thaifreenews
บทความ โดย Bugbunny
“ถ้ามันทำจริง พวกเราพร้อมออกมาต้านแน่นอนไหมพี่?”
มิตรสหายฝ่ายทหารประชาธิปไตยผู้มียศระดับสูง แต่วัยยังหนุ่มมากคนหนึ่งโทร.ถามผม เขาเป็นหนึ่งในหลายสิบสายที่พูดคุยกับผมทางโทรศัพท์ตลอดวันที่ 26 พฤศจิกายน 2551 ที่ข่าวเรื่องรัฐประหารกระฉ่อนไปทั่ว รวมทั้งการนำรถถังออกมาเพ่นพ่านบนถนน ก่อนนายพันไก่อูจะออกมาปฏิเสธว่า แค่นำมาสาธิตให้นักเรียนเสธ.ดูเท่านั้น (เป็นข้อแก้ตัวที่น่าขบขันที่สุดอีกข้อหนึ่งของอดีตโฆษก คมช. เพราะถ้าจะดูการสาธิตปฏิบัติการของรถถังนั้น นักเรียนเสธ.ต้องไปดูที่กรมทหารม้า มันกว้างขวาง มีสนามซ้อมสนามฝึก ไม่ใช่มาดูที่วิทยาลัยเสนาธิการที่มีแต่ตึกเรียน ก็ไม่ว่ากัน)
จำได้ว่าตอบมิตรสหายผู้นั้นไปทำนองที่ว่า การไปรวมตัวกันสองสามที่ ใน กทม ช่วงเย็นและหัวค่ำนั้นเป็นแต่ซ้อมใหญ่แซมเปิ้ล ส่วนของจริงนั้นน่าจะทั่วประเทศ
“ดีพี่ พวกเราออกมาเยอะ ๆ จะได้ส่งพวกซ่าแม่งเข้าตึกดินให้หมด ไอ้พวกหัวหน้ารับรองอยู่เมืองไทยไม่ได้”
คือคำตอบของมิตรสหายผู้นั้น เขาชี้ว่าในทางสงครามนั้น อาวุธที่ผู้ใช้ไร้พลังศรัทธาและความเชื่อมั่นต่อภารกิจ ก็จะเป็นเพียงท่อนเหล็กท่อนหนึ่งเท่านั้น
ที่น่าสนใจก็คือ ความรู้สึกของผู้คนที่โทร.มาพูดคุยกับผม การสนทนาของคนรอบข้างและจากการสังเกตไปทั่วหลายแห่งที่ฝ่ายประชาธิปไตยยืนหยัดอยู่นั้น ผมไม่เห็นความกังวลต่อพลังอาวุธที่จะออกมาทำรัฐประหารแต่ประการใด มีแต่บรรยากาศสู้รบและพลังต่อต้านสอดประสานเป็นเสียงเดียวกันไปหมด ไม่มีใครกังวลเลยว่าจะมีการรัฐประหาร ทุกคนรับรู้ว่ามันเป็นเป้าหมายของพวกเครือข่ายเผด็จการศักดินาอำมาตย์แน่นอนที่จะใช้ยึดอำนาจรัฐ ต่างก็ร่วมใจช่วยกันนำเสนอแนวทางและยุทธวิธีสารพัดที่จะต่อสู้ บางคนเตรียมอาวุธแล้ว และทุกคนพร้อมที่จะออกไปชุมนุมต่อต้านในที่ต่าง ๆ มันผิดจากครั้งก่อน ที่แทบทุกคนไม่พูดถึงการต่อสู้ แค่แสดงอาการเซ็งและเคียดแค้นเท่านั้น ถึงวันนี้ หลังการต่อสู้กับพวก คมช. มาเป็นปี ก็ทำให้เลิกกังวลการรัฐประหารกันหมดแล้ว คิดกันแต่เพียงว่าจะตอบโต้และเอาคืนอย่างไรให้สาสมแทนต่างหาก
นี่คือสิ่งหนึ่งที่พวกอยากทำรัฐประหารห่วงอย่างมาก นอกเหนือไปจากกำลังไฟในทหารส่วนที่ไม่ใช่พวกพ้องที่อาจทำให้การต้องถล่มกันด้วยอาวุธหนักเกิดขึ้นได้ด้วย เพราะที่จริงนั้น ทหารเสือราชินีไม่ใช่หน่วยที่ทหารอื่นพอใจนัก พวกนี้เจริญก้าวหน้าแบบข้ามหัวข้ามหู ข้ามความสามารถและอาวุโส ไปเป็นใหญ่เป็นโตด้วย “เส้นใหญ่” ไปตาม ๆ กัน ทหารหน่วยอื่นได้แต่น้ำท่วมปากกันมาเป็นเวลานานแล้ว นี่คือความจริงในกองทัพ
