WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, July 31, 2008

ละเว้นถวายความปลอดภัย กับ คดีหมิ่น!!!

คอลัมน์: ตะแกรงข่าว

ก่อนอื่นต้องขอทักทายผู้อ่านเป็นอันดับแรก หลังจากหายหน้าหายตาไประยะหนึ่ง ก็คงไม่มีอะไรมากกว่าต้องไปปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งก็หนีไม่พ้นในเรื่องของการข่าว

อย่างไรก็ตาม ข่าวคราวและความเคลื่อนไหวทางการเมืองในระยะนี้ เชื่อว่าหลายท่านก็คงนึกคิดเช่นเดียวกับผม

นั่นก็คือ เรื่องของการใช้กระบวนการยุติธรรมเข้าตัดสินคดีความ ซึ่งดูเหมือนบุคคลที่อยู่ในฟากฝั่งต่อต้านเผด็จการที่ต้องคดี กลับได้รับการปฏิบัติที่แตกต่าง!!!

พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อถูกตั้งคำถาม ก็ตอบออกมาอย่างเฉไฉ ไหลลื่น ตีความกฎหมาย ตะแบงเหตุผลข้ออ้าง ผิดจากคนส่วนใหญ่เขานึกคิดออกไป ได้อย่างหน้าตาเฉย

หรืออาจเป็นอย่างที่นักคิด นักเขียน นักวิชาการหลายท่านให้ความเห็นว่า ความคิดของตุลาการเหล่านี้ “คร่ำครึ”!!!

โดยเฉพาะยังคงยึดถือการใช้กำลังอาวุธของกองทัพเข้ายึดอำนาจ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายสูงสุด แต่ก็ยอมสยบ ปิดตำรา กลืนหลักการ อุดมการณ์ของนักกฎหมายอย่างไม่ไยดี

แถมกระหน่ำความรู้สึกของสังคมที่หดหู่ให้หนักขึ้นไปอีก ด้วยการยกย่องอำนาจที่ได้มาอย่างไม่ชอบธรรมเหล่านั้น “เป็นรัฐาธิปัตย์” ที่ถูกต้อง คนไทยจึงต้องวังเวงด้วยประการฉะนี้...

อย่างไรก็ตาม เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเดินทางมาถึงจุดนี้ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องๆ หนึ่ง ที่มีความใกล้เคียงในระนาบเดียวกัน แต่ก็ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งอยู่ในกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น

นั่นก็คือ การดำเนินงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ สตช. ในการเอาผิดกับประชาชน และการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยกันเอง!!!

เรื่องหนึ่ง กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ถูกจับกุมคุมขัง ไม่ให้ประกันตัว ขณะที่อีกเรื่องหนึ่ง ปล่อยให้กลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง เงียบหายเข้ากลีบเมฆ

และก็ดูจะเกี่ยวพันในระนาบเดียวกัน กับการฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ผมและคนไทยหลายคนไม่สบายใจไปตามๆ กัน!!!

หากยังจำกันได้ ข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เกิดขึ้นร่ายเรียงมาตั้งแต่อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกรัฐประหารยึดอำนาจไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

ข้อกล่าวหานี้ก็ถูกนำมาเป็น 1 ใน 4 ข้ออ้าง ที่เป็นเหตุผลแห่งการเข้ายึดอำนาจด้วย แต่ภายหลังอัยการสอบสวนแล้วก็สั่งยกฟ้องอดีตนายกรัฐมนตรีไปแล้ว

ต่อมาก็ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือที่ชาวบ้านพลิกมาเรียกขานเป็นพันธมาร ก็ประสบกับข้อกล่าวหานี้เช่นเดียวกัน

แต่อัยการก็สั่งไม่ฟ้องมาแล้วหนหนึ่ง ด้วยข้ออ้างพิลึกคือ เพื่อความสมานฉันท์ หากยังจำกันได้

และล่าสุดนายสนธิคนเดียวกันนี้ ก็โดนข้อกล่าวหานี้ซ้ำเข้าไปอีก ซึ่งเป็นคดีความที่ต่อเนื่องมาจากการเข้าจับกุม นางดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด

จะด้วยข้ออ้างอย่างไรก็ตามจะไม่ขอพูดถึง แต่ ดา ตอร์ปิโด ไม่ได้รับการประกันตัว ขณะที่นายสนธิกลับได้รับการประกันตัว!!!

