WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Sunday, May 31, 2009

ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 31 พฤษภาคม 2552

ที่มา ประชาไท

การเมือง ความมั่นคง

นายกฯสั่งตรวจตู้คอนเทนเนอร์ต่อ

เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ - พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ เผย นายกรัฐมนตรี สั่งลุยตรวจตู้คอนเทนเนอร์ใต้ทะเลแสมสารต่อ โดยรัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย

พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติสั่งการให้เดินหน้าตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ที่ตกอยู่ใต้ทะเลช่องแสมสาร จังหวัดชลบุรีต่อ โดยให้กองทัพเรือเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ รัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ทั้งนี้ จะมีการประชุมคณะทำงานในวันอังคารหน้า เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงยุติธรรม

พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ระบุว่า การตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ครั้งที่ 2 จะใช้ทีมนักประดาน้ำ 3 ชุด ชุดที่ 1 ทำหน้าที่ตรวจสอบปะการังและสิ่งแวดล้อมโดยรอบตู้ รวมทั้งสารพิษอื่นๆ แม้จะชัดเจนในการตรวจพิสูจน์ครั้งแรกแล้วว่า ไม่มีสารกัมมันตรังสีอยู่ในตู้ ชุดที่ 2 ทำหน้าที่ตรวจหาชื่อบริษัทเจ้าของตู้ รวมทั้งวัน เดือน ปี ที่ปรากฏอยู่กับตัวตู้ และชุดที่ 3 จะลงไปหารอยผุ หรือรอยแตก เพื่อสอดกล้องส่องเข้าไปดูภายใน ก่อนส่งภาพขึ้นมายังจอด้านบน

นอกจากนี้ กองทัพเรือจะจัดเรือลาดตระเวนหาทุ่นระเบิด ออกตรวจสอบท้องทะเลในละแวกว่ามีตู้คอนเทนเนอร์ตกอยู่เพิ่มเติมอีกหรือไม่ ตามเสียงร่ำลือที่ว่ายังมีตู้คอนเทนเนอร์ที่ภายในมีกระดูกมนุษย์ตกอยู่ในทะเลอีก 7-8 ตู้ ซึ่งการดำเนินการในส่วนนี้ จะใช้งบประมาณ 800,000 บาท อย่างไรก็ตาม การพิสูจน์หาความจริงในตู้คอนแทนเนอร์ดังกล่าว ไม่ได้ล่าช้าหรือถ่วงเวลา แต่การดำเนินการทุกอย่างมีขั้นตอน และต้องรอการสั่งการจากผู้มีอำนาจ เช่น การลงไปตรวจพิสูจน์ในครั้งแรกที่กองทัพเรือ และตนได้รับคำสั่งจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง โดยเมื่อได้รับคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ คณะทำงานก็คงเดินหน้าต่อไปได้ โดยจะพยายามทำความจริงให้กระจ่างชัดโดยเร็วที่สุด

"อภิสิทธิ์"รับจับตานักธุรกิจหนุนเสื้อแดง

เว็บไซต์คมชัดลึก - "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ยอมรับจับตานักธุรกิจสนับสนุนเสื้อแดง ขู่ทำผิดกฎหมายจับทันที พร้อมสั่งประเมินสถานการณ์การชุมนุมอย่างใกล้ชิดไม่ให้กระทบการทำงานของรัฐบาล

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีกลุ่มเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวในเดือนมิ.ย.นี้ ว่า ฝ่ายผู้ชุมนุมเองได้ประกาศไว้ชัดเจน นอกจากนี้ในการติดตามความเคลื่อนไหวก็พบว่ามีแนวโน้มเช่นนั้น การที่ตนออกมาพูดก็เพื่อต้องการย้ำว่าขอให้การเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นการเคลื่อนไหวที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่าให้เกินเลยขอบเขต

เมื่อถามว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวจะส่อเค้ารุนแรงเหมือนครั้งที่ผ่านมาหรือมีความเคลื่อนไหวอื่นอีกหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนหวังและเชื่อว่าคนที่มาชุมนุมส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่ต้องการทำผิดกฎหมายอยู่แล้วและนั่นเป็นพื้นฐาน ดังนั้นก็อยู่ในส่วนของแกนนำ ซึ่งตนก็หวังว่าแกนนำหลายคนคงจะยอมรับกติกาของบ้านเมือง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแกนนำในอดีตบางคนก็แสดงท่าทีชัดเจนแม้หลังเหตุการณ์เดือน เม.ย.ว่านอกจากจะไม่หยุดแล้วก็จะทำให้รุนแรงขึ้นอีก ตนก็หวังว่าคนเหล่านั้นจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องและแกนนำที่ยึดมั่นในกฎหมายจะไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามคนที่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย

เมื่อถามว่ารัฐบาลประเมินหรือไม่ว่าความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงจะกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงต้องประเมินสถานการณ์ไปอีกระยะหนึ่งว่าในที่สุดความเคลื่อนไหวจะเป็นไปในลักษณะใด ทั้งนี้ตนอยากจะย้ำกับประชาชนโดยรวมว่าข้อห่วงใยของทุกท่านกำลังได้รับการดูแลจากทางสภา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

และหากมีประเด็นอะไรก็สามารถนำเสนอและมาแสดงออกได้ รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับทุกสิ่ง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้มีความพยายามที่จะไปนำเอาเรื่องเหตุการณ์ในช่วงสงกรานต์มาเป็นประเด็น ซึ่งมันไม่เป็นข้อเท็จจริง ตนก็มีการเปิดโอกาสให้มีการอภิปราย ชี้แจงและขณะนี้คณะกรรมการฯของสภาฯก็พยายามที่จะนำเอาทุกปมที่เป็นข้อสงสัยมาคลี่คลาย ตนก็หวังว่าจะช่วยทำให้เงื่อนไขเหล่านั้นหมดไป

เมื่อถามว่า ในการพูดกับนักธุรกิจนายกรัฐมนตรีระบุถึงขนาดว่าจะเป็นการเผาบ้านเผาเมือง ในทางการข่าวประเมินว่าการชุมนุมจะรุนแรงถึงขนาดนั้นหรือไม่ นายกฯ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ใช่ ตนเพียงแต่บอกว่าเวลาที่มาทำผิดกฎหมายในอดีตนั้นถึงขั้นที่จะนำไปสู่ความรุนแรงอย่างนั้น ก็อยากบอกว่าอย่าทำ แต่จนถึงวันนี้ในทางการข่าวยังไม่มีสัญญาณที่จะมีความรุนแรงเกิดขึ้น แต่เราก็ต้องไม่ประมาท แต่เราก็ต้องยอมรับว่าตราบใดที่ยังมีคนบางกลุ่มที่คิดว่าทำอะไรก็ได้ มันก็ต้องระมัดระวัง ทั้งนี้ก็ไม่อยากให้ฝ่ายใดทั้งนั้นที่ตกเป็นเหยื่อ

แม้แต่ฝ่ายกลุ่มผู้ชุมนุมเองก็มักจะบอกว่าไม่เห็นด้วยกับหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาและก็ไม่แน่ใจว่าตกลงว่าเป็นคนในกลุ่มของเขาจริงหรือไม่ อย่างไร ก็ต้องช่วยกันอย่าให้เกิดเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายใดก็ตาม" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมีกลุ่มนักธุรกิจใดที่ยังให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆอีกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวยอมรับว่า ตามรายงานก็มีบ้าง ซึ่งฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ต้องมีหน้าที่ที่ต้องตรวจสอบต่อไปให้ชัดเจน ทั้งนี้จะไม่มีการคาดโทษก่อนแต่ถ้าทำผิดกฎหมายก็จะดำเนินการไปตามกฎหมายอย่างที่บอกไป

