คอลัมน์ : ประชาทรรศน์วิชาการ
โดย ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข
ที่มา : ประชาไท
ระเบิดลูกแล้วลูกเล่าที่ลงไปในบริเวณทำเนียบรัฐบาล ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมายเมื่อสัปดาห์ก่อน นำความเจ็บช้ำเสียใจและคับแค้นให้กับทุกฝ่าย
แต่ความน่าประหวั่นพรั่นพรึงซึ่งจะนำความคับแค้นยิ่งกว่ามาสู่สังคมไทยคือ สถานการณ์การปะทะกันกลางถนนวิภาวดีระหว่างการ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับกลุ่มแท็กซี่
นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับการสูญเสียชีวิตมนุษย์และเพื่อนร่วมโลกซึ่งมีหัวจิตหัวใจเท่านั้น แต่ยังเป็นความคับแค้นร่วมของทุกฝ่ายทุกสี เป็นความคับแค้น เพราะต่างก็รู้หรืออย่างน้อยก็คาดเดาได้ว่านี่คือสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น แต่กลับป้องกันและหลีกเลี่ยงไม่ได้
เช่นเดียวกับการเคลื่อนขบวนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปฏิบัติการ “ม้วนเดียวจบ” ซึ่งเริ่มต้นด้วยการปิดสภา ยึดทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว และที่รุกสู่จุดที่อ่อนไหวที่สุดของสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง คือ สนามบินสุวรรณภูมิ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า แกนนำพันธมิตรฯ กำลังต้องการอะไร ซึ่งไม่ว่าอะไรจะอยู่เบื้องหลังความคิด แต่ความวุ่นวายคือทางที่เลือกแล้วของแกนนำพันธมิตรฯ แม้ไม่ได้หมายความว่าจะนำไปสู่ชัยชนะก็ตาม และแม้มันจะเป็นแค่เพียงโอกาสเล็กๆ เพื่อชัยชนะเล็กๆ ของคนหลังพิงฝาเท่านั้นก็ตาม
พูดกันอย่างตรงไปตรงมา เราจะมองเป็นอื่นไปได้ไหมว่า สิ่งที่แกนนำพันธมิตรฯ กำลังทำ คือการกดดันและบังคับให้รัฐต้องปราบมวลชนของตัวเอง เราจะมองเป็นอื่นไปได้ไหมว่า แกนนำพันธมิตรฯ กำลังใช้ชีวิตและความปลอดภัยมวลชนที่เข้าร่วมอย่างบริสุทธิ์เป็นเครื่องสังเวยเพื่อโอกาสแห่งชัยชนะอันเล็กน้อยของแกนนำ ผู้ชี้นำไม่กี่คน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ที่สุดแล้วรัฐบาลในฐานะผู้รับผิดชอบต่อสถานการณ์จะทำอะไร
กระนั้นเราขอวิงวอนต่อรัฐบาล ให้ใช้ความอดทนอดกลั้น สร้างเครื่องมือสื่อสารกับผู้ชุมนุม และทำการแจ้งเตือนอย่างรีบด่วนด้วยความจริงใจและจริงจัง และหากจำเป็นต้องปฏิบัติการรักษาความสงบอันเป็นหน้าที่ของรัฐ ก็จะต้องทำอย่างที่ประเทศอารยะปฏิบัติกัน โดยจะต้องแยกแยะว่าผู้ชุมนุมมีหลายระดับ ตั้งแต่ป้า เด็กน้อย หนุ่มสาวถือมือตบ การ์ดผู้ยึดมั่นในหลักอหิงสา และการ์ดผู้พกพาอาวุธ
และไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ต้องทำด้วยความตระหนักว่า ผู้ร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ คือประชาชนเจ้าของประเทศและเป็นนายเหนือรัฐด้วยกันทั้งสิ้น