แต่จนแล้วจนรอด เรื่องที่ผมเก็บเงียบมานานนี้ก็ยังคงเงียบกริบอยู่ที่ สตช. จนกระทั่งอีกนั่นแหละครับ เมื่อผมได้รับสำเนาหนังสือจากกรมราชองครักษ์ ลงนามโดย พล.อ.สายัณห์ คัมภีร์พันธุ์ สมุหราชองครักษ์ ส่งไปถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงวันที่ 26 มกราคม 2550 เรื่อง ให้นายตำรวจราชสำนักประจำพ้นตำแหน่ง

ใจความทั้งหมดสรุปได้ว่า ทาง สตช. เคยมีหนังสือขอตัว พล.ต.ท.ฉัตรชัย โปตระนันทน์ ซึ่งขณะนี้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำ กลับไปปฏิบัติหน้าที่ที่ สตช.

แต่กรมราชองครักษ์ไม่เห็นด้วย เพราะได้พิจารณาคุณสมบัติต่างๆ ของ พล.ต.ท.ฉัตรชัย แล้ว มีความเหมาะสมที่จะถวายความปลอดภัยต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไป

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ผมเก็บมานาน ไม่ใช่เรื่องของ พล.ต.ท.ฉัตรชัย แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อน พล.ต.ท.ฉัตรชัย จะเข้ามารับหน้าที่อันสำคัญนี้ในการถวายการอารักขา!!!

หนังสือของกรมองครักษ์ฉบับนี้ ระบุไว้ช่วงหนึ่ง เป็นหมายเหตุที่อยู่ในวงเล็บของการเข้ามารับหน้าที่ของ พล.ต.ท.ฉัตรชัย เกิดขึ้นหลังการยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 ไม่กี่วัน เพราะเหตุอดีตหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ ไม่มาปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 19-25 กันยายน 2549 โดยไม่มีเหตุอันควร เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กรมราชองครักษ์ถือว่าเป็นความผิดอย่างร้ายแรง สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งนี้ จึงให้พ้นหน้าที่ไป

และนายตำรวจที่พ้นหน้าที่ไปนี้ก็คือ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ปัจจุบันก็กลับไปอยู่ สตช. ปฏิบัติหน้าที่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ!!!

ส่วนเมื่อครั้งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. เรืองอำนาจ มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ สตช. พล.ต.อ.วิเชียร ผู้นี้ก็ได้รับหน้าที่เป็นนายตำรวจใหญ่ที่ดูแลการเลือกตั้งทั่วประเทศนั่นเอง ซึ่งคงไม่ต้องพูดอะไรว่า นายตำรวจท่านนี้ยืนอยู่ฟากฝั่งไหน

อย่างไรก็ตาม ความสำคัญที่จะกล่าวถึง คงไม่ใช่เรื่องที่นายตำรวจท่านนี้มีความคิด มีความเอนเอียงอยู่กับฝ่ายเผด็จการหรือฝ่ายประชาธิปไตย

แต่ความสำคัญของเรื่องคือ การไม่ไปปฏิบัติหน้าที่ถวายอารักขาในช่วงเหตุการณ์บ้านเมืองตึงเครียด เรื่องแบบนี้ถือได้หรือไม่ว่า ไม่เห็นความสำคัญในหน้าที่ต่อสถาบันอันเป็นที่เคารพของประชาชนชาวไทย ดังที่หนังสือระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เป็นความผิดอย่างร้ายแรง!!!

แล้ว สตช.ได้ดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด ให้เกิดเป็นตัวอย่างของผู้ที่ละเว้นปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญนี้หรือไม่???

แต่ที่แน่ๆ ได้กลายเป็นที่โจษขานกันขึ้นแล้ว ทั้งในวงการสีกากี รวมไปถึงข้าราชการในสำนักพระราชวังอย่างถ้วนหน้า

ส่วนผมก็ได้แต่เทียบเคียงระหว่างประชาชนผู้ถูกกล่าวหาหมิ่นเบื้องสูงด้วยวาจา ถูกจับกุมคุมขัง ที่ถูกฟ้องร้องโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กับผู้ที่ละทิ้งการอารักขา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดของ สตช. ดังความที่กรมราชองครักษ์แจ้งเป็นที่ประจักษ์นั้น อยู่ในระนาบเดียวกัน สูงกว่า หรือต่ำกว่ากันเพียงใด ที่จะได้รับการยกเว้น???

เพราะแม้จะอ้างว่า ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวน และแจ้งให้ พล.ต.อ.วิเชียร ชี้แจงแล้ว แต่ก็ดูจะเนิ่นนานจนผิดสังเกตจริงๆ...

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในสายตาประชาชนแล้ว สตช. ต้องดำเนินการเรื่องนี้ให้ประจักษ์ออกมาโดยเร็วเสียแล้ว

มิเช่นนั้น จะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สังคมอาจต้องวิพากษ์วิจารณ์ สตช. อีกครั้งว่า มีหลายมาตรฐานในการดำเนินการ...

พร ภัทร