้ “โจร” รับผิดชอบการกระทำของตัวเอง เหมือนที่ทำเสียงแข็งกับ “ชาวบ้าน” ในตอนนี้

คำตอบอาจไม่มีมากไปกว่า ก็เพราะเหตุการณ์ 19 กันยาฯ ที่จะครบรอบ 2 ปีในอีก 2 เดือนข้างหน้า มันดัน “ถูกจริต” ของเหล่าท่านๆ

และความเลวร้ายของพันธมิตรฯ ที่เพรียกหาความรุนแรงในทุกรูปแบบ ก็เป็นสิ่งที่ตรงกับใจลึกๆ แต่ไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้น

เมื่อมีพันธมิตรฯ พูดให้ ทำให้ โดย “ปัญญาชน” ไม่ต้องเปลืองตัวเอง…จึงต้องแอบปรบมือให้ข้างหลัง

ขณะเดียวกัน ก็เป็นแนวร่วมช่วยตีศัตรูของพันธมิตรฯ อีกต่อหนึ่ง

เป็น “มิตรรักมิตรแท้” ของ “พันธมิตรฯ” โดยแท้

แม้ว่าจะต้องเป็นศัตรูกับประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยอีกเกือบทั้งประเทศก็ตาม…