คอลัมน์ : รายงานพิเศษ
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนมีภาวะเสื่อมถอยของสิ่งที่เรียกว่า “สังขาร” ยิ่งเกิดมานานก็ยิ่งเข้าใกล้ แก่ เจ็บ และตาย เป็นธรรมดาโลก
จะมีก็แต่ “ประสบการณ์” ที่ยิ่งผ่านหลายฝนก็ยิ่งสั่งสมพอกพูนเป็นสิ่งที่แก่กล้า แข็งแรงสวนทางภาวะถอยหลังของร่างกาย
ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เปรียบคนที่เป็น “ผู้หลักผู้ใหญ่” ว่าเป็นดัง “ไม้ยืนต้น” แผ่กิ่ง ก้าน ใบ ให้คนรุ่นหลังได้พึ่งพิงอาศัย
นึกชื่อ “ผู้หลักผู้ใหญ่” ของบ้านเมืองนี้ ก็มีไม่กี่สิบคน เช่น ชื่อของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายอานันท์ ปันยารชุน นพ.ประเวศ วะสี ฯลฯ เหล่านี้ล้วนขึ้นทำเนียบ “ไม้ยืนต้น” กันได้แล้วทั้งนั้น พูดจาอะไรแต่ละคำ สังคมก็ต้องหยุดฟัง สื่อมวลชนต้องให้พื้นที่
แต่พูดแล้ว ฟังแล้ว จะมีคนเห็นดีเห็นงามด้วยสักแค่ไหน...ก็อีกเรื่อง
ระยะหลัง 2-3 ปี นอกจากไม่ค่อยมีคนเห็นดี ยังร่ำๆ จะกลายเป็นร้าย
“ส่วนรวม” ไม่ได้ประโยชน์อะไร และคนพูดก็กลายเป็นความขายหน้าว่า ไม้ใหญ่เป็นได้แค่ท่อนไม้ผุๆ ติดตลิ่ง
สำหรับ “ป๋า” แทบไม่ต้องพูดถึง เพราะหลังจากแนวร่วมด้วยกันเองอย่าง “สุริยะใส กตะศิลา” หลุดปากโพล่งออกมาว่า อยู่เบื้องหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
หอก ดาบ กระถาง รองเท้า ฯลฯ ก็ปลิวว่อนใส่ไม้ใหญ่ต้นนี้ชนิดไม่มีเหลือความเคารพ
ประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่เคารพยำเกรงระบบอาวุโส แต่ในแง่ระบอบการปกครอง ก็มีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด เมื่อใครก็ตามมีพฤติกรรมทำลายระบอบประชาธิปไตย ก็เป็นอันลืมได้เลยว่าจะมีความอาวุโสเป็นเกราะกำบัง
ปรากฏการณ์ไม่เห็นแก่หัวหงอกหัวดำจึงเกิดขึ้นไปทั่วในขณะนั้น
เช่นเดียวกันกับแก๊งไม้ยืนต้นระดับแนวหน้าของประเทศไทยอีกไม่ต่ำกว่าสิบ...จากไม้ใหญ่กลายเป็นได้เพียง “ไม้แคะฟัน” ก็เพราะหลังรัฐประหาร 19 กันยายน กันแทบทั้งสิ้น
พวกที่ยังยกมือไหว้กันได้ ก็พวกลัทธิเทวดาที่เห็นตัวเองสูงส่งกว่าชาวบ้านเหมือนกัน จึงยังนับเป็นพวกเดียวกันได้ แต่สำหรับฝ่าย “ประชาธิปไตย” จะมีใครกล้ายกมือว่าเป็นพวกเดียวกับคนอย่าง อานันท์ ประเวศ ธีรยุทธ ฯลฯ บ้าง
