WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, June 6, 2009

ห้าเดือนผ่านไป ใครได้อะไร ... ทำไมต้องเป็น ประชาธิปัตย์ ?

ที่มา Thai E-News

โดย คุณ poonnook
ที่มา เวบไซต์ thaifreenews
6 พฤษภาคม 2552

เหตุผลเดียวที่เผด็จการอมาตย์ต้องการพรรคประชาธิปัตย์ และจะต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นในการปกครองประเทศ มิใช่เพราะพรรคประชาธิปัตย์สามารถบริหารประเทศเก่งกาจ และจะนำพาให้ประชาชนมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ แต่ตรงข้ามประชาธิปัตย์จะสามารถบริหารประเทศให้ประชาชน “ยากจนและไร้ความหวัง” ได้อย่างสิ้นเชิงต่างหาก และที่สำคัญประชาธิปัตย์ สามารถกระทำเรื่องดังกล่าวได้เป็นอย่างดีเสียด้วย


ต้องยอมรับอย่างจริงจังว่า พรรคประชาธิปัตย์มิใช่พรรคการเมืองสมัครเล่นหรือพรรคเฉพาะกิจ แต่เป็นพรรคการเมืองมืออาชีพอย่างแท้จริง กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ไม่มีพรรคการเมืองใดในประเทศนี้ ที่มีลูกเล่น, เล่ห์เหลี่ยม, ไหวพริบ แพรวพราวในทางการเมือง เท่ากับพรรคประชาธิปัตย์อีกแล้ว

ระยะเวลากว่า 60 ปี ที่พรรคนี้ได้สั่งสมประสบการณ์และถ่ายทอดทายาททางการเมืองออกมา จนเกือบจะเป็นพิมพ์เดียวกันในทุกๆ รุ่น เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ “มิใช่เหตุบังเอิญ” แต่เป็น “ความตั้งใจและเจตนา” จะให้เกิดขึ้นดังนั้นอย่างแท้จริง

ระยะเวลากว่า 5 เดือน ที่พรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ขึ้นมาสู่อำนาจทางการเมือง โดยอาศัย “ความหน้าด้าน, ตัวช่วย, และเล่ห์เหลี่ยม” พรรคการเมืองนี้มิได้สร้างคุณประโยชน์ใดๆ ให้กับประชาชนชาวไทยโดยรวมเลยแม้แต่น้อย

ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมือง, การแตกแยกทางความคิด, การล่มสลายทางเศรษฐกิจของชาิติ พรรคประชาธิปัตย์ มิได้ดำเนินการสิ่งใดให้เห็นได้เป็นรูปธรรมว่า มีความพยายามจะแก้ไขปัญหาสำคัญเหล่านี้ในฐานะผู้นำรัฐบาล นอกจากร่องรอยปรากฏให้เห็น แต่การ “เล่นเกมส์การเืมือง” เพื่อชิงความได้เปรียบ

การบริหารประเทศ ก็เป็นไปในลักษณะพร้อมที่จะโยนภาระให้กับรัฐบาลต่อไปและประชาชน ให้เป็นรับผิดชอบ และเป็นผู้แก้ปัญหาในอนาคต ส่วนตัวเองในรัฐบาลนี้ ก็เอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีความหวังที่ประชาชนจะลืมตาอ้าปากได้ในอนาคตอันใกล้

อาจจะเป็นไปตามแนวทาง ที่ต้องการให้ประชาชนในประเทศนี้ มีชีวิตเพียงแค่พอมีพอกินไปวันๆ ไม่มีโอกาสที่จะร่ำรวย หรือขึ้นมาแข่งขัน เป็นเจ้าของธุรกิจของตนเองได้ ไม่ว่าระดับใดก็ตาม

เพราะถ้าเป็นดังนั้นแล้ว ประชาชนผู้ที่ “คิดเป็นทำเป็น” เหล่านั้น ก็จะกลายเป็นผู้ที่ “ไม่ว่านอนสอนง่าย” เพราะเริ่มรู้จักคิด เริ่มรู้จักหาโอกาสพัฒนาตนเอง

แต่ถ้าประชาชนไม่มีโอกาสที่จะแข่งขัน ก็จะไม่มีโอกาสพัฒนาชีีวิตของตนเอง เมื่อเป็นดังนี้ ก็ตรงตามเป้าหมายที่เผด็จการอมาตย์ พยายามผลักดันให้ประเทศ และคนในประเทศนี้ มีรูปแบบในการดำเนินชีวิตในลักษณะนี้ เพื่อที่จะได้ปกครองได้ง่าย ... ประชาชนจะได้ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพัฒนามากจนเกินความจำเป็น มิฉะนั้นจะกลายเป็น “ประชากรที่หัวแข็ง”