ข้อมูลเบื้องลึกก็คือ อดีตทหารเสือราชินีที่ตอนนี้มีตำแหน่งใหญ่อยู่ในกองทัพ เป็นผู้ใช้วิธีโทร.เป็นส่วนตัวไปตามลูกน้องสายตรงให้เตรียมการยึดอำนาจ อ้างว่าเพื่อต่อต้านการที่ ผบ.ทบ.จะถูกปลด และให้รอคำสั่งตอน 16.00 น. ซึ่งปรากฏว่าต่อมาก็โทร.ไปยกเลิกคำสั่ง เนื่องจากประเมินแล้วว่าจะแพ้แน่ถ้าขืนทำ
แต่สิ่งที่ฝ่ายรัฐบาลจะต้องรุกกลับทันที ก็คือจัดการกับพวกกระด้างกระเดื่องในกองทัพ ที่ชัดเจนที่สุดก็คือคนที่ออกคำสั่งให้นำเครื่องบิน C 130 ที่จะนำ ครม.ไปประชุมที่เชียงใหม่กลับมา บน.6 คน ๆ นี้มีหลักฐานว่าเป็นระดับ รองผู้บัญชาการกองทัพ ที่เอาวิธีอารยะขัดขืนของอธิการบดี คมช. ที่ยุยงให้ข้าราชการไม่ยอมทำตามคำสั่งรัฐบาลมาใช้ เขาจะต้องได้รับโทษไม่ว่าด้วยระดับใด กี่วันกี่เดือนก็ไม่ช้าเกินไปที่จะจัดการ พวกรับใช้เผด็จการศักดินาอำมาตย์แบบนี้ ส่วนอธิการบดี คมช.นั้น เรียกร้องให้ชาวธรรมศาสตร์ทั้งอดีตและปัจจุบันร่วมกันขับไล่ออกไปให้พ้นมหาวิทยาลัย รวมไปถึงกรรมการสภามหาวิทยาลัยชุดนี้ และนายปริญญาด้วย อธิการบดีชาติหมาผู้นี้หน้าด้านขนาดที่เอาความเห็นและวิธีการของตนในการอารยะขัดขืนขึ้นไปประกาศแถลงต่อสาธารณะ ทั้ง ๆ ที่เป็นความเห็นของตนคนเดียว ผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นไม่เอาด้วยสักคน ขนาดปลัดกระทรวงมหาดไทยที่เป็นระดับปริญญาเอกเหมือนกัน รุ่นใกล้กัน เรียนเก่งกว่า ได้ทุนสำคัญกว่าก็ไม่เห็นด้วย ยังออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในทางตรงกันข้าม
ตอนนี้ในด้านอำนาจและคำสั่งนั้น ครั้งนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่า คำสั่งที่เคยไม่มีใครกล้าปฏิเสธจากคนเอาแต่ใจตัวเองคนนั้นได้ถูกท้าทายและปฏิเสธแล้ว ไม่สามารถเคลื่อนให้เป็นไปได้ดั่งใจอย่างเมื่อก่อนอีก ผลของมันมาจากการกระทำที่ไร้สติของตนเอง รัฐบาลและประชาชนได้ปฏิเสธอำนาจนอกระบบอย่างชัดแจ้ง สถานีโทรทัศน์และวิทยุถ่ายทอดการแถลงของนายกรัฐมนตรีทุกสถานี อำนาจรัฐตอนนี้จะต้องรุกคืบเข้าไปจัดการกับพวกผู้ก่อการร้ายให้สิ้นซาก เพราะพวกอยากทำรัฐประหารตามคำสั่งนั้นมุกแป้ก ไม่มีปัญญาทำ เพราะประชาชนและทหารที่ไม่เห็นด้วยต่อต้านรุนแรงแน่
วันนี้ประชาชนไม่ได้กังวลข่าวรัฐประหารอีกแล้ว มีแต่ท้าทายว่ารีบ ๆ ออกมาเสีย จะได้ปิดจ๊อบเก็บเงินกันให้ทั่วทุกระดับทุกตัวการ หมดเรื่องหมดราวกันไปเสียที