ออกมาพูดจากี่ครั้ง ก็ยังย้ำคิดอยู่แต่ว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นความเลวร้าย จิกกัดคนที่เคารพประชาธิปไตยเสียงข้างมากว่าเป็นพวกยึดติด “รูปแบบ”
ทั้งที่ “รูปแบบ” ก็เป็นสิ่งสะท้อน “เนื้อหา” ถ้าเนื้อหาไม่เป็นประชาธิปไตยเสียแล้ว รูปแบบจะเป็นประชาธิปไตยอย่างไรได้
หรือต้องให้เป็นรูปแบบสรรหาอย่าง “การเมืองใหม่” คนอย่างนายอานันท์ หรือใครต่อใครในบรรทัดเดียวกัน จึงจะให้การยอมรับ
ในแง่นี้ กลุ่มก๊วนอย่าง “พันธมาร” ก็อาจยังน่านับถือมากกว่าที่กล้าแสนอ “รูปแบบ” ของตัวเอง ให้สังคมมองเห็นกันไปเลยว่า นี่เป็นการโต้แย้งของฝ่ายประชาธิปไตยกับอำมาตยาธิปไตย
ต่างจากแก๊งไม้จิ้มฟัน ที่อาศัยความอาวุโสและต้นทุนทางสังคมแต่ก่อนเก่ามาเป็นทุนรอนให้พูดอะไรได้นานสองนาน โดยรับประกันได้ว่าพรุ่งนี้ก็จะมีพื้นที่ในข่าว
ถ้าไม่เรียกว่ากินบุญเก่า ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร เพราะที่คนส่วนหนึ่งยังอุตส่าห์ให้ความสนใจ ก็มาจาก “ชื่อ” ทั้งนั้น แต่อ่านไปหลายบรรทัดก็พบว่า เนื้อหาล้วนวนเวียนอยู่ที่เดิม
19 กันยายน ไม่มีคุณูปการต่อประเทศชาติอย่างไร จนบัดนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น
ถ้าอยากเห็นบ้านเมืองมีทางออกร่วมกันอย่างถูกต้องเที่ยงธรรมจริง แล้วหดหัวไปไหนในวันที่แก๊งข้างถนนก่อเหตุป่วนให้เกิดความวุ่นวายในประเทศ
หรือเพราะตัวเองก็ผูกติดอยู่กับแก๊งพาลและมาร อย่างยากจะแยกออกจากกัน
ใครที่ยังชอบตื่นเต้นในสิ่งที่คนอย่างประเวศ อานันท์ ธีรยุทธ ฯลฯ ออกมาพูด น่าจะได้ทบทวนสติปัญญาของตัวเองให้มากหน่อย หรืออย่างน้อยก็ตอบตัวเองให้ได้ว่า กล้ายอมรับหรือเปล่าว่าตัวเองไม่ยอมรับประชาธิปไตย ไม่ยอมรับระบอบที่ให้ประชาชนมีสิทธิมีเสียงเท่ากัน
เพราะพื้นฐานความคิดของคนเหล่านั้น จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ล้วนอยู่บนฐานที่ว่า ไม่มีใครรู้ดีกว่าตัวเองทั้งสิ้น ชาวบ้านที่เลือกตั้งรัฐบาลเข้ามาก็เป็นได้แค่วัวแค่ควาย ที่เลือกรัฐบาลโจรเข้ามาสร้างปัญหาให้ประเทศ คนเหล่านี้จึงเห็นว่ามีแต่รัฐบาลที่เป็นปัญหา แต่แก๊งข้างถนนอย่างพันธมาร หรือพวกที่ชอบอ้างคำว่าภาคประชาชน ทั้งที่ไม่เคยเห็นหัวประชาชน...ยังไม่ใช่
เพราะคิดและเชื่อกันอย่างนี้ พูดกี่ทีๆ จึงไม่เคยมีอะไรสร้างสรรค์
เป็นไม้จิ้มฟันที่ทิ่มแทงเหงือกให้เลือดไหลซิบเท่านั้นเอง