WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, August 2, 2008

เมื่อไม่มีหนังสือราชเลขาธิการแล้ว ป.ป.ช. จะงัดมุกไหนมาเล่นอีก!?

คอลัมน์ : บทความพิเศษ

หลังจากที่ วาทตะวัน สุพรรณเภษัช “นักเขียน-มิลเลี่ยนคลิก” โยนระเบิดบทความแรกใส่ ป.ป.ช. แล้ว ก็เกิดการระเบิดต่อเนื่องจากบุคคลหลายฝ่าย และหลายองค์กร ที่สำคัญคือ

หนังสือราชเลขาธิการที่ ป.ป.ช. ใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงนั้น ไม่ปรากฏว่ามีอยู่ในสารบบงานสารบัญ ทั้งของสำนักงาน ป.ป.ช. เอง และทางสำนักนายกรัฐมนตรี

ปัญหาภาพของความไม่ถูกต้องชอบธรรม ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติชุดนี้ คงยังดำรงอยู่ต่อไปอีกนาน

ผมเขียนต้นฉบับนี้ เป็นเช้าวันจันทร์ที่ 28 เดือนกรกฎาคม 2551 ด้วยเห็นข่าวที่น่าสนใจพาดหัว “ประชาทรรศน์” รายวัน ว่า

ล็อกเป้า ‘กริพเพน’ ถล่ม ‘ชลิต’ พังคาเก้าอี้

ตามข่าวเขาลงตารางเปรียบเทียบชัดเจนว่า เมืองไทยซื้อของแพงกว่าประเทศอื่นเขามากมาย และความจริงเรื่องการจัดซื้อเครื่องบินเจ้าปัญหานี้ ผมเคยเขียนเอาไว้แล้วว่า มันน่าจะต้องมีเรื่องแน่นอน แต่ประชาทรรศน์ยังรายงานขาดไปในประเด็นสำคัญอีก เพราะหนังสือพิมพ์สวีเดนเองเขาลงข่าวเอาไว้ชัดเจนว่า

เครื่องบินที่ขายให้เมืองไทยนั้นเป็นของ Rebuilt หรือของที่เขายกเครื่องใหม่ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ว่า

เอาของมือสองมาขายให้เรานั่นเอง!

นี่เป็นผลงานของสมาชิกเก่า คมช. ที่ยึดอำนาจในแผ่นดิน ไล่อดีตผู้นำโดยกล่าวหาว่าทุจริต แต่กลับทำเรื่องพิกลในการจัดซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ นอกเหนือไปจากที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่า

คมช. คณะนี้ ได้ถลุงเงินหลวงไปเป็นจำนวนมากมายหลายพันล้านบาท เพราะเบิกเงินจากคลังหลวงไปเป็นค่าทำรัฐประหาร 2 พันล้านบาท แล้วต่อมายังเบิกเพิ่มเติมอีก 5 พันล้านบาท นัยว่าเพื่อนำไปเป็นค่าส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย ด้วยการรณรงค์ให้ผู้คนในบ้านเมืองยอมรับรัดทำมะนวย ที่มีค่าร่างแพงที่สุดในโลก และยังจัดพิมพ์ร่างรัดทำมะนวยออกแจกจ่าย 25 ล้านเล่ม ในราคาแพงกว่าปกติถึง 100% คนจัดทำฟาดไปอีกกว่า 200 ล้านบาท

ผมเลยแฉออกมาในหนังสือ “รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ” ที่เรียกว่า “หัวคูณ” นั้น ก็เพราะผู้ที่มีส่วนในการจัดพิมพ์ร่างรัดทำมะนวยร่วมกันปล้นชาติปล้นบ้านเมือง ด้วยการ “คูณกำไร” จากค่าจัดพิมพ์ เข้ากระเป๋าตัวเองและพรรคพวก ทั้งๆ ที่เงินค่าจัดพิมพ์นั้นไม่ใช่เงินของโคตรเง่าคนพวกนี้ แต่เป็นเงินหลวงแท้ๆ

ที่โผล่ออกมาล่าสุด เดลินิวส์ ฉบับวันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม 2551 ผู้เขียนคอลัมน์ ซึ่งใช้นามปากกาว่า “อันดามัน” รายงานว่า

“มีอดีตบิ๊ก คมช. ดอดไปซื้อบ้านที่ จ.ภูเก็ต มูลค่า 30-40 ล้านบาท” ซึ่งคุณอันดามันได้ตั้งปุจฉาว่า “ทำไมไม่มีใครไปตรวจสอบบ้างว่า เอาเงินมาจากไหน เกี่ยวข้องกับงบจัดซื้ออาวุธในกองทัพหรือเปล่า”

เป็นอย่างนั้นไปเสียอีก

น่าสงสาร...ประเทศไทยของเรามากจริงๆ!

