ทุกครั้งที่พรรคพลังประชาชนต้องใช้แง่มุมทางกฎหมายขึ้นต่อสู้ เหลี่ยมเชิง ลีลา จังหวะการเข้าทำเพื่อความได้เปรียบ นาทีนี้ไม่มีใครเกิน ศุภชัย ใจสมุทร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม รองโฆษกพรรคพลังประชาชน นักกฎหมายมือหนึ่งที่ทำงานเพื่อพรรคอย่างทุ่มเท
ความเป็นคนครบเครื่องต้มยำ เชิงบุ๋นวางหมากล่วงหน้าห้าชั้นเป็นอย่างน้อย (ฐานกรุณา) แนวบู๊ยิ่งบู๊ได้ใจ งานภาคสนามจึงเป็นภาระในมือ ศุภชัย ใจสมุทร แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าเปิดประเด็นไหนขึ้นมา ฝั่งตรงข้ามหนาวๆ ร้อนๆ ไข้ขึ้นไปตามๆ กัน เขาผู้นี้แหละครับ ที่งัดกลยุทธ์ช่วยเด็กนักเรียนราชวินิตมัธยม กำจัดสิ่งกีดขวางความเจริญที่สะพานชมัยมรุเชฐ ให้ต้องถ่อยร่นไม่เป็นขบวนดังทัพพ่ายศึก ไปตั้งหลักที่สะพานมัฆวานฯ อย่างน่าสมเพชเวทนา
ศุภชัย ใจสมุทร ให้สัมภาษณ์ประชาทรรศน์ รายสัปดาห์ ฉบับที่ 78 วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม – วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พุทธศักราช 2551 กล่าวถึงเบื้องหลังการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญปกป้องสิทธิเด็กนักเรียน จากการล่วงละเมิดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ชุมนุมปิดถนน สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น พร้อมฟ้องอีกหากมีคนเดือดร้อนขอมา ชี้พวก “อนาธิปไตย” ไปที่ไหนเดือดร้อนที่นั่น ตีคนไทยด้วยกันเลือดตกยางออก เผย พปช. เดินหน้าแก้ รธน. ต่อไปนี้ “ชนเป็นชน” ส่วน กกต.-ป.ป.ช. ไม่รอดแน่ ส่อก้าวล่วง “พระราชอำนาจ” ชัดเจน ซ้ำยังต้องคืนเงินเดือนอีกด้วย พร้อมมุมมองทางการเมืองในอนาคตอย่างน่าสนใจ
“การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ สร้างความเดือดร้อนกับคนในกรุงเทพฯ มาตลอด แต่เนื่องจากว่าลักษณะนิสัยของคนในเมืองหลวงหรือเมืองไหนๆ ก็ตาม อะไรที่พยายามทนได้...ก็ทนกันไป แม้จะเดือดร้อน แต่กรณีเรื่องของการชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ และย้ายไปอยู่ที่สะพานชมัยมรุเชฐ ใกล้กับทำเนียบรัฐบาล ไปรบกวนการเรียนการสอนของโรงเรียนราชวินิตมัธยม เขาได้รับความเดือดร้อนมาก
ผมเคยพูดมาตลอดว่า ใครเดือดร้อน “ผมยินดีที่จะช่วยเหลือ” ใครที่รับอาสาเป็นโจทก์ ผมยินดีที่จะช่วย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น ในที่สุดแล้วมีอาจารย์โรงเรียนราชวินิตฯ กล้าที่จะมาต่อสู้กับกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่ากลุ่มเหล่านี้เป็นกลุ่มพลังที่ไม่มีใครอยากจะยุ่งด้วย เมื่อครูอาจารย์ทั้งหลายกล้า...ผมจัดการที่จะช่วยในการฟ้องคดีนี้ ผลที่ได้รับมาส่วนหนึ่งคือ หลังจากที่ได้รับการยื่นฟ้องแล้ว โจทก์ได้ทำการขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวโดยยื่นคำร้องไต่สวนฉุกเฉิน ศาลมีคำสั่งอย่างที่ทราบกัน...
