นักวิชาการ สลดอารมณ์ โกตั๊บโครตโรคจิต สร้างอำนาจนิยมสะกดจิตมวลชนฟังความข้างเดียว เชื่อสถานการณ์ต้องร้อนเป็นไฟ เอาไม้เขี่ยก้น"กรรมการสิทธิ์"นิ่งเกินเหตุ ไม่จวกพวกมารเพราะอคติ ย้ำคนหนุนหลัง "ม็อบหมาบ้า"ไม่รู้เรื่องกวักมือเรียกทหารยึดอำนาจท่าเดียว ม.เที่ยงคืนเอาด้วย ประณามกลุ่มให้พธม. ด้าน อ.ธงชัย เสนอ 5 ข้อหยุด "ม็อบเลว"
อ.วสันต์ ลิมป์เฉลิม อาจารย์คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรีให้สัมภาษณ์กรณีความรุนแรงของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ปิดล้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยกล่าวว่าสถานการณ์ในขณะนี้เปลี่ยนไปเร็วมาก และการปฏิบัติการของฝ่ายพันธมิตรฯเป็นการกระทำที่ขาดสติ ตั้งแต่การปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวดอนเมือง โดยตนได้ทำการวิเคราะห์ กลุ่มผู้ชุมนุมมีความเปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อ 2เดือนที่ผ่านมาคือยุิติการรับรู้ข่าวสารทั้งหมดและจะรับการสื่อสารในด้านเดียวเท่านั้นคือถ้อยคำที่มาจากแกนนำ ซึ่งถือได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่ไร้เหตุผล ซึ่งทางประวัติศาตร์ที่มีการบันทึกไว้ระบุว่าพฤติกรรมเยี่ยงนี้จะเสียประโยชน์โดยทั้งหมด
ทั้งนี้อ.วสันต์กล่าวเสริมว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯเป็นเรื่องที่น่าห่วงและจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยจะสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศ และระบอบความเชื่่อมั่นโดยจากการที่ปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิเป็นการสร้างความเสื่อมเสียโดยใช้เหตุ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ ผู้โดยสาร นักเรียนและประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงต่างหวาดกลัวอยู่บนความหวาดระแวง เพราะความรุนแรงที่จับจุดไม่ได้ของกลุ่มพันธมิตรฯ
"ตอนนี้กลุ่มผู้ชุมนุมมีพฤติกรรมเป็นการรับสื่อด้านเดียว ปิดกันตัวเองโดยสิ้นเชิง นี่เป็นบุึคลิกอำนาจนิยม ซึ่งถือว่าเป็นความรุนแรงมากในการเคลื่อนไหว คือเขาจะไม่ฟังใครนอกจากสื่อที่เขาต้องการนั่นก็คือแกนนำและสื่อของผู้จัดการ ซึ่งหากพันธมิตรฯบอกว่านี่คือชัยชนะตนมองว่ามันไม่จริงเพราะมันไม่มีเหตุผล ตอนนี้มันเป็นเรื่องน่าสลดใจ น่าเศร้าและตลกมากด้วยก็คือกลุ่มพันธมิตรฯมีแกนนำและคนสนิทที่มีปัญหาทางจิต ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าห่วง" อ.วสันต์ กล่าว
เมื่อถามว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนท่านใดออกมาเรียกร้องให้กลุ่มพันธมิตรฯยุติการชุมนุมที่เกินขอบเขตอ.วสันต์กล่าวเพียงสั้นๆว่า ตนไม่ขอพูดอะไรมากเพราะเท่าที่ผ่านมาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเองก็คงมีจิตใจที่อคติ คับแคบ เพราะที่ผ่านมาก็ได้แสดงออกว่ามีความอคติเป็นหลักอยู่แล้ว
เมื่อถามถึงบทบาทหน้าที่ของกองทัพที่ควรเร่งดำเนินการเพื่อป้องกันความรุนแรง นักวิชาการท่านนี้กล่าวว่าส่วนตัวแล้วตนมีความเห็นใจพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ถูกกดดันจากฝ่ายที่หนุนหลังกลุ่มพันธมิตรฯอยู่ ที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ และพยายามสร้างความวุ่นวาย โดยหวังเพียงอย่างเดียวว่าทหารจะออกมาทำการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐบาล ดังนั้นสภาพในปัจจุบันจึงเป็นคนที่มีอำนาจแต่ไม่สามารถสั่งการหรือหยิบใช้อำนาจของตนเองได้ ซึ่งในอนาคตจะเป็นเหตุให้คนที่คุมอำนาจมีความเคลือบแคลงใจเกิดขึ้น
ม.เที่ยงคืนประณามกลุ่มให้ท้าย"ม็อบถ่อย"
ศ.ดร.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน พร้อมคณาจารย์รวม 6 คน ร่วมกันแถลงข่าวและออกแถลงการณ์ประณามการร่วมสร้างภาวะมิคสัญญีในการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยระบุว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องการสร้างความปั่นป่วนให้กับสังคมไทยและมีเป้าหมายดึงอำนาจนอกระบบเข้ามาเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหา ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้เป็นความสุ่มเสี่ยง เพราะมีการเข้ายึดสถานที่ราชการ และสนามบินสุวรรณภูมิ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบและความเสียหาย ขอให้ นพ.ประเวศ วสี, นายเสน่ห์ จามริก ปัญญาชนสาธารณะและกรรมการสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ส.ว.กลุ่ม 40 พรรคการเมืองฝ่ายค้าน ที่เคลื่อนไหวให้ท้ายกลุ่มพันธมิตรฯ มาตลอดออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อหายนะที่เกิดกับสังคมไทย