ครั้นเราจะหวังว่าให้มีการสอบสวนโดยหน่วยงานของรัฐ ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก

ทำไมน่ะหรือครับ?...ตอบง่ายๆ ก็คือ

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชุดนี้ ได้ถือกำเนิดเกิดมาจากผลพวงของการยึดอำนาจในบ้านเมือง ของพวก คมช. เอง แล้วจะสอบสวนกันให้เป็นธรรมได้อย่างไร?

นอกจากนี้ ที่มาของคณะกรรมการชุดนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันมากมาย กล่าวคือ

หลังจากที่ผมเขียนบทความเรื่อง “วิบากกรรมของ ป.ป.ช. เห็นทีจะต้องคืนเงิน อย่างนั้นหรือ?” ตามด้วยบทความย้ำอีกครั้ง คือ

“ป.ป.ช. ยกคำสั่ง “บัง” เทียบชั้น “พระบรมราชโองการ!” อุเหม่!!!...อย่าบังอาจ!!!

จากนั้นก็มีผู้คนมากมาย ออกมาทวงหาความชอบธรรม ทั้งในการร้องเรียนต่อกรรมาธิการสภา รวมทั้งผู้คนที่ออกมาขับไล่ ป.ป.ช. ชุดนี้ อย่างที่ประชาทรรศน์วันเดียวกันได้พาดหัวว่า

“รวมพล 29 ก.ค. ไล่ ป.ป.ช. เถื่อนปล่อยเหี้ย 9 ตัว!”

ไม่รู้ว่า ป.ป.ช. จะปล่อยเหี้ยออกมาสู้รบปรบมือกับฝ่ายต่อต้าน ในจำนวนเท่าๆ กันหรือเปล่า? ผมก็ไม่ทราบได้ เพราะเขียนบทความก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น แต่สถานการณ์จะเป็นอย่างไรนั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หากสิ่งที่ต้องการนำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกันในวันนี้ ก็คือ

ในคอลัมน์ “ป.ป.ช. ยกคำสั่ง “บัง” เทียบชั้น “พระบรมราชโองการ!” อุเหม่!!!...อย่าบังอาจ!!! นั้น ผมได้แสดงความเคลือบแคลงใจในกรณีที่ นายภักดี โพธิศิริ หนึ่งในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกมาให้ข่าวว่า

...ราชเลขาธิการได้ส่งหนังสือตอบกลับมาเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ป.ป.ช. ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะยึดอำนาจ ซึ่งถือเป็น “องค์รัฐาธิปัตย์” ผู้มีอำนาจเด็ดขาดขณะนั้น ถือว่าเป็นองค์กรที่ถูกต้องตามกฎหมาย...

เหตุที่ผมเคลือบแคลงใจนั้น ได้แสดงให้ท่านผู้อ่านเห็นว่า คำว่า “รัฐาธิปัตย์” แม้จะสะกดว่า “รัฏฐาธิปัตย์” หรือ “รัฐฐาธิปัตย์” นั้น ก็ไม่มีอยู่ในภาษาไทยทั้งนั้น ซึ่งผมได้ชี้แจงแสดงเหตุว่า

สำนักราชเลขาธิการคงไม่ใช้ถ้อยคำที่ไม่มีอยู่ในภาษาไทย ในการตอบหนังสือสำคัญอย่างนี้!

ไม่น่าเชื่อว่า ความคาดหมายของผมจะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ก็เพราะ...

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมานี้ คณะกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ รัฐวิสาหกิจ องค์กรมหาชนและกองทุน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี นายสุทิน คลังแสง เป็นประธานคณะกรรมการฯ ได้เรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบปากคำ หนังสือพิมพ์ได้รายงานข่าวชัดเจน ดังนี้

นายสุทินได้ขอเอกสารสำเนาหนังสือของราชเลขาธิการ จากเลขาธิการ ป.ป.ช. ซึ่งในวันพฤหัสบดีที่แล้วได้เข้ามาให้ปากคำกับคณะกรรมการ รวมทั้งขอสำเนาหนังสือดังกล่าวจากทางสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งทาง ป.ป.ช. ได้อ้างว่าหนังสือราชเลขาธิการมีมาถึงนั้น

ปรากฏว่าทั้ง 2 หน่วยงาน ไม่สามารถจัดส่งสำเนาหนังสือราชเลขาธิการ ที่ระบุว่า คมช. เป็น“องค์รัฐาธิปัตย์” อย่างที่ นายภักดี โพธิศิริ กล่าวอ้างแต่อย่างใด

นั่นไง...หนังสือที่ไม่มีอยู่จริง ยังอ้างกันดื้อๆ ได้!?