ซึ่งผลนี้มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ อันแรกคือ ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน 2.นี่เป็นแนวทาง แม้จะไม่ได้เป็นบรรทัดฐานสุดท้าย แต่ว่าการที่ศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ถือได้ว่าการที่ใครก็ตามจะไปอ้างสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม ที่อ้างว่าโดยปราศจากอาวุธในการชุมนุม ที่สุดแล้วการใช้เสรีภาพนั้นต้องมีขอบเขต ที่ศาลได้มีคำสั่งออกมาให้เห็นชัดเจนอยู่ อย่างในคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว คือว่าจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับคนอื่น
โดยเฉพาะถ้าการชุมนุมนั้นเป็นการชุมนุมสาธารณะ เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นบรรทัดฐานสำหรับการชุมนุมในที่อื่นๆ ด้วย เสรีภาพในการชุมนุมไม่มีใครปฏิเสธว่าจะไม่มี หรือจะกระทำไม่ได้ แต่มันต้องมีกรอบ กรอบของมันคือ ถ้าคุณชุมนุมเป็นที่เป็นทาง ในสนามอะไรก็ตาม ถือว่าไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นการชุมนุมแล้วเกินสมควร ก่อให้เกิดความเดือดร้อน ทำไม่ได้
นี่เป็นเรื่องของการตีความ แต่พันธมิตรฯ อ้างตลอด มาตรา 63 ในรัฐธรรมนูญ เป็นการอ่านและอ้างเฉพาะในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง แต่ไม่ได้อ้างทั้งฉบับ วันนี้ศาลได้ชี้ให้เห็นว่า การชุมนุมอ้างมาตรา 63 วรรคต้นอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องดูมาตรา 63 วรรค 2 หรือวรรคอื่นด้วย ผมว่าวันนี้พันธมิตรฯ ยังตะแบงอยู่ ที่แน่ๆ เวลานี้คดีที่สะพานชมัยมรุเชฐคือว่าต้องดำเนินต่อไปเพื่อเป็นบรรทัดฐาน คือ ศาลจะต้องมีคำพิพากษาออกมา แต่การที่ย้ายไปชุมนุมที่ราชดำเนิน สะพานมัฆวานฯ
ตรงนี้ถือได้ว่า การกระทำนั้นของพันธมิตรฯ ยังเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อสิทธิของผู้อื่นอยู่ ผมยังยืนยันว่าการกระทำในปัจจุบันของเขาเป็นการกระทำที่ไม่สามารถอ้างรัฐธรรมนูญได้ ตามความหมายเดียวกับคดีที่ชมัยมรุเชฐ...จริงๆ สิ่งที่พันธมิตรฯ หรือกลุ่มที่อยู่บนเวทีพันธมิตรฯ อาจจะไม่รู้อย่างหนึ่งว่า ที่หลายคนที่กล่าวอ้างการรักชาติบ้านเมือง รักประชาชนเนี่ยนะครับ เป็นการที่ยกย่องตัวเองไป ในความจริงแล้ว ก่อนที่ผมจะเข้ามาสู่การเมือง ผมเคยทำงานในองค์กรสิทธิมนุษยชนมานาน คือ สสส.
ซึ่งเป็นสมาคมเพื่อต่อสู้กับเผด็จการมาตลอด ผมเป็นประธานชมรมนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน เป็นทนายความ ผมเป็นเลขานุการชมรมนักกฎหมายมุสลิม ซึ่งมี คุณสมชาย นีละไพจิตร เป็นนักต่อสู้ เป็นประธาน ผมเป็นเลขาธิการมูลนิธิ นายผี-อัศนี พลจันทร ซึ่งเป็นองค์กรที่ล้วนแล้วแต่ทำงานเพื่อปกป้องประชาชนต่อต้านเผด็จการ ผมเป็นกรรมการของสมาพันธ์ครอบครัวเพื่อความสามัคคีและสันติภาพโลกประจำประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรภายใต้ยูเอ็น
ฉะนั้น หลายสิ่งที่พูดมาไม่ใช่เพื่อโอ้อวด แต่จะบอกว่าความเป็นตัวตนของผมในการที่จะต่อสู้เพื่อบ้านเพื่อเมือง ไม่ได้น้อยกว่าพวกที่ยืนบนเวทีพันธมิตรฯ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป ผมทำมานาน ฉะนั้นกรณีที่ผมช่วยโรงเรียนราชวินิตฯ ปกติแม้ผมจะไม่ได้อยู่ในสถานะความเป็นนักการเมือง ผมช่วยมานาน ช่วยมาตลอด ไม่คิดหวังเงินทอง กับชาวบ้านชาวช่อง เรื่องเขื่อนปากมูลผมก็ช่วย “ยายไฮ” (นางไฮ ขันจันทา ผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนห้วยละห้า กิ่ง อ.นาตาล จ.อุบลราชธานี) รู้จักผมดี ผมช่วยแกมาตลอด ไม่มีใครรู้ดีมิติของนายศุภชัยในมุมนี้!!