ระยะเวลารวม 18 ปี ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เคยเป็นรัฐบาลดูแลประเทศนี้ ไม่เคยมีผลงานที่เป็นรูปธรรมเพื่อการพัฒนาประเทศและประชาชน ให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างชัดเจน หรือจริงจัง

แต่สิ่งที่ผ่านมาตลอดระยะเวลาดังกล่าว หน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์มีเพียงการ เพียรพยายามทำลายศัตรูทางการเมือง จนล้มหายตายจากไปจากประเทศไทยมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ท่านปรีดี พนมยงค์, จำลอง ศรีเมือง เป็นตัวอย่างผลงานที่ชัดเจน และไม่สามารถลบออกไปจากประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ได้

รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยมีผลงานที่เป็นรูปธรรมให้จดจำในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศไทย แต่ตรงกันข้าม ความจดจำในเรื่อง “สปก. 4-01, เงินกู้มิยาซาวา, ทุจริตการค้ายาง” เหล่านี้ กลับเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่สามารถลบเลือนไปจากพรรคประชาธิปัตย์ได้เลย...

ปฏิเสธไม่ได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการสนับสนุนอย่างออกหน้าออกตา จากกลุ่มเผด็จการอมาตย์ ที่จะให้เข้ามามีอำนาจรัฐ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีศักยภาพพอในการนำพาประเทศไปสู่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และความขัดแย้งของชาติในขณะนี้ได้

แต่ทำไมเหล่าเผด็จการอมาตย์ จึงพยายามทุึกวิถีทาง ที่่จะให้พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมามีอำนาจให้ได้ น่าจะมีคำถามที่ชวนให้นำมาพิจารณากันว่า “ทำไมต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์” หรือเผด็จการอมาตย์ ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ “ทำอะไรกับประเทศนี้”

ประเด็นอยู่ที่ว่า เผด็จการอมาตย์ที่ครอบครองอำนาจอยู่ในประเทศนี้ ไม่่ต้องการให้ประชาชนได้ลืมตาอ้าปากได้มากเกินไปกว่าที่ควรจะเป็น, ไม่ต้องการให้มีความรู้สูงจนเกินไป, นโยบายขายฝันตามแนวคิดเชิง “อุดมคติ” จึงได้ถูกสร้ัางภาพให้ปรากฏขึ้นในประเทศนี้

สังคมอุดมคตินั้น เป็นสังคมที่ถูกวาดภาพให้สอดคล้องกับความเชื่อพื้นฐานของคนไทย ในเรื่องของ อาณาจักรยูโธเปีย หรือยุคศรีอารยะ แบบประเภทไม่ต้องทำงานทุกคนก็มีกิน สังคมมีแต่ความเท่าเทียมกัน ซึ่งไม่มีอยู่จริงในโลกปัจจุับัน

สิ่งเหล่านี้ เป็นกลยุทธที่แยบยล ที่ได้หลอกลวงคนไทยทั้งชาติมาหลายสิบปี เป็นแนวคิดที่ต่อต้านหรือตรงข้ามอย่างรุนแรง กับกระแสการแข่งขันในโลกแห่งความเป็นจริงในสังคมปัจจุบัน

พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคที่ตอบสนองความต้องการของเผด็จการอมาตย์ได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยการปกครองประเทศในรูปแบบที่ไม่ต้องให้มีการพัฒนาใดๆ ในเชิงคุณภาพของประชาชน นอกจากทำลายคู่ต่อสู้ หรือผู้ที่จะขึ้นมาแย่งอำนาจทางการเมืองเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ พี่น้องชาวไทยจึงมองเห็นได้ถึงความเจ้าเล่ห์, หลอกลวง, คดโกง, ทรยศหักหลัง, หรือสิ่งอื่นใดก็ตาม เท่าที่จะทำได้ ขอเพียงให้มีอำนาจขึ้นมาเท่านั้น

คำสัญญาที่พรรคประชาธิปัตย์ เคยให้เอาไว้กับประชาชนในสมัยรณรงค์หาเสียงก่อนการเลือกตั้ง กลายเป็นลมปากที่พูดไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามก็ได้ แล้วก็คอยแต่ประดิษฐ์ถ้อยคำที่ดูดีออกมาแก้ตัว เพื่อให้ดูน่าสงสาร, น่าเห็นใจ

แต่ผลสรุปก็คือ “ไม่ทำตามคำพูดที่เคยสัญญาเอาไว้นั่นเอง”

ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า แนวทางการปฏิบัติของพรรคประชาธิปัตย์ สอดรับการแนวนโยบายของเผด็จการอมาตย์ ที่ไม่ต้องการให้ประเทศมีการพัฒนาก้าวหน้าไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลก หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เผด็จการอมาตย์เป็นผู้ออกแบบพิมพ์เขียว และพรรคประชาธิปัตย์ ก็นำเอาพิมพ์เขียวนั้นมากระทำให้เป็นความจริง โดยที่ไม่สนใจเลยว่า ประชาชนในชาติกว่า 60 ล้านคนจะมีชีวิต และความเป็นอยู่อย่างไร หรือต้องผจญกับความทุกข์ยาก ที่เกิดจากการต้องแข่งขันกับประเทศต่างๆ ในโลกนี้อย่างไรบ้าง ขอเพียงให้ยังคงครองอำนาจ อยู่เหนือประชาชนต่อไปได้ ก็พอ โดยไม่สนใจว่า จะใช้วิธีใดก็ตาม

