WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, November 25, 2008

นองเลือด..แล้วยังไงต่อ

ผมเขียนเรื่อง “อภัยทาน” ไปสองตอน ด้วยหวังว่าจะเห็นคนไทยรู้จักการยอมกันเสียบ้าง เพื่อสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในสังคม เพราะนั่นคือ ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของคนไทยและประเทศไทย จะหวังได้หรือไม่ ผมไม่ทราบ แต่ก็ได้แต่หวังว่าที่รัฐสภาเมื่อวาน คงไม่ถึงกับนองเลือดอย่างที่พูดกัน นองเลือดเมื่อไรบ้านเมืองพังยับเยินยิ่งกว่านี้แน่นอน

ผมเห็นด้วยกับ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้วที่ออกมาเตือนสติว่า เวลานี้บ้านเมืองเกิดวิกฤติทั้งเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้ประชาชนแตกแยก เราต้องทำตัวเหมือนขึ้นภูดูเขารบกัน อย่าลงไปรบกับเขาด้วยดีที่สุด

ส่วนที่พันธมิตรฯบอกว่าเป็นการรบครั้งสุดท้าย พระพยอม บอกว่า ต้องเตือนสติเขา ถ้าชนะแล้วใครได้ดี เพราะถ้าชนะแล้วอีกฝ่ายยับเยิน คนที่ยับเยินไม่ใช่คนไทยหรอกหรือ ดังนั้น คำว่าชนะครั้งนี้ไม่ใช่ประเทศชาติชนะ เป็นเพียงคนกลุ่มนั้นกลุ่มนี้อยากชนะ แต่ประเทศชาติประชาชนพัง

ทุกคนอ้างประชาชนเป็นใหญ่ จะทำความสุขให้กับประชาชนหรือสร้างความทุกข์ให้กับประชาชน ก็ใคร่ครวญดูด้วย

ผมฟัง พระพยอม ท่านเทศน์แล้วก็นำมาใคร่ครวญดู

ใคร่ครวญแล้วก็เห็นจริงอย่างที่พระท่านเตือนสติ คนไทยรบกันเองจนเลือดนองแผ่นดิน ไม่ว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะ บ้านเมืองก็พังยับเยิน คนที่จะเดือดร้อนมากที่สุดก็คือประชาชนนั่นเอง

หลังจากนองเลือดแล้ว คนไทยก็ต้องถามตัวเองต่อว่า...แล้ว ยังไงต่อไป

เป็นคำถามที่คนไทยทุกคนจะต้องหันมาถามตัวเอง และต้องตอบเอง ในฐานะที่ท่านก็เป็นเจ้าของประเทศและหุ้นส่วนประเทศไทยคนหนึ่ง

ท่านต้องการให้ประเทศของท่านเดินไปทางไหนต่อ เช่น ต้องการให้ “ทหารปฏิวัติ” เพื่อล้มรัฐบาลชุดปัจจุบัน แล้ว “เขียนรัฐธรรมนูญใหม่” เพื่อสร้างการเมืองใหม่ หรือต้องการให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน “ยุบสภา” เพื่อเลือกตั้งใหม่จนกว่าจะเกิดความพอใจทุกฝ่าย

แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ผมก็ยังมองไม่เห็นว่าจะยุติปัญหาที่มีอยู่ลงได้

ตราบใดที่ “คนมีอำนาจ” และ “นักการเมือง” ไม่มีการพัฒนา “จิตสำนึก” ในเรื่อง “ความซื่อสัตย์สุจริต” เรื่อง “คุณธรรมจริยธรรม” ให้เกิดขึ้นในมโนสำนึก การเมืองไทยก็ยังวกวนอยู่ในอ่างนํ้าครําที่เน่าเหม็นเหมือนเดิม

“ประชาชน” เป็นเพียงตัว “เบี้ย” ที่นักการเมืองทุกคนใช้เป็นฐานอำนาจในการเดินหมากเท่านั้น โดยอาศัยความซื่อสัตย์ของประชาชน และอาศัยนโยบายประชานิยมซื้อใจประชาชนระดับรากหญ้าที่ยากจน

แต่ ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง นั้น ไม่มีทางลัด ตัวอย่างประชาธิปไตยในประเทศแม่แบบของไทยอย่าง สหรัฐฯ และ อังกฤษ ก็มีให้เห็น กว่าจะแข็งแรงได้อย่างที่เห็นในทุกวันนี้ ก็ผ่านการพัฒนามากว่าสองร้อยปี

พัฒนาทั้ง “ตัวนักการเมือง” และ “ประชาชน” ควบคู่กันไป โดยมี “กระบวนการตรวจสอบที่เข้มข้น” เจาะลึกลงไปถึง “พฤติกรรมส่วนตัว” และ “ชีวิตครอบครัว” นักการเมือง เพื่อให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนในชาติอย่างที่เห็นในสหรัฐฯ ไม่ถือเป็น “เรื่องส่วนตัว” เหมือนในเมืองไทย

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งผมนำมาเล่าไว้ตรงนี้หลายครั้ง ก็เพื่อให้เห็นว่า “การเมืองภาคประชาชน” ในสหรัฐฯ เป็นอย่างไร การเมืองระดับพรรค ก็ต้อง ขึ้นอยู่กับเสียงของสมาชิกพรรค และ การเมืองระดับชาติ ก็ต้อง ขึ้นอยู่กับเสียงของคนทั้งชาติ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับ “นายทุนพรรค” หรือ “หัวหน้าพรรค” เพียง “คนเดียว” เป็นผู้สั่งการซ้ายหันขวาหันอย่างที่เป็นอยู่ในเมืองไทย

เมื่อ “การเมืองในพรรค” ยังเป็น “ระบบเผด็จการ” แล้ว “การ เมืองระดับชาติ” จะเป็น “ประชาธิปไตย” ไปได้อย่างไร เป็น “การบ้าน” ที่คนไทยทุกคนต้องไปคิดหาคำตอบเอาเอง ไม่ใช่นองเลือดเสร็จแล้วก็จบกัน.

“ลม เปลี่ยนทิศ”