คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว
โดย อัฐศิริ
ไม่ได้เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายเลย กับการดิ้นประกาศสงครามครั้งสุดท้ายของพันธมิตรพันธมาร ซึ่ง “จำลอง ศรีเมือง” ยืนยันว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ถ้าไม่ชนะก็บ้านใครบ้านมัน เหตุผลคือไม่อาจดื้อด้านอยู่ในสภาพตายซากต่อไปได้ เพราะสังคมได้รู้เช่นเห็นชาติว่า คนพวกนี้มีเจตนาอย่างไร ทำเพื่อใคร
เมื่อต้องหาทางลง ก็ต้องเลือกวิธีการที่ดูว่าไม่โหลยโท่ยจนเกินไปนัก เพราะจะถูกตราหน้าว่า พ่ายแพ้ราบคาบ อย่างไม่มีราคาเหตุผลสำคัญมี 2 ประการ คือ
ประการแรก มองย้อนไปในอดีต วันนี้กรรมที่ก่อไว้ กำลังส่งผลตามสนองอย่างสาสม จากการกระทำในสิ่งที่มิบังควร จนถูกถล่มอย่างไม่มีชิ้นดี
ประการที่สอง เมื่อมองไปข้างหน้า จะมีงานรัฐพีธีสำคัญรออยู่ การดื้อดึงขัดขวางก็เป็นสิ่งที่ไม่บังควรอีกเช่นกัน
ระยะเวลา 6 เดือนที่บุกรุกเข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาล แต่ผลงานของ “ม็อบโกเต๊กซ์” ไม่ปรากฏให้เห็นเป็นรูปเป็นร่าง นอกจากการทำนา คนพวกนี้ก็เริ่มถอดใจ
ทั้งพวกที่กระโดดโลดเต้นอยู่ข้างหน้า และที่ซุ่มซ่อนหนุนหลังชักใยอยู่เบื้องหลัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ท่อน้ำเลี้ยง” ก็ตีบตันลงทุกที เงินบริจาคก็มีปัญหา ทำให้เกิดการกินแหนงแคลงใจกันในบรรดาแกนนำด้วยกันเอง
เมื่อสถานการณ์บีบบังคับเช่นนี้ “ม็อบโกเต๊กซ์” จึงไม่อาจหดหัวอยู่ในทำเนียบรัฐบาลได้
การรุกครั้งนี้ถือเป็นทิ้งไพ่ตาย ด้วยการไปตายเอาดาบหน้า แม้ว่าข้ออ้างจะไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย แต่ก็ต้องทำ เผื่อจะฟื้นคืนศรัทธากลับมาได้บ้าง
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า จะอ้างอย่างไร เพื่อระดมคนให้มาร่วมให้มากที่สุด
เพราะการไปปิดล้อมรัฐสภา โดยอ้างว่าจะมีการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับซากเดนทรราช แต่ปฏิเสธจากประธานรัฐสภา และถูกสำทับตอกย้ำว่า เป็นการประชุม เพื่อให้การรับรองรัฐบาลในการไปทำงานเพื่อประเทศชาติ ให้สมกับเป็นเจ้าภาพของการประชุมและเป็นผู้นำอาเซียนอย่างสมเกียรติสมศักดิ์ศรี
เมื่อจนตรอกก็ยกเอาเรื่องขับไล่รัฐบาล มาเป็นข้ออ้าง เข้าทำนองหมาป่ากับลูกแกะ ตามประสาคนพาลสันดานชั่ว
เพราะทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องยุ่งเหยิงกับม็อบพันธมิตรพันธมาร นั้น มีเป้าหมายที่หมายของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งแตกต่างกันไป
บางคนมาเพื่อสร้างราคาให้ตัวเอง เพื่อหวังผลทางการเมืองในการเมืองใหม่ ที่คนพวกนี้
พยายามผลักดันให้เกิดขึ้น
รวมทั้งนักวิชาการที่ออกมาเพื่อแสดงภูมิอวดรู้ แต่เมื่อถลำตัวมาแล้วก็ต้องเลยตามเลย
แม้จะถูกคนถ่อยสมาชิกกองโจร ลบหลู่ดูแคลนให้เสียศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของนักวิชาการผู้รอบรู้ ก็ต้องจำยอม
ที่สำคัญการที่แกนนำพูดจาด่าทอ เพราะไม่พอใจที่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขามูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งเป็นข้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กรณีที่แสดงออกว่าต้องการให้เกิดความปรองดอง อยากถามว่าเป็นสิ่งที่ควรแล้วหรือไม่
แต่ “ม็อบโกเต๊กซ์”สามารถทำได้อย่างไม่สะทกสะท้าน หรือ ตะขิดตะขวงใจใดๆ เลย