และสำหรับผู้ให้ท้ายพันธมิตรฯ ทั้งหลาย หากท่านเลิกให้ท้ายแล้ว ท่านควรจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการประกาศเหตุผลแห่งการถอนตัวและถอนใจนั้น เพื่อให้ประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมได้ใช้เป็นข้อมูล
สำหรับผู้ให้ท้ายพันธมิตรฯ หรือยังแอบให้ท้าย ไม่ว่าท่านจะนั่งเสวยสุขอยู่ในสภา ในองค์กรอิสระ ปล่อยให้มวลชนของพันธมิตรฯ ไปสู้แบบไร้จุดหมาย หรือไม่ว่าท่านจะมีตำแหน่งแห่งหนใด ได้โปรดทำในสิ่งที่ท่านไม่เคยทำ นั่นคือ การเรียกร้องให้พันธมิตรฯ สลายตัวและเลิกชุมนุมทันที
ได้โปรดคิดใคร่ครวญและตระหนักว่า โลกแห่งความเป็นจริงเราไม่อาจไม่มีรัฐ เราต้องให้รัฐได้ทำหน้าที่ของตนเอง เพราะหากท่านไม่อนุญาตให้รัฐได้ทำหน้าที่รักษาความสงบ ก็เท่ากับท่านกำลังยุยงส่งเสริมให้ “ประชาชนจัดการกันเอง” เหมือนที่ได้เห็นสงครามย่อยๆ บนถนนวิภาวดี ระหว่างกลุ่มแท็กซี่และการ์ดพันธมิตรฯ ขอบอกว่า นี่คือการเริ่มต้นของสัญญาณสงครามกลางเมืองแล้ว
ขอย้ำและย้ำตลอดไปว่า นี่เป็นเรื่องที่ท่านต้องรับผิดชอบโดยตรง
สำหรับกลุ่มแท็กซี่และผู้ต่อต้านพันธมิตรฯ ทั้งหลาย พึงตรวจสอบตัวเองและไต่ถามตัวเองให้จงหนัก เมื่อท่านอดทนอดกลั้นมานานหลายปี ทำไมท่านจึงอดทนอดกลั้นต่อไปไม่ได้
การอดทนอดกลั้นที่ผ่านมา คือปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ของพันธมิตรฯ อยู่ในสภาพไร้ความชอบธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่หรือ
ขอวิงวอนไปถึงพวกท่านว่า จงใช้วิกฤติและความคับแค้นในความรู้สึกของท่านนี้สร้างมันเป็นโอกาส และแปรเปลี่ยนเป็นปฏิบัติการที่ต้อง “อหิงสา” กว่าฝ่ายที่ท่านต่อต้านให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้น เรากำลังจะเป็นผู้นำประเทศเข้าสู่สงคราม
สงครามที่เจ็บปวดกว่าสงครามใดๆ เพราะมันเป็นสงครามที่รบกันเอง
สำหรับทั้งหมดและทุกคน เรายังมีความจำเป็นที่ต้องมีความหวังว่าจะไปให้พ้นจากสถานการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้น แม้ความหวังนั้นจะอยู่ก้นบึ้งที่ลึกที่สุด ได้โปรดอย่าชินชากับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เพราะมันคือการยกระดับความรุนแรงอย่างสถิตย์และถาวร
เรายังหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองได้ จะหลีกเลี่ยงได้ และต้องหลีกเลี่ยงให้ได้
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ข้อเสนอต่อฝ่ายผู้รักประชาธิปไตย
ประชาทรรศน์ได้รับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ส่งต่อกันมา เป็นจดหมายที่ส่งเวียนกันเผยแพร่ในแวดวงนักวิชาการ และกลุ่มผู้รักประชาธิปไตย ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ควรได้รับการเผยแพร่ดังนี้
จากสถานการณ์ที่กลุ่มพันธมิตรฯ ก่อเหตุร้ายทั้งปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ยึดสถานที่ราชการหลายแห่ง ยิงกราดใส่ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลจนบาดเจ็บไม่น้อยกว่า 10 คนนั้น ขอเสนอต่อฝ่ายประชาธิปไตย และประชาชาติไทยดังต่อไปนี้