เมื่อถามว่าความเคลื่อนไหวนอกสภาจะส่งผลกระทบต่อการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2535 และร่าง พ.ร.ก.กู้เงินหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรามีหน้าที่ไม่ให้เกิดผลกระทบ ก็ต้องทำให้งานต่างๆเดินหน้าต่อไปได้ อย่างที่ตนได้ย้ำไปว่าในช่วงเดือนมิ.ย.นี้ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วทุกอย่างเรียบร้อย รัฐบาลก็ต้องเร่งขอสภาเพื่อจะได้เดินหน้า ซึ่งสิ่งที่เราต้องการทำคือการสร้างงานให้ประชาชน 1.5-2 ล้านคน ให้เร็วที่สุด และทำให้บ้านเมืองเข้มแข็งขึ้นโครงสร้างพื้นฐานพร้อมมากขึ้น

"ณัฐวุฒิ"ลั่นฟ้องนายกฯ สั่งทหารยิง ปชช.

เว็บไซต์แนวหน้า - นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.กล่าวว่า ในวันที่ 1 มิ.ย.รายความความจริงวันนี้จะกลับมาออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม "พีเพิลชาแนล" ซึ่งรับสัญญาณผ่านดาวเทียม NSS 6 ระบบ KU-BAND ที่ความถี่ 11635 H 27500 pid531 และจะมีนำรายการ เพื่อนพ้องน้องพี่ ซึ่งมีนายวีระ มุสิกพงษ์ นายจุตพร พรหมพันธุ์ นายก่อแก้ว พิกุลทอง และตน เป็นผู้ดำเนินรายการ กลับมาจัดรายการสดใหม่อีกครั้งทาง สถานีโทรทัศน์ เอ็มวี5 ในเวลา 18.00 น. นอกเหนือจากการแจ้งข่าวสารความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงผ่านทางระบบเอสเอ็มเอส

นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้า ตนพร้อมด้วยนายจตุพรจะนำคนเสื้อแดงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมในวันที่ 13 เม.ย.ทั้งหมด ไปแจ้งความดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในข้อหาเป็นผู้สั่งการให้ทหารใช้ปืนเอ็ม 16ทำร้ายประชาชน ที่ บช.น.

พล.อ.สนธิยังไม่พร้อม ลุยการเมือง ร่วมพรรคทหาร

เว็บไซต์ไทยรัฐ - อดีตประธาน คมช. แปลกใจข่าวนั่งรองหัวหน้าพรรคใหม่ ที่มี พล.อ.ชลืต พุกผาสุข อดีต ผบ.ทอ.เป็นหัวหน้า เผยจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับทาบทามจากพรรคใด ยันยังไม่พร้อมลุยการเมืองช่วงนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต้นตระกูลพระยาบวรราชนายก หรือ เฉกอะหมัด จุฬาราชมนตรีคนแรกของประเทศไทย ประกอบพิธีวางพวงมาลาในงานเยี่ยมสถานฝังศพและทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่พระยาบวร ราชนายก ครั้งที่ 33 ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีบุคคลสำคัญ อาทิ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบกและอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) นายมาจิต บิสมาร์ค เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประจำประเทศไทย พล.อ.บรรจบ บุนนาค ประธานมูลนิธิเจ้าพระยาบวรราชนายก(เฉกอะหมัด) และ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีต รองอธิบดีกรมตำรวจ นอกจากนี้ยังมีคนในตระกูลบุนนาค และชาวไทย มุสลิม ร่วมงานเป็นจำนวนมาก โดยมีนางสมทรง พันธ์เจริญวรกุล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ. ) พระนครศรีอยุธยาร่วมวางพวงหรีด และ นายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาร่วมวางพวงหรีด

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบกและอดีตประธาน คมช. กล่าวภายหลังร่วมงานว่า แปลกใจกับข่าวที่ตนเองจะเข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรคการเมืองที่จะตั้ง ขึ้นใหม่ โดยมี พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข อดีต ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นหัวหน้าพรรค ข่าวที่ออกมาตนเองไม่รู้ว่ามาจากที่ใด และใครเป็นผู้ให้ข้อมูล ตนยังไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสาน หรือทาบทามจากบุคคลหรือพรรคการเมืองใด ให้เข้ามาร่วมเล่นการเมือง เช่นที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกต ตนยังไม่พร้อมที่จะเล่นการเมืองในช่วงนี้

ด้าน พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีต รองอธิบดีกรมตำรวจ กล่าวว่า ยังไม่ขอแสดงความคิดเห็นหากทหารจะตั้งพรรคการเมือง ใครจะทำอะไร จะต้องนึกถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก

สุเมธรับ ทักษิณโฟนหาฝากให้ดูแล พท. ลั่นพร้อมรับทุกตำแหน่งในพรรค หนุน บิ๊กจิ๋วมีบารมีนั่งหัวหน้า

เว็บไซต์แนวหน้า - พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ลับ ลวง พราง ทางสถานีวิทยุเอฟ เอ็ม 100.5 เมกะเฮิร์ต ถึงกระแสข่าวที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียมผลักดันให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ว่า คิดว่า ตนยังอ่อนในเรื่องการเมือง ตนอยากให้ผู้มีความอาวุโสทางการเมือง มีทั้งคุณวุฒิ วัยวุฒิ และเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือไม่ใช่ว่าใครก็ได้จะเข้าไปดำรงตำแหน่ง ต้องเป็นคนที่มีบารมีเข้าไปเป็นหัวหน้าพรรคเพราะคนในพรรคจะได้เชื่อถือ ทั้งนี้ตนยินดีที่จะช่วยทุกอย่าง จะทำหน้าที่อะไรก็ไม่เกี่ยง และคิดว่าหลังเกษียณแล้วก็อยากจะทำให้บ้านเมืองบ้าง จะทำความดีให้กับประเทศชาติ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นตำแหน่งอะไร ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เป็นตัวเต็งที่จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคนั้น ตนคิดว่ามีความเหมาะสม เพราะท่านเป็นคนที่มีความอาวุโสทางการเมือง และเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ และคนในพรรคก็ยอมรับได้ในสายตาตน

ได้มีการพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นระยะ ๆ ซึ่งผมก็บอกกับ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ผมเป็นอะไรก็ได้ ขอให้ไปช่วยในพรรค ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ทำความดีให้กับประเทศชาติบ้านเมืองไว้เยอะ เมื่อตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในตำแหน่งประชาชนคนไทยก็มีความสุข เมื่อก่อนประเทศไทยเป็นนัมเบอร์วัน พอเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติทุกคนก็รู้ว่าประเทศชาติเกิดอะไรขึ้น ทั้งนี้สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นห่วงมากที่สุดคือความเป็นอยู่ของคนไทย และความสามัคคี พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกกล่าวหาไม่มีความจงรักภักดี พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า เคยโรงเรียนเตรียมทหารมาทุกเช้า-เย็น จะต้องปฏิญาณตนในเรื่องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่จงรักภักดี ทั้งนี้ได้ติดตามสถานการณ์การเมืองตลอด และหากมีโอกาสที่จะเข้าไปช่วยงานทางการเมืองก็จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นพล.อ.อ.สุเมธกล่าว

เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นเพื่อน ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้สึกอย่างไรที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกมองไม่ดีพล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า ตนเคยสัมผัสมาหลายเรื่อง ไม่เชื่อว่าท่านจะไม่จงรักภักดี แต่บางครั้งอาจจะทำไวไป เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องอ่อนไหวมาก ในฐานะเพื่อนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือว่า เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง และดูแลเพื่อนมาตลอดไม่เคยเกี่ยง แต่จะให้ดูแลเพื่อนทุกคนให้เหมือนกันคงเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้เมื่อเราอยู่ด้วยกันจะไปไหนก็ไปกันอะไรจะเกิดขึ้นก็จะต้องยอมรับ จะให้เราเปลี่ยนแปลงคงทำไม่ได้เพราะอายุมากแล้ว และเป็นทหารถือว่าจะต้องมีศักดิ์ศรี อะไรจะเกิดขึ้นเราก็จะต้องยอมรับ ขอให้ความหนักแน่ และมีความจริงใจ หลังจากเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหาร ตำแหน่งก็ขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ก็ไม่เคยบ่น ไม่เคยว่า

เมื่อถามว่า ตอนนี้เพื่อน ตท.10 ในรุ่นมีความรู้สึกต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไร พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า ความคิดในรุ่นมีความหลากหลาย และเท่าที่พูดคุยกันทั้งเพื่อนที่เกษียณและยังไม่ได้เกษียณก็ยินดีที่จะช่วยทำงาน แต่การทำงานครั้งนี้จะต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งนี้การที่เพื่อน ตท.10 ถูกย้ายล้างบางถือเป็นเรื่องธรรมดาของผู้บังคับบัญชาที่จะต้องเอาบุคคลที่ไว้ใจ ตนไม่เคยน้อยใจ เพราะเป็นไปตามกติกา เมื่อถามว่า มองหรือไม่ว่าตอนนี้ ตท.10 เป็นจำเลยของสังคม เพียงแค่เป็นเพื่อน ตท.10ของพ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า มีบางส่วนที่มองแบบนั้น แต่ถ้ามีความยุติธรรมพอไม่ว่ารุ่นไหนก็ต้องมีเพื่อนที่จะต้องช่วยกันดูแล และคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่คนแบบนั้น ทั้งนี้ก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติประเทศชาติก็ร่มเย็นเป็นสุขมาตลอด พ.ต.ท.ทักษิณ ฝากข้อความมาถึงขอให้เพื่อน ๆ ทุกคนช่วยดูแลกัน รักกัน อย่าทิ้งกัน ถ้ามีอะไรช่วยเหลือประเทศชาติก็จะต้องช่วยกันแต่ตนก็คงไม่ได้บอกทุกคน เพียงแต่บอกคนที่ใกล้ชิดสนิทกัน

เมื่อถามว่า ความสัมพันธ์ของเพื่อน ตท.10 ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับ พล.อ.อนุพงษ์ ต่างไปจากเดิมหรือไม่ พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า ตอนนี้ต่างคนต่างมีหน้าที่ และทำไปตามหน้าที่ แต่ความคิดจะต้องระลึกถึงกันตลอดเวลา และสามารถทำงานร่วมกันได้เพื่อประเทศชาติ ส่วนบทบาทของ พล.อ.อนุพงษ์ ต่อสถานการณ์ปัจจุบันตนก็เข้าใจท่าน เพราะเคยใกล้ชิดกันมาก และตนไม่เคยไปพูดว่าท่าน เพราะท่านต้องทำตามหน้าที่

เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะให้ท่านดำเนินการอย่างไร พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกันเพียงแต่จะให้ดูแลพรรค และหาทางทำให้พรรคปรองดองกัน และให้ช่วยกันคิดหาทางดูแลประเทศชาติ เมื่อถามว่า หัวหน้าพรรคคนใหม่จำเป็นต้องเป็นคนชินวัตรหรือไม่ พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า ไม่จำเป็น แต่เป็นใครก็ได้ที่มาช่วยกันทำงาน ใครก็ได้เป็นผู้นำไม่มีปัญหา แต่ทุกคนจะต้องพร้อมช่วยกัน อย่างตนบอกท่านว่า ยินดีช่วยท่านทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใดก็ตาม จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอะไรหรือไม่เป็นอะไรก็ไม่มีปัญหา

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยมีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า การเมืองทุกยุคผลัดกันขึ้นและลง เพราะคนทำงานย่อมมีข้อผิดพลาด แต่หากรัฐบาลทำดีตลอดไปประชาชนอยู่ดีมีสุข เราคงอยู่กันอย่างนี้ แต่ถ้าต่อไปมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาก็ค่อยว่ากันไป เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เคยพูดว่าคิดถึงบ้านหรือไม่ พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เคยคุยกัน แต่ว่าท่านคิดถึงแน่

เมื่อถามว่า มองบรรยากาศในกองทัพขณะนี้อย่างไร พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า ขณะนี้ดีไม่มีอะไร เพราะพี่ ๆ น้อง ๆ เริ่มปรองดองกันดี และเข้าใจว่า ทุกคนมีหน้าที่อะไร เมื่อถามว่า ที่ผ่านมากองทัพอากาศมีการล้างบาง ตท.10 พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า ไม่มีการล้างบาง เพราะขึ้นมาตามลำดับ เมื่อถามว่า ในฐานะอดีตหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำตัว รมว.กลาโหม อยากฝากอะไรไปถึงตัว รมว.กลาโหมคนปัจจุบัน พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า ท่านเป็นพี่ใหญ่ ตนคงไม่อาจไปแนะนะอะไรท่านได้ เพราะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เป็นผู้อาวุโส และปกครองคนในกองทัพมากมาย ทั้งนี้อยากฝากว่า ทหารควรดูแลความมั่นคงไม่ควรไปยุ่งด้านการเมืองมากนัก เพราะจะทำให้พัวพัน และต่างชาติจะมองไม่ดี

เมื่อถามว่า หากให้พูดแทน พ.ต.ท.ทักษิณ อยากฝากอะไรถึงเพื่อน ตท.10 พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า อยากให้ทุกคนรักกัน ขอให้คิดว่า ควรจะทำอะไรให้กับประเทศชาติกันบ้าง อยากให้เพื่อนทุกคนได้อุทิศเวลาที่เหลือในชีวิตทำเพื่อประเทศชาติจริง ๆ เมื่อถามว่า ต้องรอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาหรือไม่ พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า แล้วแต่จังหวะ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่กลับมาพรรคเราก็จะดำเนินการไป แต่ขอให้มีอุดมคติเพื่อช่วยประเทศชาติ

ใต้ป่วน ยิงM-79ใส่โรงพักโชคดีไม่โดน จากนั้นวางระเบิดอีก10กก.