เหตุการณ์วันที่ 24 พฤศจิกายน มีการทำผิดกฎหมายชัดเจน มีการละเมิดสิทธิ์โดยการปิดถนน ปิดล้อมรัฐสภา บช.น ทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวที่ดอนเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่ของกองทัพอากาศ การยึดรถเมล์โดยกลุ่มโจรที่มีอาวุธครบมือ เป็นเรื่องที่คนดีๆ รับไม่ได้
มีโทรศัพท์เข้ามาที่กองบรรณาธิการ ว่าทนไม่ได้กับการกระทำของคนกลุ่มนี้ ทำไมเจ้าหน้าที่จึงยังไม่ทำอะไรบ้าง เพื่อเป็นการปราม ไม่ให้เกิดการเหิมเกริมไปมากกว่านี้
บางคนถึงกับพูดว่า ถ้ามันยิ่งใหญ่คับบ้านเมือง ก็ยกประเทศให้มันไปเลย จะได้รู้แล้วรู้รอด ว่าบ้านนี้เมืองนี้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย คนดีถูกคนชั่วทำร้ายทำลาย
คนที่รักษากฎหมาย ไม่อาจทำอะไรกับพวกที่สร้างความวุ่นวายปั่นป่วนในบ้านเมืองได้แล้วหรือ
บางคนก็แสดงความเห็นว่า ในเมื่อผู้ชุมนุมยึดทำเนียบ ปิดล้อมรัฐสภา ก็น่ามายึดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยึดกระทรวงมหาดไทย กับ กระทรวงกลาโหมไปเลย
เขาถามว่า “ม็อบพันธมิตรฯ” จะกล้าไหม
ทุกสายที่ต่อเข้ามา มีอารมณ์กันทั้งนั้นครับ อันนี้เข้าใจได้ครับ
ก็ได้แต่บอกว่าให้ตั้งสติ ใจเย็นๆ เรื่องนี้จะใช้อารมณ์ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะเปิดทางให้สิ่งที่เราไม่ต้องการหวนกลับมาอีก
จะเป็นการซ้ำเติมประเทศชาติให้สาหัสไปมากกว่านี้
ก็ได้แต่บอกไปว่า คิดว่าทางฝ่ายที่รักษากฎหมาย ฝ่ายที่รักษาบ้านเมืองคงจะคิดทำอะไรอยู่เหมือนกัน ขอให้รอดูจะดีกว่า ก็ทำได้เท่านี้จริงๆ ครับ
อย่างไรก็ตาม การที่พันธมิตรพันธมารเข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาล นอกจากชื่อเสียงเกียรติภูมิของประเทศต้องเสียหายย่อยยับแล้ว ตัวอาคารสถานที่ ห้องหับต่างๆ ถูกงัด เอกสารสำคัญ ของที่ระลึกที่หาค่ามิได้แต่มีค่าทางด้านจิตใจและศักดิ์ศรีการยอมรับอารยประเทศ รวมทั้งอาวุธปืนเครื่องกระสุนหายไปเพียบ
ผลสุดท้ายก็จะต้องมีการทำลายหลักฐาน ถ้าใครยังจำการเผากองทะเบียนได้ ก็คงนึกออก
ยางรถยนต์ที่มากองสุมกันเป็นกองพะเนิน อ้างว่าเป็นเครื่องกีดขวางป้องกันการมีคนมาทำร้ายผู้มาชุมนุมประท้วง นั่นจะเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี
คนเราเมื่อจนตรอก ผมเชื่อว่า อะไรก็ทำได้ทั้งนั้นครับ ยิ่งในช่วงที่พยายามเบนความสนใจของผู้คนให้ออกไปจากทำเนียบรัฐบาล
ในช่วงที่ทำเนียบรัฐบาลปลอดจากผู้คนที่สอดรู้สอดเห็น อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
การที่นายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกมาเปรยว่า จะต้องหาสถานที่ก่อสร้างทำเนียบรัฐบาลแห่งใหม่ ดูเหมือนว่าท่านจะรู้ระแคะระคายว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับทำเนียบรัฐบาล หรือเปล่า
เพราะฉะนั้น เรื่องทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น ที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตาย จะจบลงง่ายๆ ห้วนๆ อย่างที่ “จำลอง ศรีเมือง” ปลุกระดมว่า ถ้าไม่ชนะก็บ้านใครบ้านมันนั้น
เห็นจะไม่ได้หรอกครับ
จะต้องเอาตัวคนผิดมาลงโทษ ต้องมีการถอนรากถอนโคน กวาดล้างพวกเสี้ยนหนามแผ่นดินให้สิ้นซาก ไม่เช่นนั้น “เชื้อร้าย” นี้อาจจะหวนกลับมาทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อีก
เอาไว้ไม่ได้จริงๆ ครับ
เรื่องอย่างนี้ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไรเลย เพราะรู้ตัวรู้ตน ได้เห็นพฤติกรรมพฤติการณ์กันมานานแสนนานแล้ว ทั้งที่เป็นตัวหลักในกรุงเทพฯ และที่เป็นตัวป่วนในต่างจังหวัด
ไม่เช่นนั้นความอุบาทว์จัญไรจะฟื้นคืนมาอีกแน่นอน