เมื่อฉายภาพออกมา และดูกันให้เห็นอย่างชัดๆ แล้ว เผด็จการอมาตย์มิได้ “รักและห่วงใย” ประชาชนในประเทศนี้อย่างจริงใจ เหมือนดังที่พยายามสร้างภาพให้ปรากฏออกมาให้เห็นในทุกๆ สื่อเลยแม้แต่น้อย แต่กลับใช้ความ ”รักและความศรัทธา” ที่ประชาชนมีให้นั้น กอบโกยและหาประโยชน์แก่ตนเอง, วงศ์ตระกูล, และพวกพ้อง โดยปล่อยให้ประชาชนทั่วทั้งแผ่นดิน ต้องดิ้นรน ต่อสู้อุปสรรคชีวิตด้วยตนเอง ซึ่งอาจจะหยิบยื่นเศษความช่วยเหลือ หรือผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ มาให้ แล้วก็ยกขึ้นมากล่าวอ้างเป็นบุญคุณต่อประชาชน อย่างใหญ่โตเกินความเป็นจริง

ด้วยเหตุนี้เหตุผลเดียว ที่เผด็จการอมาตย์ต้องการพรรคประชาธิปัตย์ และจะต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ในการปกครองประเทศ มิใช่เพราะพรรคประชาธิปัตย์สามารถบริหารประเทศเก่งกาจ และจะนำพาให้ประชาชนมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้

แต่ตรงข้าม ประชาธิปัตย์จะสามารถบริหารประเทศ ให้ประชาชน “ยากจนและไร้ความหวัง” ได้อย่างสิ้นเชิงต่างหาก และที่สำคัญประชาธิปัตย์สามารถกระทำเรื่องดังกล่าวได้เป็นอย่างดีเสียด้วย

รัฐบาลประชาธิปัตย์ก่อนหน้านี้ ก็ทำให้ประเทศไทย ต้องเป็นหนี้มหาศาล ด้วยการต้องเข้าโครงการเงินกู้ของกองทุน IMF และปล่อยให้รัฐบาลต่อมา ต้องวิ่งหาเงินมาใ้ช้หนี้

ทำนองเดียวกัน เมื่อมาถึงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยุคปัจจุบัน ก็ยังคงเป็นไปในแนวทางเดิม ประเทศชาติกำลังเป็นหนี้สินเพิ่มมากขึ้นมหาศาล โดยไม่เคยได้ยินแม้แต่ครั้งเดียวว่า รัฐบาลจะมีแนวนโยบายอย่างใด ในการหาเงินเข้าประเทศอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อจะชดใช้หนี้สินที่ก่อขึ้น

ประชาชนในประเทศนี้ คงไม่อาจจะหวังสิ่งใดได้ จากการปกครองของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปฏิบัติตามพิมพ์เขียวของเผด็จการอมาตย์ ที่คอยทำลายประชาชนในชาติอยู่เช่นนี้

ภาพที่เห็นในการบริหารทุกวันนี้ ไม่ใช่ภาพของการร่วมมือกัน เพื่อแก้ไขวิกฤติชาติ แต่กลับเป็นภาพเหมือนอะไรบางอย่างที่ รุมแย่งชิงเหยื่อก้อนใหญ่ ที่ล้มอยู่กลางท้องทุ่ง โดยมีนายพรานถือปืนที่ยิงเหยื่อจนล้มคว่ำนั้น คอยดูแลความปลอดภัยให้ เหยื่อนั้นก็คือ “ประชาชนไทยทั้งชาตินั่นเอง”

น่าสงสารและน่าเห็นใจอย่างยิ่ง

เวลานี้ เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ที่จะต้องเปิดโปงความเลวร้ายของเผด็จการอมาตย์ และกลยุทธในการทำลายชาติของพวกเขา ต้องให้คนไทยทั้งชาติเข้าใจ และมองเห็นถึงความชั่วร้ัายอย่างที่สุด ของระบอบเผด็จการอมาตย์ และพวกแนวร่วมของพวกเขาทุกๆ กลุ่ม

เพื่อในที่สุึดแล้ว พวกเิขาจะต้องไม่มีที่ยืนอยู่ในประเทศนี้อีกต่อไป

คงมีสักวัน ที่พวกเราคนไทยทั้งชาติ จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

“เผด็จการจงพินาศ อมาตย์จงออกไป”