ฉะนั้นเมื่อโรงเรียนนี้เดือดร้อนผมมาช่วย ยิ่งผมเป็นนักการเมืองที่สังกัดพรรคพลังประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของพันธมิตรฯ ผมจึงยิ่งเต็มใจร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะช่วย ผมบอกเลยว่าไม่คิดที่จะอยู่เบื้องหลังคดีนี้ แต่เต็มใจจะอยู่เบื้องหน้าอยู่แล้ว เพียงแต่พันธมิตรฯ อาจจะหลงไป ผมไม่ใช่ประเภทเล่นลับหลัง ผมชอบแบบซึ่งหน้า วิธีการของผมคิดแบบนี้มาตลอด เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่อยากให้เข้าใจว่าสิ่งที่คุณด่าผมไม่เป็นไร ในขณะที่คุณด่าผมนะ มีอีกปีกหนึ่งที่เขาชื่นชมผมนะ เอาเป็นว่าคนกลางๆ ที่ไม่เชียร์ผม เขาต้องรู้สึกว่าผมตั้งใจ แต่คนที่รู้จักผมดี เขาบอกว่าไม่แปลกใจกับสิ่งที่ผมทำ เพราะผมทำมาตลอดชีวิต...”
ศุภชัย ใจสมุทร เรียกร้องให้ผู้ได้รับความเสียหายจากการชุมนุมของพันธมิตรฯ เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ยินดีให้คำปรึกษาทางกฎหมายเต็มที่ ทั้งวิจารณ์แกนนำพันธมิตรฯ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่จะเข้าชื่อถอดถอนผู้พิพากษาศาลแพ่งที่ตัดสินภายใต้พระปรมาภิไธยว่า อาจทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
“สิ่งที่ผมอยากเรียกร้องไม่ใช่เพื่อตัวผมเอง สิ่งที่เขาว่ากล่าวผมเสียๆ หายๆ ผมก็มีข้อมูลหมดแล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากจะเรียกร้องคือ เวทีพันธมิตรฯ ใช้วาจาผรุสวาท การด่าทอคนโดยไม่มีเหตุผล การเอาเรื่องส่วนตัวคนมาพูด ซึ่งสิ่งที่จะบอกคือว่า ทำเช่นนั้นขัดกับที่แกนนำทั้งหลายได้ป่าวประกาศว่าการชุมนุมเป็นการชุมนุมโดยสงบ สงบนี้ต้องสงบทั้งกาย วาจา ใจ คุณไม่มีวจีสุจริต คุณด่าทอเขา ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง บอกว่า “พวกเรามาทำบุญ เราทำบุญ เรามาทำบุญเพื่อประเทศชาติ” แต่มันสวนทางกับการกระทำ!!
วันนี้สิ่งที่อยากเรียกร้องคือ ใครก็ตามที่ถูกล่วงละเมิดจากเวทีนี้ การใช้ถ้อยคำซึ่งเป็นคำหมิ่นประมาท ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา อยากเรียกร้องท่านทั้งหลายไปดำเนินคดีกับพวกที่พูดจาถึงท่านเสียเถอะ การที่เอเอสทีวีมีการแพร่ภาพไปทุกจังหวัด ท่านสามารถไปดำเนินคดีได้ ไม่ใช่เพื่อเล่นงานพันธมิตรฯ แต่เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิของเรา วันนี้เราจะปล่อยให้กลุ่มเถื่อน...ถ่อย!!! เข้ามาทำให้บ้านเมืองเสื่อมอีกเนี่ยมันไม่ควร ในวันนี้ยิ่งท่านละเลยที่จะไม่ดำเนินการกับกลุ่มพวกนี้ ยิ่งทำให้กลุ่มพวกนี้เหิมเกริม ผมเรียกร้องให้ท่านไปดำเนินการเสีย…เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย!!! ที่มีกลุ่มหรือบุคคลกล้า หรือบุคคลที่บังอาจกล้าวิจารณ์การทำงานของศาลยุติธรรม
โดยเฉพาะการทำงานของศาลที่พิจารณาพิพากษาคดี ผมได้ดูเอเอสทีวีหลังจากที่ศาลตัดสิน วันนั้นกลุ่มแกนนำได้กลับไป และมีการพูดบนเวที อ่านคำสั่งศาลให้ผู้ชุมนุมฟัง วันนั้นผมตกใจ! ผมได้ยินเสียงโห่ร้องในทำนองไม่พอใจศาล ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นอารมณ์โกรธของมนุษย์ ผมเข้าใจได้ แต่รุ่งขึ้นกลับปรากฏว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กลับมีการพูดจาว่าจะมีการรวบรวมรายชื่อเพื่อถอดถอนองค์คณะผู้พิพากษา 2 ท่านนั้น เป็นเรื่องซึ่ง ถ้ากรณีมีการทำอย่างนั้นจริง ผมคนหนึ่งแหละที่จะออกมาต่อสู้เพื่อท่านทั้งสอง ไม่ใช่ว่าเพราะท่านตัดสินถูกใจผม แต่ประเด็นคือ บ้านเมืองต้องยอมรับว่าสถาบันศาล หรืออำนาจตุลาการ ได้หยิบยกขึ้นมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากเกินสมควรในบางกรณี ซึ่งเราอาจจะต้องยอมรับในบางสถานการณ์
แต่กรณีที่ศาลได้พิจารณาพิพากษาคดีตามปกติ เป็นเรื่องของครูที่ฟ้องพันธมิตรฯ และพันธมิตรฯ ก็แสดงความรู้สึกไม่พึงพอใจ แล้วคิดจะไปเล่นงานศาลเช่นนั้น ผมคิดว่าคนไทยที่ได้ยินได้ฟังเขาทนไม่ได้...คงไม่ใช่เฉพาะผม เพราะอย่าลืมว่าผู้พิพากษาทั้ง 2 ท่าน ในฐานะส่วนบุคคลท่านไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดี แต่ในฐานะที่ทำไปเป็นผู้พิพากษาที่ได้กระทำในพระปรมาภิไธยในพระมหากษัตริย์ การใช้ถ้อยคำของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง วันนั้น ผมรู้สึกว่าเหมือนกับ ไม่ยอมรับในการปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการ ที่กระทำในพระปรมาภิไธยในพระมหากษัตริย์!!
ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กล่าวอ้างเรื่องจงรักภักดี แต่การกระทำกลับส่อว่าจะสวนทางกับสิ่งที่พูด ไม่รวมกรณีที่ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เป็นผู้ที่ถูกออกหมายจับ ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่วันนี้กลายเป็นแกนนำสำคัญในเวทีที่กล่าวอ้างว่ามีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ฉะนั้นเวทีพันธมิตรฯ พูดอย่าง การกระทำแตกต่างเป็นอีกอย่างอยู่เสมอ แม้แต่วันนี้การที่ตั้งกลุ่ม “พลังแผ่นดิน” ผมถือว่ากรณีนี้เป็นการที่ กลุ่มพันธมิตรฯ บังอาจเหิมเกริม เพราะอย่าลืมว่า พระนามของในหลวงองค์ปัจจุบันคือคำว่า “ภูมิพล” ซึ่งแปลว่า “พลังแผ่นดิน” ตลอดระยะเวลาที่มีการกล่าวถึง “พลังแผ่นดิน” เรากล่าวโดยมีนัยว่าเป็นกิจกรรมที่เป็นไปเพื่อพระองค์ท่าน แต่วันนี้กลุ่มการเมืองข้างถนนพยายามที่จะดึงเอาคำนี้มา เพื่อให้คนเกิดความเข้าใจในทิศทางที่อาจจะก่อให้เป็นการระคายเคืองพระยุคลบาทของพระองค์ท่านก็ได้...”
ทนายความนักสู้ท่านนี้ยังกล่าวถึงสถานภาพของ ป.ป.ช. และการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างหนักแน่นว่า “ผมยังยืนยันว่ายังไม่ได้มีการปฏิบัติครบถ้วนตามกฎหมาย คุณเข้าสู่ตำแหน่งครบถ้วนตามขั้นตอน เราไม่ปฏิเสธว่า คปค. มีอำนาจให้คุณเข้ามานั่งในตำแหน่งต่อ แต่คุณจะปฏิบัติหน้าที่ได้ต่อเมื่อได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระมหากษัตริย์ เมื่อเขามานั่งทำงานตรงนี้โดยไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระมหากษัตริย์...ถือว่าเขาได้ก้าวล่วงต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ เป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย และมันจะมีเรื่องตามมาเยอะว่า การทำงานของคุณจะชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย การเข้ามานั่งอยู่บนเก้าอี้นี้กับการทำงานมันคนละส่วนนะ
ถ้าคุณจะเริ่มขยับมาทำงานคุณก็ต้องได้รับการโปรดเกล้าฯ ก่อน...พลังประชาชนเป็นพรรคการเมืองที่แสดงจุดยืนชัดเจนว่า เราไม่ต้องการรัฐธรรมนูญ 2550 ตั้งแต่เริ่มแรก แต่วันนี้ชะลอมา ผมว่าไม่มีความจำเป็นแล้ว ตอนนี้เราต้องอ้างประชาชนที่สนับสนุนเราอยู่ ถ้าจะชนต้องชนกัน ถ้าพันธมิตรฯ เห็นว่ามีจำนวนประชาชนที่อยู่ข้างถนนแล้วเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ ผมก็จะบอกว่าวันนี้ ส.ส. พรรคพลังประชาชน จะถือว่าเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ ลองกันดู ผมว่าไม่งั้นบ้านเมืองเสียหายทุกภาคส่วน”
วางแผงแล้ววันนี้ เนื้อหาแน่นปึ้ก แนวทางการต่อสู้ครบครัน อย่าช้าครับท่าน