1.ฝ่ายประชาธิปไตย ต้องงดและอดกลั้นไม่ออกไปปะทะกับพันธมิตรฯ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังหรืออาวุธ เพราะเรื่องนี้เป็นการเอาแพ้-ชนะกันทางการเมือง ใครก่อความรุนแรง คนนั้นแพ้ และหากก่อความรุนแรงพร้อมกันจะเป็นเงื่อนไขให้กองทัพทำรัฐประหาร
2.กลไกรัฐ ทั้งทหาร ตำรวจต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ต้องดำเนินคดีต่อแกนนำพันธมิตรฯ และผู้กระทำผิด เมื่อเห็นว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะตอนนี้สะท้อนให้เห็นว่าไม่ได้ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ แต่เป็นกองกำลังติดอาวุธ ใช้ความรุนแรง และยึดสถานที่ราชการหลายแห่ง ยึดสนามบินนานาชาติ ก่อผลเสียหายต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของชาติ
หากไม่มีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ ผู้เกี่ยวข้อง เช่น รัฐมนตรีมหาดไทย ผบ.ทบ. ผบ.ตร. สมควรลาออก หรือถูกดำเนินคดีฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
3.อย่าแก้ปัญหาผิดจุด เช่น ทำรัฐประหาร หรือกดดันให้รัฐบาลลาออก เพราะที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า ไม่ว่าอดีตนายกฯ ทักษิณจะโดนปฏิวัติ อดีตนายกฯ สมัครจะโดนออก เพราะคำตัดสินของศาล แต่พันธมิตรฯ ไม่เคยหยุดก่อความเสียหายต่อประเทศ กลับกำเริบเสิบสานมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ประเทศไทยไม่มีหลักนิติรัฐ และขาดหลักนิติธรรม ดังนั้น ทุกฝ่ายที่มีอำนาจชี้นำสังคม ประกอบด้วย ชนชั้นนำ กองทัพ นักวิชาการ สื่อสารมวลชน กลุ่มพลังกดดันทางการเมือง ต้องแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด คือจุดไหนร้าย เป็นตัวปัญหา ทำผิดกฎหมายก็ต้องจัดการตรงนั้น ต้องจัดการดับทุกข์ที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ปลายเหตุ
4.ผู้มีอำนาจ และมีเสียงดังในสังคมต้องหยุดให้ท้ายพันธมิตรฯ ชนชั้นนำ กองทัพ นักวิชาการ สื่อสารมวลชน กลุ่มพลังกดดันทางการเมือง นักเขียน ศิลปิน แพทย์ เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน ต้องหยุดให้ท้ายพันธมิตรฯ หรือกลุ่มพลังที่กระทำนอกกฎหมาย ทั้งที่กระทำผิดหลายกรณีอย่างโจ่งแจ้ง แต่กลับไปประณามผู้บังคับใช้กฎหมาย หาไม่แล้วท่านก็ควรประกาศตัวไปเลยว่าท่านเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรฯ
5.ต้องสนับสนุนทางออกที่สมานฉันท์ด้วยการเจรจาหรือสานเสวนา เพราะหากเดินหน้าเพื่อเอาชนะคะคานกันแบบให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ อีกฝ่ายชนะ จะไม่เกิดประโยชน์กับประเทศทั้งระยะเฉพาะหน้า ระยะกลาง ระยะยาว มีแต่จะแตกแยก บานปลายไปเป็นสงครามกลางเมือง จึงควรสนับสนุนกระบวนการเจรจาปรองดองภายในชาติ หรือกระบวนการสานเสวนาที่ดำเนินการโดยฝ่ายที่เป็นกลาง และคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งชาติ