ทั้งนี้แถลงการณ์ยังระบุว่า สื่อมวลชนที่ไม่ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งรวมถึงสถานีโทรทัศน์บางช่องเสนอข่าวด้านบวก สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ ควรทำหน้าที่ของตนด้วยการนำเสนอข่าวอย่างรอบด้านในฐานะที่เป็นสื่อสาธารณะที่มาจากภาษีประชาชน ซึ่งทางออกเฉพาะหน้าขณะนี้คือ รัฐบาลควรใช้มาตรการทางกฎหมายดำเนินการปกป้องไม่ให้ประเทศชาติบ้านเมืองเสียหาย เรียกร้องให้สังคมกดดันให้กลุ่มพันธมิตรฯ ยุติการกระทำที่นำไปสู่ความเลวร้าย
“เราไม่อยากเห็นการใช้กำลังปราบปราม แต่ควรใช้กฎหมายจัดการ เพราะการใช้ความรุนแรงตอบโต้จะนำไปสู่ความปั่นป่วน ควรมีมาตรการกดดันให้กลุ่มพันธมิตรฯ ออกจากสนามบิน ทั้งนี้ ไม่อยากให้ฝ่ายเสื้อเหลืองและเสื้อแดงออกมายิงใส่กัน เจ้าหน้าที่รัฐต้องดำเนินการแก้ไขไม่ให้เกิดได้อีก” รศ.ดร.สมชาย กล่าว
รศ.ดร.ธงชัย วินิจกุล กับ 5 ข้อเสนอหยุด “ม็อบสถุน”
จากสถานการณ์ที่กลุ่มพันธมิตรก่อเหตุร้ายควงปืนยึดสนามบินสุวรรณภูมิ และสถานที่ราชการหลายแห่ง พร้อมกราดยิงฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลจนบาดเจ็บไม่น้อยกว่า10คนนั้นรศ.ดร.ธงชัย วินิจกุล ได้เสนอต่อฝ่ายประชาธิปไตย และประชาชาติไทยดังต่อไปนี้
1.ฝ่ายประชาธิปไตย ต้องงดและอดกลั้นไม่ออกไปปะทะกับพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังหรืออาวุธ เพราะเรื่องนี้เป็นการเอาแพ้-ชนะกันทางการเมือง ใครก่อความรุนแรงคนนั้นแพ้ และหากก่อความรุนแรงพร้อมกัน จะเป็นเงื่อนไขให้กองทัพทำรัฐประหาร
2.กลไกรัฐ ทั้งทหาร ตำรวจต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ต้องดำเนินคดีต่อแกนนำพันธมิตรและผู้กระทำผิด เมื่อเห็นว่าการชุมนุมของพันธมิตรขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะตอนนี้สะท้อนให้เห็นว่าไม่ได้ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ แต่เป็นกองกำลังติดอาวุธ ใช้ความรุนแรง และยึดสถานที่ราชการหลายแห่ง ยึดสนามบินนานาชาติ ก่อผลเสียหายต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของชาติหากไม่มีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ ผู้เกี่ยวข้องเช่น รัฐมนตรีมหาดไทย ผบ.ทบ. ผบ.ตร.สมควรลาออก หรือถูกดำเนินคดีฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
3.อย่าแก้ปัญหาผิดจุด เช่น ทำรัฐประหาร หรือกดดันให้รัฐบาลลาออก เพราะที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า ไม่ว่าอดีตนายกฯทักษิณจะโดนปฏิวัติ อดีตนายกฯสมัครจะโดนออกเพราะคำตัดสินของศาล แต่พันธมิตรไม่เคยหยุดก่อความเสียหายต่อประเทศ กลับกำเริบเสิบสานมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ประเทศไทยไม่มีหลักนิติรัฐ และขาดหลักนิติธรรม ดังนั้นทุกฝ่ายที่มีอำนาจชี้นำสังคม ประกอบด้วยชนชั้นนำ กองทัพ นักวิชาการ สื่อสารมวลชน กลุ่มพลังกดดันทางการเมือง ต้องแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด คือจุดไหนร้าย เป็นตัวปัญหา ทำผิดกฎหมายก็ต้องจัดการตรงนั้น ต้องจัดการดับทุกข์ที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ปลายเหตุ
4.ผู้มีอำนาจ และมีเสียงดังในสังคมต้องหยุดให้ท้ายพันธมิตร ชนชั้นนำ กองทัพ นักวิชาการสื่อสารมวลชน กลุ่มพลังกดดันทางการเมือง นักเขียน ศิลปิน แพทย์ เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน ต้องหยุดให้ท้ายพันธมิตร หรือกลุ่มพลังที่กระทำนอกกฎหมาย ทั้งที่กระทำผิดหลายกรณีอย่างโจ่งแจ้ง แต่กลับไปประนามผู้บังคับใช้กฎหมาย หาไม่แล้วท่านก็ควรประกาศตัวไปเลยว่าท่านเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตร
5.ต้องสนับสนุนทางออกที่สมานฉันท์ด้วยการเจรจาหรือสานเสวนา เพราะหากเดินหน้าเพื่อเอาชนะคะคานกัน แบบให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ อีกฝ่ายชนะ จะไม่เกิดประโยชน์กับประเทศ
ทั้งระยะเฉพาะหน้า ระยะกลาง ระยะยาว มีแต่จะแตกแยก บานปลายไปเป็นสงครามกลางเมือง จึงควรสนับสนุนกระบวนการเจรจาปรองดองภายในชาติ หรือกระบวนการสานเสวนาที่ดำเนินการโดยฝ่ายที่เป็นกลาง โดยคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งชาติ