เว็บไซต์สยามรัฐ - เจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฎิบัติการพิเศษ จ.นราธิวาส ชุดเก็บกู้วัตถุระบเบิด เหยี่ยวดงได้รับแจ้งประสานจากเจ้าหน้าที่ สภ.ศรีสาครว่า พบวัตถุต้องสงสัย สันนิษฐานเป็นวัตถุระเบิดอยู่บริเวณเสาไฟฟ้า ห่างจากสภ.ศรีสาครประมาณ 100 เมตร เจ้าหน้าที่จึงได้เดินทางรุด เข้าไปตรวจสอบ โดยได้ตัดสัญญานมือถือ ทุกระบบ และเปิดระบบกวนสัญญานรีโมทคอลโทรน พร้อมเข้าเคลียร์ ใช้เครืองจีที 200 ตรวจสอบรอบบริเวณ เพื่อป้องกันและตรวจหาวัตถุระเบิดที่คนร้ายอาจซุกจุดชนวนระเบิดซ้อน

จากนั้นจึงได้เก็บกู้ ตรวจสอบเป็นระเบิดแสวงเครื่อง บรรจุในกล่องเหล็ก น้ำหนักประมาณ 10 กก.จุดชนวนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่า คนร้ายระเบิดเพื่อสังหารเจ้าหน้าที่ โดยคนร้ายได้นำมาฝังไว้ใกล้กับเสาไฟฟ้าริมถนนสายรือเสาะ ศรีสาคร หวังดักสังหารเจ้าหน้าที่ที่มาตรวจจุดเกิดเหตุ และอีก 2 จุด คนร้ายได้ลอบวางระเบิดไว้ที่บริเวณหลังจุดตรวจเฉลิมไชย ซึ่งห่างจาก สภ.ศรีสาคร ประมาณ 1 กม.เพื่อสกัดกั้นกำลังที่จะเข้ามาสนับสนุน และจุดที่ 2 คนร้ายได้วางระเบิดที่บริเวณข้างปั้มน้ำมัน ป.ต.ท.ห่างจาก สภ.ศรีสาคร ประมาณ 500 เมตร เพื่อป้องกันการส่งกำลังจากพื้ นที่ อ.รือเสาะ ทั้ง 2 จุด ไม่มีใครได้รับบาดเจ๊บ

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 21.20 น.วันที่ 29 ที่ผ่านมา คนร้ายไม่ทราบกลุ่มจำนวน ซึ่งใช้บริเวณป่าสวนยางพารา ตรงข้าม สภ.ศรีสาคร เป็นพื้นที่ซุ่ม โดยคนร้ายใช้อาวุธปืนสงคราม และเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 จำนวน 2 ลูก และใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงถล่มใส่ อาคารโรงพัก ศรีสาคร จนเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจนเกิดการยิงปะทะกันขึ้นนานกว่า 20 นาที ซึ่งโชดดีที่ลูกระเบิดเอ็ม 79 ตกที่บริเวณพื้นสนามหน้า สภ.มีหลุมกว้าง 1 ฟุต ลึก 3 นิ้ว ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

โดยเจ้าหน้าที่ได้ต้องยิงตอบโต้ คนร้ายนานกว่า 20 นาทีเพื่อไม่ให้คนร้ายลอบเข้ามายิงในระยะใกล้ ก่อนที่คนร้ายจะอาศัยความมืดและความชำนาญพื้นที่หลบถอยหนีไป ซึ่งลูกระเบิดโดยเจ้าหน้าได้แต่รักษาการณ์ เนื่องจากหวั่นคนร้าย วางแผนลวง เพื่อดักสังหารเจ้าหน้าที่ขณะไล่ล่า และเมื่อช่วงเช้าของวันใหม่ เจ้าหน้าที่จึงกระจายกำลังตรวจสอบพื้นที่ จึงได้พบวัตถุระเบิดดังกล่าว และเก็บกู้ไว้ได้ท่วงที

เทือกฟุ้งทุ่มงบ 63,000 ล้าน แก้ปัญหาไฟใต้

เว็บไซต์ไทยรัฐ - "สุเทพ เทือกสุบรรณ"ประชุมหน่วยงานในพื้นที่ภาคใต้ ย้ำรัฐบาลเตรียมทุ่มงบประมาณกว่า 63,000 ล้าน พัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เน้นการสร้างอาชีพเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ตั้งเป้าเสร็จสิ้นทั้งหมด 2,900 หมู่บ้านในปี 2555

ที่ห้องประชุมกองอำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ค่ายสิรินธร อ.ยะรัง จ.ปัตตานี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับ หน่วยงานด้านความมั่นคงเพื่อพัฒนา และแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ที่ประชุมได้พูดคุยและซักซ้อมการทำงาน เพื่อวางแผนในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำหนดแผนจัดงบประมาณเอาไว้ให้ มีตารางเวลาที่จะต้องทำงานให้สำเร็จชัดเจน คือ เริ่มพัฒนาตั้งแต่ ปี2552 เสร็จสิ้นปี 2555 ตั้งงบประมาณกว่า 63,000 ล้านบาท เร่งส่งเสริมอาชีพให้กับคนในพื้นที่ โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายชัดเจนว่าในปี 2552 นี้ จะดำเนินโครงการดังกล่าว ทั้งสิ้น 696 หมู่บ้าน ในหมู่บ้านที่ยากจน และตั้งเป้าดำเนินการทั้งหมด 2,900 กว่าหมู่บ้าน

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การดำเนินงานครั้งนี้ มีการวางแผนงานที่ค่อนข้างจะละเอียดชัดเจนกว่าในปีที่ผ่านมา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ลงมาซักซ้อมกับผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ทั้งฝ่าย ศอ.บต.,กอ.รมน. และส่วนราชการต่าง ๆ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะถึงวันเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ในวันที่ 1 ตุลาคม 2552 ทุกส่วนราชการจะต้องมีบัญชีรายชื่อเกษตรกร ประชาชนกลุ่มเป้าหมายทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน และนอกจากจะเพิ่มระดับรายได้ให้กับประชาชนแล้ว รัฐบาลยังต้องการให้ประชาชนได้รับการบริการในส่วนที่เป็นความจำเป็นอย่างทั่วถึง เช่น การใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค น้ำทำนา ถนนไร้ฝุ่น การปรับปรุงสถานีอนามัย การปรับปรุงโรงพยาบาล สถานศึกษาโครงการทางด้านศิลปวัฒนธรรมทั้งหลาย ส่วนงบประมาณที่จะนำมาพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ งบประมาณปกติที่ผ่านมา และงบเงินกู้ตามพรก. และพรบ. ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งจากนี้ไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งดำเนินการตามที่ตกลงกัน ตนก็จะลงพื้นที่ทุกสัปดาห์ เพื่อติดตามความก้าวหน้าของผลการดำเนินงานด้วย

เศรษฐกิจ สังคม

สภาพัฒน์เบรค โครงการลงทุนกฟน.และรฟท. 2.1 หมื่นล้าน

เว็บไซต์ไทยรัฐ - หลังนำสมมติฐานเก่าตั้งแต่ปี 2544 มาเสนอในแผนลงทุนใหม่ ชี้แม้อยู่ในแผนลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 แต่รัฐวิสาหกิจต้องทำให้ถูกฏระเบียบ

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการสศช. (บอร์ด สศช.) ว่า บอร์ด สศช.ได้ให้เวลา 6 เดือนเพื่อให้การไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)กลับไปทบทวนสมมติฐานประมาณการรายรับของ โครงการ โดยเฉพาะมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากไฟฟ้าดับในเขตจำหน่ายไฟฟ้า ของกฟน. โดยพิจารณาถึงการขยายตัวของธุรกิจและจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น มาประกอบการพิจารณาแผนงานเปลี่ยนระบบสายอากาศเป็นสายใต้ดิน ใช้เวลาดำเนินการ 8 ปี ระหว่างปี 2552-2559 ของการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) วงเงินลงทุน 6,057.15 ล้านบาท

ทั้งนี้ กฟน.ได้เสนอใช้เงินกู้ 3,900 ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟน. 2,157.15 ล้านบาท เพื่อปรับเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าจากสายอากาศเป็นใต้ดิน ใน 2 โครงการ คือ โครงการรัชดาภิเษก-อโศก เริ่มจากถนนรัชดาภิเษก จากแยกถนนพระราม 9 -ถนนพระราม 4 ระยะทาง 10.1 กม. และโครงการรัชดาภิเษก-พระราม 9 ระยะทาง 15.3 กม. ซึ่งบอร์ด สศช.เห็นว่า ดำเนินการดังกล่าวจะมีประโยชน์ในการรองรับความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในย่าน ธุรกิจได้ แต่การจัดทำข้อสมมติฐานต่าง ๆ ของโครงการของ กฟน.เป็นผลการศึกษาที่ทำไว้ตั้งแต่ปี 2544 จึงต้องมีการคำนวณเพื่อหาผลตอบแทนของแผนงานใหม่ พร้อมกันนี้ให้ กฟน.ประสานกับกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานด้านสาธารณูปโภค เช่น บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมกันลงทุนนำสายไฟและ สายโทรศัพท์ลงใต้ดิน เนื่องจากบนถนนสีลมสายไฟฟ้าลงใต้ดินแล้วแต่ไม่ได้นำสายโทรศัพท์ลงใต้ดิน จึงทำให้ทัศนียภาพยังไม่สวยงาม รวมทั้งให้ร่วมกับกรุงเทพมหานครพิจารณาพื้นที่ท่องเที่ยว เช่น ถนนหน้าพระลาน และถนนข้าวสาร เพื่อนำสายไฟลงใต้ดินด้วย

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนำสายไฟฟ้าลงใต้ดินของ กฟน.ครั้งนี้เป็นระยะทาง 25.4 กม. จากแผนภาพรวมทั้งหมดที่จะทำ 180 กม. แบ่งเป็นโครงการระยะที่ 1 ปี 2551-2564 ระยะ 119 กม. โดยที่อยู่ระหว่างดำเนินโครงการคือ โครงการปทุมวัน-จิตรลดา-พญาไท โครงการพระราม 3 และโครงการนนทรี ส่วนระยะที่ 2 อีก 61 กม. ตั้งแต่ปี 2555-2565

รองเลขาธิการ สศช. กล่าวต่อว่า บอร์ด สศช.ยังให้การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)ไปทบทวนข้อเสนอปรับปรุงทางระยะที่ 5-6 รวม 586 กม. วงเงิน 15,287 ล้านบาท ซึ่งเป็นเส้นทางสายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในระยะที่ 5 จากสถานีชุมทางแก่งคอย-แก่งเสือเต้น สถานีสุรนารายณ์-ชุมทางบัวใหญ่ และสถานีถนนจิระ-ชุมทางบัวใหญ่ รวม 308 กม. วงเงิน 8,508 ล้านบาท ส่วนระยะที่ 6 ช่วงชุมทางบัวใหญ่-หนองคาย 278 กม. วงเงิน 6,779 ล้านบาท เป็นการลงทุน 4 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2552 เนื่องจากรางเก่ามีอายุใช้งานนานถึง 30 ปี ประกอบดับมีปัญหาดินทรุด โคลนถล่ม

บอร์ด สศช.พิจารณาได้หารือเรื่องนี้แต่ยังไม่อนุมัติ พร้อมกับให้ รฟท.กลับไปจัดทำแผนธุรกิจมาเสนอภายใน 6 เดือน เนื่องจากแผนที่เสนอมาจัดทำไว้ตั้งแต่ปี 2544 อีกทั้งขอให้ รฟท.ดูภาพรวมว่าเมื่อได้ลงทุนปรับปรุงรางแล้วจะมีแผนเพิ่มปริมาณผู้โดยสาร และการใช้บริการบรรทุกสินค้าได้เท่าใด เนื่องจากแนวโน้มในปัจจุบันคนใช้บริการรถไฟลดลง และหันไปใช้บริการเครื่องบินราคาประหยัดและการเดินทางรถยนต์มากขึ้น นอกจากนั้น ให้พิจารณาแผนการปรับปรุงโครงสร้างของ รฟท.ก่อนว่าจะจัดการองค์กรอย่างไรนายอาคม กล่าว

รองเลขาธิการ สศช. กล่าวด้วยว่า แม้ว่าแผนการลงทุนที่ รฟท.เสนอมาจะบรรจุอยู่ในโครงการลงทุนตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 ของรัฐบาล แต่รัฐวิสาหกิจก็ต้องทำให้ถูกฏระเบียบ เพื่อให้เมื่อเริ่มต้นปีงบประมาณ 2553 จะได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการได้

ผู้ค้าปรับขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิด 80 สต.พรุ่งนี้

เว็บไซต์ไทยรัฐ - ผู้ค้าน้ำมัน ปรับขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิด ลิตรละ 80 สตางค์ วันพรุ่งนี้ ส่งผลให้เบนซิน 91 อยู่ที่ลิตรละ 32.34 บาท, แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 28.54 บาท, แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 27.74 บาท และดีเซลลิตรละ 25.39 บาท...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ค้าน้ำมันทุกรายประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศทุกชนิดลิตร ละ 80 สตางค์ โดยมีผลตั้งแต่เวลา 05.00 น.วันพรุ่งนี้ (31 พ.ค.52) เนื่องจากค่าการตลาดอยู่ในระดับต่ำ หลังสถานการณ์ราคาในตลาดโลกปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล วันพรุ่งนี้ เป็นดังนี้ เบนซิน 91 อยู่ที่ลิตรละ 32.34 บาท, แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 28.54 บาท, แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 27.74 บาท และดีเซลลิตรละ 25.39 บาท

หมอระบุชิคุนกุนยาเป็นครั้งเดียวในชีวิต-ไม่ถึงตาย

เว็บไซต์ไทยรัฐ - ย้ำไม่ทำให้ถึงตาย ไม่มีวัคซีนป้องกัน เตือนปชช.นอนกลางวันอย่าให้ยุงกัน เผยอีสานใต้มีผู้ป่วยแล้ว 13 ราย ส่วนใหญ่มีอาชีพทำงานภาคใต้...

นายแพทย์ศรายุทธ อุตตมางคพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวถึงสถานการณ์โรคชิคุนกุนยา หรือโรคไข้ปวดข้อ ล่าสุดว่า มีผู้ป่วยในเขตพื้นที่รับผิดชอบ 7 จังหวัดภาคอีสานตอนล่าง รวม 13 ราย คือ ผู้ป่วย ที่จังหวัดศรีสะเกษ 2 ราย เป็นทหารที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ส่วนผู้ป่วยที่จังหวัดอุบลราชธานี มีจำนวน 1 ราย และผู้ป่วยในพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ จำนวน 10 ราย โดยผู้ป่วยดังกล่าวมีประวัติการไปทำงานสวนยางที่ ต.ตาเนาะแมเลาะ อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคชิคุนกุนยา โดยมีข้อมูลพื้นฐานของราษฎรในพื้นที่ พบว่า กว่าร้อยละ 20 จะมีอาชีพรับจ้างทำสวนยางพาราในจังหวัดพื้นที่ภาคใต้ โดยราษฎร จะเดินทางไปกลับภูมิลำเนาเป็นระยะๆ สำหรับการป้องกันและควบคุมโรคให้อยู่ในวงจำกัด นั้น ได้เน้นการเฝ้าระวังผู้ป่วยรายใหม่ หากพบรายใดมีไข้ มีผื่นแดงขึ้น และปวดข้อ ขอให้นึกถึงโรคไข้ปวดข้อ และแจ้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ทันที เพื่อควบคุมโรคไม่ให้แพร่ระบาดอย่างทันท่วงที

ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมโรคที่ 7 อุบลราชธานี กล่าวต่อว่า โรคไข้ปวดข้อ ไม่ใช่โรคใหม่ เคยพบในประเทศไทยมานานแล้ว เกิดจากยุงลายสวนกัด เมื่อป่วยแล้วจะมีภูมิต้านทานโรคตลอดชีวิต ไม่ป่วยซ้ำอีก ไม่ทำให้เสียชีวิต ไม่มีวัคซีนป้องกัน ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง โดยอาการไข้จะหายภายใน 3-7 วัน แต่อาการปวดข้อ จะยังอยู่เป็นสัปดาห์หรืออาจถึงเดือน แต่อาการจะหายได้เอง ไม่ต้องกังวลใจ สำหรับการป้องกันโรค ประชาชนต้องป้องกันไม่ให้ยุงกัด โดยนอนในมุ้งขณะนอนกลางวัน ช่วยกันกำจัดลูกน้ำยุงลายทั้งในบ้าน และนอกบริเวณบ้านในรัศมีประมาณ 10 เมตร เพื่อลดปริมาณยุงลาย

อุตุฯเตือน4จ.เหนือเสี่ยงฝนถล่ม-น้ำป่าทะลัก

เว็บไซต์คมชัดลึก - อุตุฯภาคเหนือ เตือน 30-31 พ.ค.รับมือฝนตกหนักกระจาย 60% ของพื้นที่ สั่งจับตา 4 จังหวัดเสี่ยงภัย ขณะที่ปภ.น่าน เตรียมพร้อมดึงอปท.อบรมรับมืออุทกภัย วางแผนเฝ้าระวัง 2 ส่วนหวั่นซ้ำรอยปี 51 "บ้านห้วยธนู" ถูกน้ำพัดหายกว่า 8 หลังคาเรือน

นายวรพจน์ คุณาวิวัฒนางกูร เวรพยากรณ์อากาศ ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ เปิดเผยว่า ช่วง 1-2 วันนี้ (30-31 พ.ค.) ร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย

โดยส่งผลให้ภาคเหนือมีฝนฟ้าคะนองกระจายร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีลมกรรโชกแรง โดยจะเติ่มตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงเย็นของวันนี้ (30 พ.ค.)และพื้นที่ในภาคเหนือที่ต้องเฝ้าระวังและจับตาน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก และโคลนถล่ม มี 4 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน โดยเฉพาะในพื้นที่เชิงเขา พื้นที่ลุ่มน้ำ

ขณะที่นายธวัช เพชรวีระ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดน่าน กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการวางแผนปฏิบัติการรับมือน้ำท่วมล่วงหน้าแล้ว เนื่องจากพื้นที่จ.น่านแต่ละอำเภออยู่ห่างไกล เมื่อเหตุอุทกภัย ดินถล่ม น้ำป่าไหลหลาก การจะเข้าช่วยเหลือให้ทันท่วงทีเป็นเรื่องที่ยากลำบาก

โดยได้ประสานความร่วมมือไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 15 อำเภอ ให้ส่งตัวแทนเข้ารับการอบรมวิธีการเฝ้าระวังอุทกภัย รวมถึงวิธีการอพยพชาวบ้านออกนอกพื้นที่เสี่ยงภัยเบื้องต้นกรณีฉุกเฉินและเจ้าหน้าที่ปภ.ไม่สามารถไปถึงสถานที่เกิดเหตุได้ทัน

ทั้งนี้ ยังมอบหมายให้มีการแต่งตั้งมิสเตอร์เตือนภัยหมู่บ้านละ 2 คนทำหน้าที่ประสานงานและจับตา รายงานความเคลื่อนไหวของสถานการณ์น้ำในพื้นที่ ร่วมกับชุดอปพร.หมู่บ้าน และชุดเฝ้าระวัง เพื่อรายงานข้อมูลมายังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และแจ้งต่อปภ.น่าน ต่อไป

นายธวัช กล่าวต่ออกีว่า สำหรับพื้นที่เสี่ยงของจังหวัดน่านจะมีทั้งหมด 302 หมู่บ้าน กระจายอยู่ใน 15 อำเภอ โดยแผนรับมือในปีนี้จะเฝ้าระวัง 2 ส่วน คือ ส่วนแรกบริเวณลำน้ำน่าน ที่ทุกปีจะเกิดน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมหมู่บ้าน และส่วนที่ 2 คือบริเวณร่องน้ำ ไหล่เข่า ที่ชาวบ้านไปรุกล้ำที่แนวลำน้ำสาขาต่างๆ

ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยกับปี 2551 ที่บ้านห้วยธนู อ.ท่าวังผา ที่โดนน้ำป่าไหลหลากและโคลนถล่มส่งผลให้บ้านเรือนกว่า 8 หลังคาเรือนถูกน้ำพัดหายไป อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ในปีที่ผ่านมาทางจังหวัดน่านจึงได้สั่งอพยพชาวบ้านที่บ้านห้วยธนู และจัดหาพื้นที่ให้อยู่ใหม่จำนวน 29 หลังคาเรือน

ชาวนาพิจิตรเตรียมประท้วงราคาข้าวเหลือ 7-8 พันบาท

เว็บไซต์สยามรัฐ - นางมิ่งขวัญ พุกเปี่ยม หรือ เจ๊หนิงประธานชมรมโรงสีข้าว จ.พิจิตร เปิดเผยว่าขณะนี้สมาชิกชมรมโรงสีข้าวพิจิตรกว่า 20 โรงสี ที่เคยเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว โดยประกาศหยุดรับจำนำข้าวแล้ว โดยจังหวัดพิจิตรมีข้าวเปลื อกเข้าโครงการรับจำนำประมาณ 6 หมื่นตันเศษ ซึ่งการหยุดรับจำนำแบบกะทันหันทำให้ชาวนาพิจิตรที่ทำนาปรังกัน 2 ปี 7 ครั้ง ปรับตัวไม่ทัน และยังมีปริมาณข้าวเหลือรอเก็บเกี่ยวในช่วงนี้อีกไม่ใช่น้อย

โดยช่วงนี้โรงสีประกาศรับซื้อด้วยเงินสดเพียงตันละ 7,800 – 8,200 บาท วันนี้ชาวนาบางคนที่เก็บเกี่ยวข้าวแล้วจะนำมาจำนำในราคาตันละ 1,2000 บาท แต่พอรู้ว่ารัฐบาลไม่รับจำนำก็ทำให้ขาดทุน เพราะคำนวณต้นทุนไว้ตามราคาที่จำนำ ถึงกับร้องไห้โฮ เพราะต้องขาดทุนย่อยยับ เพราะการระงับโครงการก่อนกำหนด 2 เดือน ทำให้ชาวนาที่ก่อนหน้านี้ตั้งความหวังว่าจะรวยด้วยการทำนา กลับต้องมาขาดทุน เพราะการไม่ประชาสัมพันธ์ล่วงหน้า เช่นนี้

ในส่วนของนายสมเกียรติ โสภณพงศ์พิพัฒน์ ประธานชมรมสหกรณ์จังหวัดพิจิตรเปิดเผยว่า จากกรณีความไม่แน่นอนของการระบายข้าวของรัฐบาลที่เกิดขึ้นในขณะนี้ส่งผลกระทบให้กับชาวนาจังหวัดพิจิตรโดยตรงอย่างใหญ่หลวง ต้นเหตุเกิดจาก อคส.และ อตก. ได้สั่งให้หยุดรับจำนำข้าวนาปรังของเกษตรกรไปเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 52ที่ผ่านมา ทั้งๆที่โครงการจะต้องไปสิ้นสุดวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 ทำให้ผลผลิตข้าวนาปรังของชาวนาพิจิตร ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวได้

ในหลายหมื่นไร่ ที่ใกล้จะเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงกลางเดือนมิถุนายน จนถึง กรกฏาคม 2552 ที่จะถึงนี้ และจากการที่รัฐบาลไม่มีการประชาสัมพันธ์ล่วงหน้า ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดลดลง ซึ่งชาวนาสามารถจำนำข้าวและจะได้ราคาจริงหลังหักทั้งสิ่งเจือปนและความชื้นราคาจะอยู่ที่ตันละ 9,300 – 10,000 บาท แต่เมื่อต้องขายสดจะได้ราคา ตันละ 7,000 บาทเท่านั้น เรียกว่าขาดทุนย่อยยับ

นายสมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จากการที่รัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาของโครงการรับจำนำข้าวนั้น หากรัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ปัญหาโดยเห็นผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลักแล้วนั้นการประกันราคาข้าวจะส่งผลดีกั บรัฐบาลและชาวนาในระยะยาวมากกว่า เพราะประโยชน์จะเกิดขึ้นกับชาวนาทั้งสองกรณีคือราคาข้าวตกต่ำ หรือราคาข้าวที่แพงกว่าราคาประกัน และในส่วนที่รัฐบาลจะได้ผลดีกรณีที่ไม่ต้องขาดทุนทุกครั้งที่มีการประมูลข้าวเพื่อระบายข้าวสู่ตลาด ซึ่งที่ผ่านมาจะขาดทุนถึงปีละ 13,000 ถึง 20,000 ล้านบาท ส่วนกรณีของโรงสีอาจจะไม่ชอบใจนักที่หยุดโครงการรับจำนำ เพราะจะเสียประโยชน์ที่เคยได้รับ เป็นผู้รับจ้างดำเนินโครงการรับจำนำได้ค่าตอบแทนทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นค่าแปรรูป ค่าชั่งนำหนัก ค่าสีข้าว ค่าเก็บรักษา ค่าส่วนต่างเปอร์เซ็นต์ความชื้น เรียกว่าได้ทุกประตูทั้งประโยชน์โดยตรงและทางอ้อมจากการเข้าร่วมโครงการ

โดยสรุปการทำงานของรัฐบาลที่ไม่มีรูปแบบ จึงส่งผลความเดือดร้อนของชาวนาที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งถ้าเดือดร้อนกันแบบนี้ อีกไม่เกิน 7 – 10 วัน ชาวนารวมตัวกันติดเมื่อไหร่คงมีการโต้ตอบด้วยการปิดถนนประท้วง เช่นเคย คราวนี้แหละคงเดือดร้อนกันทั้งประเทศ เพราะการประท้วงปิดถนนอย่างที่เคยทำแล้วได้ผลมาแล้ว นั่นเอง

6 ปีไม่ได้พบ "ป๋า" ทรมานใจ รักเหมือนพ่อ

ไทยโพสต์ - "ถ้ากล้าถาม ก็กล้าตอบและยืนยันว่าไม่มีแน่นอนเอ้า...พูดกันตรงๆ เลยว่า แค่หอมแก้ม เพราะมีเคารพรักท่าน ท่านก็เหมือนพ่อผมรักท่านเหมือนพ่อ ท่านเป็นผู้มีพระคุณ"

ความในใจของ "หนุ่มเสก" หรือ "เสกสรร ชัยเจริญ" อดีตนักร้องชื่อดังคนแรกของคีตา เรดคอร์ดสซึ่งเข้าได้เปิดเผยให้ "เรา" ทราบถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ "ป๋า" พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

เป็นครั้งแรกที่เขาได้ระบายความในใจต่อสาธารณะชน หลังหลายปีที่ผ่านมา "หนุ่มเสก" กลายเป็นตัวละครสำคัญ ที่ถูกหยิบใช้เป็นเครื่องมือ โจมตีและทำลายความน่าเชื่อถือของ "ป๋า" โดยเฉพาะห้วงเวลาของความขัดแย้งทางสังคม-การเมือง หลังรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ พล.อ.เปรม ถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ความเคารพรักเหมือนพ่อ-ลูก ที่ "หนุ่มเสก" มีให้กับ "ป๋า" ได้ถูกกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่มแปลงนิยามคำว่า "เคารพรักเหมือนพ่อ" ใหม่ เป็นความรักระหว่าง "ฉันและเธอ" หรือ "เด็กป๋า" อันเป็น "ศาสตราวุธ" ทรงแสนยานุภาพ ของกลุ่มที่ผลิต-คิดค้นขึ้นบนฐานของความเกลียดชัง และไม่สนใจข้อเท็จจริงเป็นเช่นใด หวังเพียงแค่ "ล้มป๋า-ทำลายป๋า" เพราะพวกเขาเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของ "อำมาตย์"

เรามีโอกาสได้ยืนคุยอย่างเป็นกันเองกับ "หนุ่มเสก" ในฐานะเป็นผู้อำนวยการโรงละครอักษรา ระหว่างที่เขานำคณะหุ่นละครเล็ก อักษรา ภายใต้การดูแลของ บริษัทคิงเพาเวอร์ ไปแสดงในพิธีเปิดโครงการกู้วิกฤติเศรษฐกิจตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

แม้มีโอกาสคุยกันไม่กี่สิบนาที แต่ทุกประโยคทมุกคำพูดที่ "หนุ่มเสก" เปิดใจให้เราฟังนั้น น่าจะทำให้เกิดความกระจ่างชัด ต่อข้อกล่าวหาความสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบ "ฉันรักเธอ" หรือแบบ "เด็กป๋า" ระหว่างเขากับ พล.อ.เปรม ในรอบปลายปีที่ผ่านมา ซึ่ง "หนุ่มเสก" บอกว่า "ยินดีให้เราเผยแพร่ความรู้สึกของเขาต่อสาธารณะได้"

หนุ่มเสกเล่าว่า "ในช่วงที่มีการชุมนุมและมีการโจมตีป๋าอย่างรุนแรง รุมสงสารท่าน ในขณะนั้น รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมกับท่าน อยากจะออกมาตอบโต้หรือขึ้นเวทีปกป้องอ เพราะสิ่งที่พูดนั้นไม่เป็นความจริงท่านเป็นปูชนียบุคคลที่ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองมาตลอด แต่ไปพูดถึงท่านเสียๆ หายๆแถมไปก้าวล่วงถึงเรื่องส่วนตัว ทั้งที่ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย"

"แถมยังมีพาดพิงถึงผมด้วย ว่าทำนองว่าไปมีอะไรกับท่าน เป็นเรื่องที่ไม่จริงและน่าเกลียดที่สุด แต่ว่าผู้ใหญ่ที่ผมนับถือห้ามไว้ เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อป๋า หากออกไปก็จะยิ่งทำให้กลุ่มที่ชุมนุมนำไปเป็นประเด็นโฟกัส โจมตีถึงท่านอีก ซึ่งมันไม่แฟร์"

