คอลัมน์ : ละครชีวิต
แม้จะมีการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยปัญหาพื้นที่ทับซ้อนในบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ที่โรงแรม ดิ อังกอร์ พาเลซ สปา รีสอร์ต ที่เมืองเสียมเรียบ
โดย นายเตช บุนนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คนใหม่ของไทย มีกำหนดการเดินทางถึงกัมพูชาวันนี้ (28 ก.ค.) เวลา 09.00 น.
ท่ามกลางเสียงยอมรับรัฐมนตรีคนใหม่ ผมขอย้ำว่า “ความจริงก็คือความจริง” เพราะความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ดังนั้นอย่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ และพรรคอีแอบ
ที่หวังเพียงแค่ปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง โดยไม่นำพาต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง
การที่รัฐบาลได้แต่งตั้ง นายเตช บุนนาค ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ นั้น ไม่ใช่ว่าประเทศไทยจะสามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้
นายเตช บุนนาค มิใช่เทวดาที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดชาตินิยมได้เพียงแค่ชั่วข้ามคืน แม้เสียงขานรับจะมี “ดอกไม้” มากกว่า “ก้อนอิฐ”
ในช่วงที่ผ่านมา มีนักวิชาการที่เป็นกลางทางการเมือง คอลัมนิสต์ที่ไร้อคติ ออกมาแสดงความคิดเห็นกรณีนี้มากมาย
ล่าสุดได้มีการย้ำถึงบทบาทของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ไปลงนามเมื่อ 14 มิถุนายน 2543 ให้การปักปันเขตแดนใช้แผนที่ ฉบับลงนาม ณ กรุงปารีส 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1604 ฉบับที่ไทยเสียประสาทเขาพระวิหารให้กัมพูชา
เป็นการลงนามโดย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย และ นายวาร์ คิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาล ผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
แม้จะมีการเขียนไว้เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเองกว้างๆ ในข้อ 5 ว่า “หน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้น จะงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน”
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็เท่ากับว่าประเทศไทยได้เสียดินแดนเขาพระวิหารตั้งแต่สมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลแล้ว
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ลงนามในสัญญาครั้งนั้น ด้วยความสับสนและไม่ชัดเจน เนื่องจากหลักฐานบางอย่างจัดทำไว้นานและเกิดการสูญหาย
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มพันธมิตรฯ คงไม่แสดงความรับผิดชอบต่อกรณีดังกล่าว เพราะเป้าหมายหลักไม่ใช่ต้องการประสาทเขาพระวิหารคืนกลับมาให้คนไทย
แต่จุดหมายปลายทางคือ การล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยนำเอากระแสชาตินิยมมาถล่มรัฐบาล
ผมมองว่า ปัญหาดังกล่าวจะสามารถแก้ได้ไม่ยากนัก เนื่องจากทั้งไทยและกัมพูชาเป็นมิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาช้านาน และที่สำคัญยังมีเจตนาร่วมกันที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
แต่การต่อสู้กันทางการเมืองของพันธมิตรฯ และพรรคอีแอบ ต้องสำเหนียกถึงความเสียหายของประเทศชาติให้มากยิ่งขึ้น
ผมขอทิ้งท้ายด้วยคำพูดของ นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ที่ห้องวิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ
นายนพดล กล่าวว่า “ผมมั่นใจ เมื่อควันและฝุ่นจางลงความจริงจะปรากฏขึ้นชัดเจน เมื่อเหตุผลเข้ามาแทนที่อารมณ์ เวลาจะตัดสินสิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศและกระผมได้ทำไป ว่าพวกเราได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อปกป้องดินแดนและประโยชน์ของไทย พี่น้องชาวไทยครับ ผมไม่ได้ขายชาติ ผมรักชาติ รักชาติเท่ากับคนไทยทุกคน”
ครับ...เมื่อควันและฝุ่นจางลง ตามที่อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่าไว้ คนไทยจะได้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร
รวมทั้งจะได้รู้เบื้องหลังความเลวร้ายของพันธมิตรฯ และพรรคอีแอบว่า ต้องการล้มรัฐบาลโดยใช้ประชาชนที่รักชาติเป็นเครื่องมือเท่านั้น!
ลวดหนาม