คอลัมน์: รายงานพิเศษ
โผล่มาทีเดียว ก็ได้ “ซีน” ไปเต็มๆ
เบียดประเด็นร้อนอื่นๆ กระเด็นตกกระดาน คอการเมืองตาสว่างตื่นเต้น หลังจากเริ่มเหนื่อย เบื่อ และเอียนกับข่าวปลุกกระแส ข่าวเชื้อชาติ ข่าวพิษรัฐธรรมนูญที่กำลังผลิดอกออกเกลื้อนให้คันกันอยู่ถ้วนหน้า
เพราะแค่ก่อนหน้าที่นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช จะนำรายชื่อ ครม. “สมัคร 4” ขึ้นทูลเกล้าฯ ไม่กี่ชั่วโมง หนึ่งในรัฐมนตรีตัวเต็งว่าจะเจอ “แจ็กพอต” ได้ตั๋วพักร้อนยาวจากรัฐบาล ก็ตัดหน้าแถลงข่าวซะงั้น
ชื่อ “สุวิทย์ คุณกิตติ” จึงกระหึ่มและเป็นที่ตามหาตัวให้ควั่กในคืนนั้น เพราะหลังแถลงข่าวที่กระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งตัวเองเป็นรัฐมนตรีอยู่ ก็ไม่รู้ไปไหนต่อ ปล่อยให้ลูกพรรคตั้งแต่ระดับรองหัวหน้าตามหาตัวให้วุ่น…
จึงได้รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าที่แท้ “คลาด” กันมาหลายสัปดาห์แล้ว ก็เพราะนักข่าวเกาะติดสายไหม้ทุกช่องนั่นแหละ
เมื่อหาตัว “หัวหน้า” ไม่เจอ ลูกพรรคที่เหลือก็เลยแถลงข่าวชี้แจงเสียเลยว่า ไม่ใช่มติพรรค เพราะกรรมการบริหารพรรคเองก็ยังงงเป็นไก่ตาแตก
ที่สำคัญ ไม่มีปัจจัยอะไรในขณะนี้ที่มีน้ำหนักมากพอจะให้พรรคเพื่อแผ่นดินที่มี ส.ส. ร่วมรัฐบาลอยู่ 24 คน จะต้องถอนตัวออกจากรัฐบาลกะทันหัน
ไม่ว่าประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทางพรรคก็เสนอชัดเจนไปแล้วว่า “เห็นด้วย” กับการแก้ในหลายมาตรา เกือบทั้งฉบับด้วยซ้ำ
หรือเรื่องเขาพระวิหาร ที่ตอนนี้รัฐบาลก็ได้ นายเตช บุนนาค มารับตำแหน่งใหม่ และก็เริ่มกระบวนการเจรจาที่ส่อแววจะลงเอยในทางดีไปแล้วบ้าง
เมื่อ “ข้ออ้าง” ที่ท่านหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินบอกกล่าวนั้นอ่อนแสนอ่อน…แล้วจะไม่ให้คนเขา “ตีความ” กันให้ลึกถึงแกนโลกได้อย่างไร
ยิ่งมีประเด็นแคลงใจกันมาก่อนหน้าแล้วตั้งแต่กลุ่มพันธมิตรฯ ยื่นถอดถอนรัฐมนตรีทั้งคณะ ด้วยมาตรา 190 เรื่องเขาพระวิหาร แต่ดันตกหล่นอย่างโจ่งแจ้งที่สุดไปเพียง 1 ชื่อ คือชื่อของ สุวิทย์ คุณกิตติ
ชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไรขนาดนี้ แม้พันธมิตรฯ จะแก้ตัวด้วยการเพิ่มรายชื่อถอดถอนในวันถัดมา แต่ก็ไม่ทันการณ์ เพราะสถานะของหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินถูกจับตามองทันที…ซึ่งอันที่จริง ความเป็นมาและเป็นไปของการได้นั่งเป็นหัวโขนอยู่ตรงนี้ก็ล่อแหลมอยู่แล้ว เรื่องการเดินเกมที่โฉ่งฉ่างแต่ผิดพลาดของพันธมิตรฯ เพียงแต่มาเสริมความคลางแคลงใจก็เท่านั้น
ยิ่งลักษณะความสัมพันธ์อันห่างเหินของคนในพรรคเองถูกเปิดออกมาอย่างนี้ ก็ยิ่งตอกย้ำภาพความเป็นพรรคเฉพาะกิจ หัวหน้าเฉพาะกาลเข้าไปใหญ่
ก็ไม่รู้งานนี้อะไรเป่าหูหรือสะกิดไหล่ให้ทำแบบนี้ จน ส.ส. ลูกพรรคต้องออกมาติงว่า น่าจะให้เกียรติกันมากกว่านี้
แต่อย่างน้อยก็เป็นข้อดีที่ทำให้เห็นคุณูปการบางอย่างของตัวอ่อนไข่โจรอย่าง “รัฐธรรมนูญ 2550”
เมื่อ ส.ส. พรรคเพื่อแผ่นดินที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยกับการตัดสินใจของหัวหน้า สามารถตั้งโต๊ะแถลงข่าวโต้ได้ในเวลาไล่เลี่ยกันทันที
และเป็นเสียงที่มีน้ำหนักยิ่งต่อการดำรงอยู่ของรัฐบาล เพราะประกาศชัดว่า อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีใครบ้าจี้พอจะทิ้งกันไปไหน
รัฐธรรมนูญ 2550 เปิดทางไว้เรียบร้อยแล้วว่า ส.ส. มีเอกสิทธิที่จะตัดสินใจทางการเมืองเองได้ ไม่จำเป็นต้องยึดโยงกับมติพรรค
ออกแบบกันมาหวังฆ่าพรรคใหญ่ด้วยการวางไข่งูเห่าทั้งสิ้น
แต่ไม่นึกไม่ฝันว่า ที่โดนสนองไปดาบแรกกลับเป็นคนของตัวเอง ป่านนี้ฝ่ายอำมาตย์คงกำลังกระอักเลือดกันยกใหญ่
และงานนี้ หากจะมีคำว่า “มติพรรค” จากพรรคเพื่อแผ่นดิน ก็คงเป็นมติเสียงข้างมากของ ส.ส. พรรค ที่จะยังทำงานให้บ้านเมืองต่อไป
เพราะแม้จะมีนายสุวิทย์เป็นหัวหน้า แต่ ส.ส. ที่เหลือก็มีเสียงเลือกตั้งจากประชาชนเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจ
แล้วจะได้รู้ว่า สิ่งที่ทำให้นักการเมืองเป็นใหญ่ มีอำนาจต่อรองได้จริงยิ่งกว่า “พลังพิเศษ” อื่นใด ก็ไม่พ้น “เสียงประชาชน” นั่นแ