เราถามไปว่า ไม่ได้มีอะไรอย่างที่กล่าวหาหรือ "หนุ่มเสก" ตอบตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า "ถ้ากล้าถาม ก็กล้าตอบ และยืนยันว่าไม่มีแน่นอน เอ้า...พูดกันตรงๆ เลยว่า แค่หอมแก้ม เพราะผมเคารพรักท่าน ท่านก็เหมือนพ่อ ผมรักท่านเหมือนพ่อ ท่านเป็นผู้มีพระคุณ ส่วนท่านก็คิดว่าผมเป็นลูก ท่านน่ารักมาก ท่านรักผมเหมือนลูกนี่ผมพูดได้เลยนะ ผมไม่เคยพูดที่ไหน เพราะผมอยากให้เลิกพูดกันเสียๆ หายๆ สักที"

"ผมดูได้เต็มปากเลยว่าผมเองก้เป็น "ลูกป๋า" คนหนึ่ง เพราะทำงานใกล้ชิดรับใช้ท่าน ท่านมีความเมตตาสูงให้โอกาสทุกอย่าง เคยกราบเท้าท่านคือผู้มีพระคุณ เปรียบเหมือนพ่อ"

"ผมยืนยัน ไม่เคยขอเงินท่านแต่ท่านเคยให้ เพราะเมตตา แต่เมื่อสิ่งที่ท่านให้โอกาสและเราไม่สามารถทำมันให้ประสบความสำเร็จได้ เราก็รู้สึกละอาย แต่ก็จำคำที่ท่านสั่งสอนตลอดว่า คนเราเมื่อล้มแล้วต้องลุกขึ้นให้ได้ ทุกวันนี้ผมยืนอยู่ได้เพราะกำลังใจและคำสอนของท่าน จึงยืนอยู่ด้วยขาตัวเอง"

อย่างไรก็ตาม กว่า 6 ปีแล้วที่ "หนุ่มเสก" ไม่เคยได้เข้าพบกับ พล.อ.เปรม โดยเจ้าตัวเข้าใจว่ามีบางคนกีดกันไม่ให้เข้าพบเพียงแต่ไม่ได้บอกว่าคนที่กีดกันคือใคร?

"เป็นเวลา 6 ปีแล้วที่ไม่ได้พบ พล.อ.เปรม บุคคลที่มีบุญคุณและเคารพรักที่สุดในชีวิต เพราะถูกคนใกล้ชิดของ พล.อ.เปรมกีดกันโดยไม่ทราบสาเหตุ การพบกันครั้งสุดท้ายก็เมื่อตอนที่ผมดำรงสมณเพศเป็นพระบวชอยู่ที่วัดทุ่งเศรษฐี ย่านบางนา ซึ่งพล.อ.เปรมได้แจ้งให้ไปรับบาตรที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ซึ่งผมก็ถ่ายภาพในควงามทรงจำครั้งนั้นเก็บไว้ จากนั้นผมก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบท่านอีกเลย"

"ณ วันนี้ยังคิดถึงตลอดเวลา และรักท่านเสมอ ก็รู้สึกทรมานใจ แต่ไม่มีโอกาสไปพบท่าน เพราะถูกกีดกัน แม้ทุกวันนี้จะไม่ได้พบ แต่ก็ระลึกถึงท่านเสมอ และถ้าชีวิตนี้ยังไม่สิ้น ต้องกลับไปหาท่านให้ได้ กลับไปให้ป๋าได้ภูมิใจ ไม่ได้คิดจะไปรบกวนท่านเลยทุกวันนี้เป็นตนและมาถึงขนาดนี้ได้เพราะกำลังใจจากป๋า"

ปัจจุบัน เขามีความสุขและทุ่มเทกับงานในฐานะเป็นผู้อำนวยการโรงละครอักษรา "จะดูแลคณะหุ่นละครเล็ก ที่สืบทอดศิลปะจากครูสาคร ยังเขียวสด โดย คณะลูกศิษย์ ให้ประสบความสำเร็จให้ได้ถ้ายังล้มเหลว ผมก็คงไม่กล้าไปหาท่าน แต่ถ้าเมื่อวันนั้นมาถึงผมจะไปหาท่านและกราบเท้าท่านอย่างเต็มภาคภูมิ"

ส่วนข่าวลือที่ระบุว่ากำลังมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงสถานบันเทิงกลางคืนนั้น เขาบอกว่า "เป็นธรรมดาของคนที่เคยประกอบธูรกิจด้านนี้ เขาต้องพบปะคนมาก และประสานงานในการนำเสนอการแสดง อย่าไปมอง่าเป็นมาเฟียหรือผู้ทรงอิทธิพล"

เมื่อพูดคุยกันจบแล้ว "หนุ่มเสก" ได้ เดินไปส่ง "เจเจ" จุลจิตต์ บุณยเกตุ ในฐานะที่ดำรงตำแหน่ง คณะกรรมการบริหารสถานทีโทรทัศน์กองทัพบก และรองประธานบริหารกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ ที่เขาบอกว่า "เป็นนายที่มีพระคุณ"

นี่อาจจะเป็นเพราะอัธยาศัย มนุษยสัมพันธ์ที่ดี ช่างพูด ประกอบกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใส ของ "หนุ่มเสก" แม้จะอายุเลยวัย "ทีนเอจ" มาแล้ว แต่ด้วยเอกลักษณ์เก่าผสมลุคส์ใหม่ จนกลายเป็น "หนุ่มเสก สกินเฮด" ล้วนแต่เป็นลักษณะที่ทำให้ "ผู้ใหญ่" ไม่ว่าอาชีพใด วัยใด ต่างก็เอ็นดูเป็นธรรมดา

ต่างประเทศ

อิหร่านแขวนคอ 3มือระเบิด ถล่มมัสยิดดับ25ศพ

เว็บไซต์ไทยรัฐ - สำนักข่าวอิหร่าน อ้างกระทรวงยุติธรรม เผย 3 ผู้ต้องหาจัดหาระเบิดให้คนร้ายก่อเหตุโจมตีมัสยิด เมื่อวันศุกร์ จนมีผู้เสียชีวิต 25 ศพ ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอแล้วเมื่อวันเสาร์หลังศาลมีคำพิพากษา...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันนี้ สำนักข่าวไออาร์เอ็นเอ (IRNA) ของอิหร่าน รายงานวันเดียวกันนี้ ว่ากระทรวงยุติธรรมท้องถิ่นจังหวัดซิสถาน-บาลูเชสถานของประเทศอิหร่าน อยู่ติดพรมแดนกับประเทศปากีสถานและอัฟกานิสถาน เผยว่าผู้ต้องหา3คน ผู้จัดหาวัตถุระเบิดให้ชายคนหนึ่งก่อเหตุระเบิดโจมตีมัสยิดในจังหวัดข้างต้น เมื่อวันศุกร์ จนมีผู้เสียชีวิต 25 คน ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอแล้วในวันเสาร หลังศาลตัดสินว่าทั้งสามคนกระทำความผิดจริง ทั้งหมดถูกแขวนคอก่อนพิธีศพของเหยื่อจะมีขึ้น

ด้าน "จุนดัลเลาะห์" กองกำลังอิสลามนิกายสุหนี่ ออกมาอ้างรับผิดชอบเหตุระเบิด แต่ก่อนหน้านี้ผู้ว่าราชการจังหวัดซิสถาน-บาลูเชสถาน ออกมากล่าวหาว่าสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ว่าจ้างคนร้ายมาก่อเหตุ