ถ้ามองในแง่ดี ตอนนี้บ้านเมืองมีแต่เรื่องตลก…
เพราะพื้นฐานของเรื่องตลก คือเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็กลับเป็นได้ เรื่องที่ปกติแล้วสังคมมนุษย์ธรรมดาไม่มีทางปล่อยให้เป็นไป แต่ก็ดันปล่อยให้เกิดขึ้น
เรื่องที่ “ฮา” ที่สุดสำหรับวันนี้คือ เรื่องของการกระทำที่เคยมี “โทษสูงสุด” ในรัฐธรรมนูญ กลับกลายมาเป็นสิ่งที่มี “อำนาจเด็ดขาดที่สุด” เหนือรัฐธรรมนูญ
กำลังหมายถึง การรัฐประหาร
ผู้ก่อการซึ่งทำลายระบอบประชาธิปไตย ฉีกรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายปกครองสูงสุดของประเทศ มีโทษสถานเดียวคือ ประหารชีวิต…
แต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นอกจากผู้ก่อการรัฐประหารจะไม่ได้รับโทษผิด ยังกลายมาเป็นองค์อำนาจชอบธรรมสูงสุดที่เรียกกันว่า “องค์รัฐาธิปัตย์” ซึ่งนึกจะแต่งตั้งใครมาทำงานตอบสนองเป้าหมายตัวเองอย่างไรก็ได้ และไข่ที่ฟักออกมาจากรังโจรนั้น ก็ได้รับการรับรองความชอบธรรมเสียด้วย
นอกจากจะไม่มีการพูดถึงความผิดของคนทำรัฐประหาร ยังกลายเป็นว่า คนที่จ้องจับผิดกระบวนการหลังจากนั้น กลายเป็นคนจัญไรไปแทนเสียแล้ว…
กลับตาลปัตรกันไปหมดอย่างนี้ หลักนิติรัฐไม่ใช่สิ่งที่มีความหมายอีกต่อไป เพราะต่อนี้ไป ขอแค่ใครมีอาวุธในมือมากพอ ก็เขียนกฎหมายสถาปนาหลักนิติของรัฐตัวเองได้ทุกเมื่อ
เรื่องแบบนี้ หากไม่มองให้เป็นเรื่องตลก ก็คงได้แต่ขุ่นแค้นกระอักเลือดอยู่ในอกตัวเองไปเปล่าๆ
แค้นที่ว่าคนชักพาประเทศถอยหลัง เหตุใดยังนั่งเสวยสุข
แต่คนที่เข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้ก้าวหน้า กลับต้องเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางไปทุกเมื่อ
ต่อไป ถ้ายังหาคนมีความสามารถมาทำงานรับใช้บ้านเมืองได้มากพอ ก็ถือว่าเป็นบุญ
เพราะขึ้นชื่อว่าประเทศไทย อาศัยเดินหน้าได้ด้วยบุญด้วยกรรม มากกว่าด้วยหลักเกณฑ์สากลอันใดอยู่แล้ว
จึงอย่าแปลกใจ หากวันใดเหลียวมองรอบข้างแล้วจะไม่พบประเทศใดเลยที่อยู่ระนาบเดียวกัน
เพราะเขาจะชิงก้าวแซงไปข้างหน้ากันหมดแล้ว…
เว้นเสียแต่ว่า ประเทศพม่าจะยังปกครองด้วยระบบการเมืองเช่นทุกวันนี้
เรื่องตลก (ขื่นๆ) อีกเรื่อง ที่ต้องนำมาเล่าสู่กันฟัง
เป็นข่าวโด่งดังเมื่อบ้านเปา บุ้น จิ้นหญิงคนหนึ่งถูกวางเพลิง
เจ๊แกอาจเรียกว่าบ้าน แต่คนทั่วไปเขาพร้อมใจเรียกว่า คฤหาสน์
ก็มีอย่างที่ไหน ขนาดแค่เสาปูนเปลือยกับโครงสร้างบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ ยังเห็นหน้าตาความใหญ่โตมโหระทึกกันได้ถึงเพียงนั้น
สมควรแล้วที่สื่อแทบทุกฉบับวิเคราะห์ตรงกันว่า เกมเผาบ้านครั้งนี้ ไม่ได้มุ่งหวังข่มขู่เกี่ยวกับการทำงานใดๆ ตามที่เจ้าของบ้านพยายามสร้างราคา
แต่เป็นเกมลากจูงสื่อมวลชนให้มาเห็นกับตาว่า “บ้าน” หลังนี้ มันมีเค้าความโอ่อ่าขนาดไหน
ใหญ่…ขนาดที่ว่าจ่าย 50 ล้านก็ยังว่าคุ้ม
ดูท่าแล้วไม่น่าจะราคาถูกแค่ไม่กี่ล้านอย่างที่ป่าวประกาศ
ดูเถิด ขนาดหลักฐานทิ่มตา สื่อมวลชนก็ยังแทบไม่ให้น้ำหนักความสงสัย
เลยต้องให้มือมืดใจร้อน หาเรื่องเผาไฟประจานหลักฐานให้เห็นกันทั่ว
ถ้าจะดี น่าจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยการประเมินค่าความเสียหายจากเพลิงไหม้มาให้ดูด้วย
ว่าจะแค่ไม่กี่ล้านอย่างที่โฆษณาไว้หรือไม่
ถ้าถูกขนาดนั้นจริง จะรีบตั้งกองผ้าป่า รวบรวมเงินทองไปขอซื้อต่อมันซะเดี๋ยวนี้
อ้อนวอนว่าให้ขายต่อเสียเถอะ มีไว้ต่อไปก็ดูท่าจะไม่ดีกับตัว…
ไหนจะเรื่องสินบนนำจับที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญในทางเสียๆ หายๆ นั่นอีก
แม้สรุปอาจออกมาว่า ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการไต่สวน ไม่มีสิทธิ์ได้รับรางวี่รางวัล
แต่เชื่อเถอะว่า ความน่าเชื่อถือหรือความสง่างามนั้น มันไม่เหลืออยู่แล้ว