ที่มา Thai E-News
ที่มา คอลัมน์ ผมเป็นข้าราษฎร นสพ.รายสัปดาห์ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 1
โดย จักรภพ เพ็ญแข
6 มิถุนายน 2552
ต้องขอขอบคุณทีมงานหนังสือพิมพ์ Thai Red News ไม่ว่าจะเป็นคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข อาจารย์วิบูลย์ แช่มชื่น และท่านอื่นๆ ที่อุตส่าห์นึกถึงผมผู้อยู่ไกลบ้าน
หลังจากที่ช่วยเข็นหนังสือพิมพ์ออกมาได้จนสำเร็จ การทำความดีในฝ่ายประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ เหลือบริ้นต่างๆ มีอยู่ครบถ้วน แม้ในฝั่งนี้
ได้ข่าวมาตลอดว่า กว่าจะได้หนังสือพิมพ์สีแดงมา ทีมงานก็หน้าเขียวกันไปหลายคน ก็ขอให้อำนาจดีในฝ่ายประชาชน ช่วยปกป้องหนังสือพิมพ์และทีมงาน ให้อยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง กลายเป็นเครื่องมืออันทรงอานุภาพ เพื่อช่วยกู้ศักดิ์ศรีของปวงชนชาวไทยเทอญ
หลายท่านรู้ว่า ผมจะเขียนหนังสือลงในเล่มนี้ ก็ฝากสารทุกข์สุขดิบมาอย่างคนรักกัน บอกด้วยว่า ให้ผมเล่าเรื่องของตัวเอง ตั้งแต่วันสงกรานต์แห่งปีพุทธศักราช ๒๕๕๒ เป็นต้นมา
แต่ผมได้ให้สัมภาษณ์กับคนที่รักกันมากอีกคนหนึ่งไปแล้ว คือคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข มีรายละเอียดต่างๆ อยู่ครบ ก็เลยขอตัวไม่เล่าเรื่องซ้ำนะครับ เพราะการต่อสู้จากนี้ไป เราคงจะไม่เล่นลัทธิบูชาตัวบุคคลกันมากนัก เพราะนั่นมันลัทธิของฝ่ายตรงข้ามเขา ที่เขาใช้เรื่องตัวบุคคลมาทำลายประชาธิปไตย จนแทบสิ้นซาก
การต่อสู้ของเรา ไม่ใช่เรื่องของตัวผม - นายจักรภพ เพ็ญแข ไม่ใช่สามเกลอ ไม่ใช่หมอเหวง ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่ตัวบุคคลที่ไหนทั้งนั้น ไม่ใช่แม้กระทั่งคุณทักษิณ แต่เป็นเรื่องของระบอบและระบบ
คำสองคำนี้ น่านำมาคุยกันเป็นปฐมฤกษ์ เพราะมีคนสับสนกันมาก และเรื่องนี้แหละครับ คือหัวใจของเรื่องที่เราต่อสู้กันอย่างถึงพริกถึงขิง เป้าหมายช่วยตัวบุคคลนั้นเรื่องขี้หมา ถ้าเราสามารถเยียวยาระบอบประชาธิปไตยทั้งระบอบได้ ทุกคนที่ฝั่งนี้ ก็จะรอดจากเงื้อมมือของเผด็จการโรคจิตในเมืองไทยอย่างทั่วหน้าถึงกัน
คำว่า ระบอบ นั้น ฝรั่งเขาใช้คำว่า regime ส่วน ระบบ เขาบอกว่าใช้ system ก็น่าจะเหมาะสม
แต่จะให้ความหมายอย่างไร ก็ช่างหัวฝรั่งมันเถอะครับ ยกขึ้นมาเป็นนะโมตะสะภะควะโตเท่านั้นเอง ความสำคัญอยู่ที่ว่า เรากำลังต่อสู้กับสิ่งที่เรียกว่าระบอบ ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายเราเอง ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์พยายามยิ่งนัก ที่จะชวนเราไปต่อสู้ในระดับตื้นๆ ต่ำๆ คือระบบ
ทำไม? เพราะระบอบนั้น หมายถึงการวางโครงสร้างของอำนาจทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุด ใหญ่เท่าๆ กับขนาดของสังคมนั้นๆ เลยทีเดียว ในขณะที่ระบบของการวางโครงสร้างย่อยๆ ลงมา เพื่อให้โครงสร้างอันใหญ่ที่เรียกว่าระบอบนั้น เดินได้