นอกจากนี้ ในเรื่องประเด็นเงินเดือน แม้ผมจะไม่ได้ไปเอง แต่ในเรื่องเดียวกันคือการร้องเรียนประเด็นเงินเดือนนั้น ก็มีทนายหนุ่มไฟแรง ซึ่งยื่นหนังสือให้ทาง ป.ป.ช. พิจารณาในประเด็นเดียวกันกับผม ได้เดินไปให้ปากคำกับคณะ
กรรมาธิการ ที่รัฐสภา ในฐานะผู้ร้องด้วย

ทนายหนุ่มผู้ร้องยังได้ชี้ประเด็นให้คณะกรรมาธิการฯ เห็นอีกว่า

1.แม้แต่ตัว พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้า คปค. ยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2551 ครั้นวันที่ 20 กันยายน 2551 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองฯ ก็อย่างนี้แล้ว...

กรรมการ ป.ป.ช. เป็นใครกันเล่า ถึงไม่ต้องโปรดเกล้าฯ!?

2.ตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 19 ข้อ 4 วรรคสาม ยังกำหนดว่า กรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เหลืออยู่ไม่ถึง 6 คน ก็ได้กำหนดให้นายกรัฐมนตรีสรรหา แล้วนำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

(ดูสิ...ขนาดจะแต่งตั้งซ่อม ยังต้องนำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง!)

3.คำสั่งของ คปค. หากประสงค์จะให้รับเงินเดือนอย่างใด จะระบุไว้ในคำสั่ง คปค. อย่างชัดเจน เช่น คำสั่ง คปค. ที่ 10/49, 21/49, 22/49 และ 23/49 เป็นต้น

4.คำสั่ง คปค. ที่ 24/49 ยังมีคำสั่งให้ นายจรัญ ภักดีธนากุล ที่จะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม ขอพระราชทานพระบรมราชโองการให้มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

5.(ข้อนี้สำคัญมาก) เลขาธิการ ป.ป.ช. ได้หารือกับเลขาธิการ ครม. แต่เพียงเรื่องการแต่งตั้งกรรมการ ป.ป.ช. แต่...
ไม่ได้หารือต่อไปอีกว่า ตาม พ.ร.บ.เงินเดือนฯ ของกรรมการ ป.ป.ช. พ.ศ.2541 มาตรา 4 ซึ่งบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า ให้รับเงินเดือน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่มีพระบรมราชโองการให้ดำรงตำแหน่ง หากไม่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง จะจ่ายเงินเดือนได้หรือไม่?

หรือตัวเลขาธิการ ป.ป.ช. จะตีความว่าคำสั่ง คปค. เทียบเท่ากับพระบรมราชโองการ? จึงจ่ายเงินเดือนให้กับคณะกรรมการ ป.ป.ช.

ในกรณีเดียวกัน สำหรับคณะกรรมการ ป.ป.ช. เอง ก็คงยินดีให้เกียรติกับคำสั่ง คปค. ว่าเท่ากับพระราชโองการ จึงรับเงินเดือนทุกเดือน อย่างที่รับกันอยู่นี้!

อย่างนั้น...ใช่หรือไม่?

กฎหมายเกี่ยวกับ “เงิน” นั้น จะต้องตีความตามลายลักษณ์อักษรอย่างเคร่งครัด ซึ่งท่านเลขาธิการฯ ก็คงจะเห็นว่า กรรมการ ป.ป.ช. ชุดก่อนหน้านั้น แม้จะประกอบด้วยนักกฎหมายอย่างอดีตอัยการสูงสุด อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ก็ยังถูกลงโทษถึงจำคุก เพราะการตีความเกี่ยวกับการขึ้นเงินเดือนตัวเองคลาดเคลื่อนนั่น ใช่หรือไม่?

สรุป คำสั่ง คปค. ทุกฉบับ จะต้องคำนึงถึงเรื่องเงินเดือน และการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ไม่ได้ใช้คำสั่ง คปค. แทนพระบรมราชโองการแต่งตั้ง

เห็นกันหรือยังครับท่านผู้อ่านที่เคารพ...

ภาพของความถูกต้องชอบธรรม แห่งการดำรงอยู่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดนี้ นั้น...

...มั่วซั่ว มัวซัว เพียงใด!?

อยากจะรู้จริงๆ ว่า นอกจากจะท่องคาถา “รัดทำมะนวย” ฉบับ คมช. มาตรา 309 แล้ว

คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะงัดมุกไหนมาเล่นต่ออีก!!?

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช