*ขอสรุปสั้นๆ ด้วยภาษาชาวบ้านดังนี้
1.รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ตั้ง ปรส. ขึ้นมา ให้ทำหน้าที่ปฏิรูปสถาบันการเงินให้มีความแข็งแรง และฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบ เพื่อเป็นกำลังทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป จึงให้หยุดกิจการ 58 สถาบันการเงินเป็นการชั่วคราว แต่ครั้นเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ นโยบายก็เปลี่ยนแปลงไปหมด มีการสั่งปิดตาย 58 สถาบันการเงินทันที และกลับมาเปิดใหม่เพียง 2 แห่ง เสมือนเป็นการเริ่มต้นของแผนร้าย โดยไม่ดำเนินการตามวัตถุประสงค์เดิม
2.เมื่อปิดสถาบันการเงินแล้วโอนทรัพย์สินและลูกหนี้กว่า 6 แสนล้านบาทไปให้ ปรส. บริหารจัดการ โดยรัฐบาลรับใช้หนี้เงินฝากแก่ประชาชนที่ฝากไว้กับสถาบันการเงินที่ถูกปิดไป ทั้งหมดเท่ากับว่า การบริหารจัดการหนี้เสียของสถาบันเหล่านี้ จักต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ คือจะต้องจัดการให้ได้รับผลตอบแทนที่ทัดเทียมกัน มิฉะนั้น รัฐบาลก็จะเสียหาย ซึ่งก็คือประชาชนเสียหาย
3.ผู้บริหาร ปรส. และ ธปท. จ้างฝรั่งมาเป็นที่ปรึกษา และกำหนดให้ขายทรัพย์สินกว่า 6 แสนล้านบาทโดยเร็ว โดยวิธีการจัดรวมหนี้เน่ามารวมกองกับหนี้ดี ซึ่งก็คือ ทำให้ราคาหนี้ดีต้องถูกกดตามหนี้เน่าในกองเดียวกันไปด้วย (แทนที่จะจัดหนี้ดีกองรวมกัน แยกต่างหากจากกองหนี้เน่า) และจะขายเป็นกองๆ ละประมาณหมื่นล้านบาท แต่ไม่ให้ลูกหนี้เดิมมีส่วนร่วมประมูล เท่ากับเป็นการเปิดทางให้เฉพาะต่างชาติซึ่งเป็นพวกพ้องเท่านั้น
4.ที่ปรึกษาฝรั่งแห่งหนึ่ง ได้เข้ามาตรวจสอบรายการทรัพย์สินที่เป็นลูกหนี้ทั้งหมด รวบรวมเก็บข้อมูลทั้งหมด แล้วจัดกองลูกหนี้เอง จากนั้นก็กำหนดเงื่อนไขการขายคือ ไม่ให้ลูกหนี้เข้าประมูล และเมื่อขายกองละหมื่นล้านบาทขึ้นไป ก็เท่ากับกีดกันผู้ประมูลทั่วไปให้เหลือน้อยลง
5.เมื่อประกาศประมูล ได้มีผู้แสดงความสนใจหลายราย จึงต้องเปิดให้ผู้แจ้งความจำนงจะเข้าร่วมประมูล มีโอกาสตรวจกองลูกหนี้ เพื่อจะได้รู้สถานะที่แท้จริง เพื่อเสนอราคาได้ถูกต้องหลังจากเปิดให้ตรวจแล้ว ผู้ดำเนินการประมูลได้ใช้เล่ห์กลเพื่อสร้างความสับสนให้กับผู้จะเข้าร่วมประมูล โดยการสลับกองลูกหนี้ ย้ายลูกหนี้กองนั้นไปไว้กองโน้น ทำให้ผู้สนใจที่มาตรวจดูกองลูกหนี้แล้วเกิดความไม่แน่ใจว่า กองหนี้ที่ตั้งใจจะประมูลเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จึงทำให้มีผู้สละสิทธิ์ ไม่เข้าประมูลหลายราย เหลือแต่พรรคพวกในขบวนการเดียวกันเท่านั้น
6.ในจำนวนผู้สนใจซื้อหนี้ มีบริษัทที่ที่ปรึกษาฝรั่งถือหุ้น 99.99% ที่เพิ่งจดทะเบียนเพื่อทำธุรกรรมเฉพาะกิจในครั้งนี้รวมอยู่ด้วย และสุดท้ายก็คือผู้ชนะการประมูล เพราะชงเอง ชู้ตเอง จึงรู้ตื้นลึกหนาบางทุกรายละเอียดนั่นเอง
ทรัพย์สินกว่า 6 แสนล้านบาท จึงขายได้ต่ำกว่า 200,000 แสนล้านบาท เท่ากับชาติถูกปล้นไปกว่า 4 แสนล้านบาท! เป็นมหาวีรกรรมโกงชาติระดับโลก ที่ต้องจารึกไว้ชั่วลูกชั่วหลาน
7.พอชนะประมูลแล้วยังคิดโกงภาษีต่อไปอีก โดยวิธีตั้งเป็นบริษัทกองทุนเข้ามารับช่วงต่อ เพื่อให้เข้าข่ายได้รับการยกเว้นภาษีบริษัทกองทุน จึงต้องถูกจดทะเบียนอย่างเร่งด่วน ดังนั้น เมื่อถึงวันเซ็นสัญญา ผู้ชนะประมูลไม่ได้มาร่วมลงนามเซ็นสัญญา คงมีแต่ ปรส. เซ็นชื่อข้างเดียว ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการทำสัญญาแบบไหน แต่ก็มีการโอนเงินเข้ามาชำระเงินงวดแรกหลังจากนั้นอีกหลายเดือน เมื่อมีการตั้งกองทุนเสร็จ ก็เอากองทุนเข้ามาทำสัญญา เท่ากับเป็นการโกงภาษีอีกต่อหนึ่ง ความเสียหายกว่า 4 แสนล้านบาท คนไทยทั้งประเทศต้องรับภาระต่อไปอีกนาน
ความจริงยังมีวีรกรรมของ ปรส. ในยุคของรัฐบาลเวลานั้นอีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องการขายสัญญาลีสซิ่งของสถาบันการเงินให้กับ จีอี แคปปิตอล ในราคาถูกๆ แต่หัวใจของเรื่องก็คือ จีอี แคปปิตอล ผู้ประมูลได้นั้น มีประธานบริษัทที่ว่ากันว่า เป็นนายกฯ ผู้ดีในช่วงวิกฤติพฤษภา 2535
ท่านทั้งหลายที่อ่านมาถึงบทนี้ คงคุ้นๆ กับชื่อตัวแสดงเหล่านี้ ที่ส่วนใหญ่จะละม้ายกับกลุ่มตัวละครในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก
โอ้! พระเจ้าช่วยกล้วยทอด!
นี่คือข้อมูลที่ชำแหละนโยบายและพฤติกรรมของพรรครัฐบาลในช่วงเวลานั้นได้อย่างถึงลูก ถึงคน ถึงแก่น
ข้อมูลเช่นนี้ ยากที่จะหาคนไม่เชื่อ
ยากที่จะหาข้อมาคัดง้าง
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ “กรณีอัปยศนี้” ล่วงเลยผ่านไปแล้ว 11 ปี
เป็น 11 ปีที่ไร้คำตอบ และคำชี้แจงของ ปชป. ผู้เป็นรัฐบาลในเวลานั้น
สุดท้าย! ขอเลียนแบบพฤติกรรมของเหล่าพันธมิตรฯ ที่ชอบตะโกนด่าทอบนเวทีดังๆ สักหน่อยว่า “ปชป. ตอบได้แล้วโว้ย”