ระบอบ จึงมีความหมายทั้งรูปธรรมและนามธรรม นอกจากจะวางกฎเกณฑ์พื้นฐานให้ตรงกันแล้ว ยังจะต้องรู้สึกนึกคิด ร่วมอุดมการณ์ และมีจิตวิญญาณไปในทางเดียวกันนั้นด้วย
เอาของจริงในเมืองไทยเลยดีกว่า จะได้เข้าใจง่าย เมืองไทยเราท่องกันมาว่า อยู่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วก็เชื่อกันจริงๆ จังๆ ว่า เป็นประชาธิปไตยจริง
พอเราเห็นศาลเอียง องค์กรอิสระทำตามใบสั่ง พรรคการเมืองถูกยุบได้ รัฐบาลประชาธิปไตยไร้น้ำยา เพราะเป็นเพียง “จ๊อคกี้” หรือคนขี่ม้า สั่งทหารที่เขาเปรียบเทียบเป็นม้า ก็ยังไม่ได้ ฯลฯ
เราจึงเริ่มสะกิดถามกันว่า นี่มันระบอบประชาธิปไตยภาษาอะไรกันครับ ก็เพิ่งมาตาสว่างกันแถวๆ ปี ๒๕๔๘ ลงมานี่แหละว่า เมืองไทยของประชาชนผู้เสียภาษีหลายคน ไม่ได้อยู่ในระบอบประชาธิปไตยเลย แต่เป็นระบอบอะไรก็ไม่รู้ ที่คนเป็นรัฐบาลไม่มีอำนาจ และคนมีอำนาจไม่ต้องรับผิดชอบในฐานะรัฐบาล ต่อใครหน้าไหนทั้งสิ้น
เขาเรียกระบอบนี้ว่า ระบอบเผด็จการ ครับ
ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นต้นมา คือหลังการอภิวัฒน์ของคณะราษฎร เราได้เห็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยมาตลอด อย่างต่อเนื่อง และด้วยความอุตสาหะอย่างยิ่ง
จนกระทั่งถึงรัฐบาลทักษิณ เราจึงได้เห็นเป็นบุญตากันว่า ดีกรีความเกลียดชังระบอบประชาธิปไตยของเขานั้น มันขนาดไหน เขาจึงต้องชี้ให้คนของเขาในทุกวงการ ทำลายล้างกันอย่างนองเลือดถึงขนาดนั้น
ปัจจุบันนี้ เมืองไทยอยู่ใน “ระบอบเผด็จการ” โดยมี “ระบบรัฐสภา” ซึ่งเป็นระบบรัฐสภาพิกลพิการ ขาดความสมบูรณ์ เป็นหน่วยย่อยอยู่ในนั้น
พูดให้ชัดก็คือ เป็น “ระบบรัฐสภา” ภายใต้ “ระบอบเผด็จการ” หาใช่ “ระบบรัฐสภา” ใน “ระบอบประชาธิปไตย” ไม่
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่กล้าแตะประเด็นปัญหาใหญ่ และการมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง โดยไม่สนใจว่า สิ่งแวดล้อมที่แท้จริงเป็นอย่างไรนั้น จึงเป็นความมืดบอด เพราะไม่ว่าจะประสบความสำเร็จจากการเลือกตั้งสักกี่ครั้ง อย่างที่พรรคไทยรักไทยได้รับในปี พ.ศ.๒๕๔๔ และ ๒๕๔๘ หรือพรรคพลังประชาชนได้รับในปี พ.ศ.๒๕๕๐ ก็จะไม่มีวันได้อำนาจรัฐอย่างแท้จริงในประเทศนี้เป็นอันขาด
การยอมตัวอยู่ภายใต้ระบอบที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย และเสแสร้งทำตัวเป็นนักการเมืองในระบบรัฐสภา เป็นวิธีหดตัวอยู่ในกระดองเหมือนเต่า รอให้เขามาอุ้มไปต้มในหม้อทั้งตัวเท่านั้น ตัวเองจะตายนึ่ง และประชาชนก็จะพ่ายแพ้ สูญเสีย วิญญูชนไม่พึงกระทำเป็นอันขาด
วันนี้เพิ่งจะเขียนวันแรก อย่าไปลำหักลำโค่นนักเลยครับ เอาเป็นว่า ถ้าไม่คิดถึงคำว่า ระบอบ ให้มากกว่า ระบบ แล้วล่ะก็ ยอมแพ้เฉยๆ และลงนอนให้เขากระทืบยอดอกง่ายกว่า
ดีใจที่ได้เจอกันทางคอลัมน์นี้นะครับ ผมรักและคิดถึงพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยอยู่ทุกลมหายใจ จะไม่พูดเชยๆ ว่า พบกันเมื่อชาติต้องการ
เพราะผมตั้งใจแล้วว่า ถึงเวลาที่สมควรพบ เราก็จะได้พบกัน ไม่ว่า “ชาติ” จะต้องการหรือไม่ก็ตาม.