WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, June 6, 2009

เงินปริศนา 46 ล้านในบัญชีเครือญาติ"บิ๊ก"สตง...

ที่มา Thai E-News

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
ที่มา เวบไซต์ มติชนออนไลน์
6 พฤษภาคม 2552

ข้ออ้างประการหนึ่ง เกี่ยวกับความล้มเหลวหรือความไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน ขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ อย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน คือ ถูกผู้มีอำนาจทางการเมืองแทรกแซง

แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว การออกแบบโครงสร้าง วิธีการทำงาน และบุคคลากรขององค์กรอิสระเอง เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ก่อให้เกิดความล้มเหลวดังกล่าว อาทิ

หนึ่ง การออกแบบให้องค์กรอิสระ มีอำนาจรวมศูนย์ เช่น ป.ป.ช. มีปริมาณคดีที่ต้องไต่สวน และตรวจสอบทรัพย์สินผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ มีจำนวนมหาศาลกว่า 20,000 คดี ในช่วง10 ปีที่ผ่านมา แต่สามารถชี้มูลความผิดไปได้ 4-5% เท่านั้น แม้จะมีการส่งคดีให้พนักงานสอบสวนไปดำเนินการ แต่ก็เกิดปัญหาตามมามากมาย จนคดีหมดอายุความ บางคดีเรื่องค้างนานกว่า 10 ปี

ขณะที่ กกต. ต้องจัดการและวินิจฉัยคดีเลือกตั้งทุกระดับ หลายหมื่นคดี จนคดีค้างจำนวนมหาศาล แค่คดีที่ยกคำร้องมีค้างกว่า 1,000 สำนวน มานานหลายเดือน

หรือสำนักงานตำรวจเงินแผ่นดิน ต้องตรวจบัญชีหน่วยรับตรวจ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐทั้งหมด โดยไม่มึการกระจายไปให้เอกชน (ที่ได้รับอนุญาต) แบ่งเบาภาระ ทำให้ผลการตรวจสอบไม่ทันสมัย

สอง เจ้าหน้าที่ซึ่งโอนมาจากหน่วยงานต่างๆ ไม่มีคุณภาพ เช่น กกต. เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนส่วนใหญ่โอนมาจากตำรวจ และกระทรวงมหาดไทย ที่ไม่มีความก้าวหน้าในหน่วยงานเดิม ผลก็คือ สำนวนสอบสวนไม่มีคุณภาพ สำนวนอ่อน ทำให้ศาลยกคำร้องของ กกต. กว่าร้อยละ 60

นอกจากนั้น ยังมีปัญหาในการขายสำนวน หรือเตะถ่วงส่งสำนวนที่ กกต. มีมติให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) และให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) ในการเลือกตั้งท้องถิ่น ให้กับศาลอุทธรณ์ ช้าประมาณ 6 เดือน (มีค้างอยู่ประมาณ 70-80 สำนวน) เพื่อให้นักการเมืองท้องถิ่น อยู่ในเก้าอี้นานขึ้น และมีข่าวว่า ไปเรียกเงินค่าดึงเรื่องสำนวนละ 1-2 แสนบาท

เช่นเดียวกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่บุคคลากรจำนวนหนึ่ง ไม่มีความสามารถในการไต่สวน และทำสำนวน การทำงานไม่มีระบบ ทำให้คดีล่าช้าและค้างจำนวนมาก

สาม การทำงานไม่โปร่งใส ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอ ขาดการตรวจสอบจากสาธารณะ และจากองค์กรอื่น ระบบสารสนเทศล้าหลัง

ด้วยปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผู้บริหารองค์กรอิสระบางคน ที่คิดว่า ตนเองมีอำนาจมาก จึงบิดเบือนการใช้อำนาจ และอาจถึงขั้นใช้อำนาจที่มีอยู่แ สวงหาผลประโยชน์

เร็วๆ นี้ ได้รับเอกสารหลักฐาน ที่เกี่ยวพันกับผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่ง ใน สตง. ได้ใช้เวลาพิจารณาและตรวจสอบข้อมูลอยู่ระยะหนึ่ง คิดว่า เป็นเอกสารหลักฐานที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ป.ป.ช. น่าจะเข้าไปตรวจสอบโดยเร็ว

เอกสารหลักฐานที่ว่า เป็นรายการบัญชีเงินฝากของเจ้าหน้าที่หญิงในรัฐวิสาหกิจใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งทำธุรกิจด้านพลังงาน มีฐานะเป็น"สะใภ้"ของผู้บริหารระดับสูงของ สตง.

รายการบัญชีเงินฝาก (ประจำ) ดังกล่าว มีการนำเงินมาฝาก เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2549 เป็นจำนวน 20 ล้านบาท (หลังการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ไม่นาน)

ต่อมา เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2549 ( อีกประมาณ 1 เดือน) มีการนำเงินมาฝากอีก 26 ล้านบาท รวมสองครั้ง เป็นเงิน 46 ล้านบาท

ต่อมา ในวันที่ 14 ธันวาคม 2549 (ประมาณครึ่งเดือน) มีการถอนเงิน 26 ล้าน ออกจากบัญชีนี้ โดยแบ่งส่วนหนึ่ง จำนวน 11 ล้านบาท ไปฝากบัญชีออมทรัพย์ของตนเองอีกบัญชี ในวันเดียวกัน แต่ไม่รู้ว่า อีก 15 ล้านบาท นำไปใช้ หรือเข้าบัญชีใด

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 22 ธันวาคม 2549 น้องสาว 2 คน และบุตรชายของผู้บริหารระดับสูงใน สตง. ได้ซื้อที่ดิน 3 แปลงๆ ละ 1 ไร่เศษ ย่านปากเกร็ด ในราคาเพียงไร่ละ 2 ล้านบาทเศษ รวม 6 ล้านบาทเศษ ทั้งๆ ที่ราคาประเมินไร่ละไม่น่าจะต่ำกว่า 8 ล้านบาท หรือรวมกว่า 24 ล้านบาท

ที่สำคัญ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินทั้ง 3 แปลง ทำกัน ณ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ทำให้สงสัยว่า ที่ดินทั้ง 3 แแปลง เป็นของผู้บริหารระดับสูงใน สตง. หรือของน้องสาวทั้ง 2 คน กันแน่

ประเด็นคือ ทั้งสองเหตุการณ์ คือ เงินฝากจำนวน 46 ล้านบาท ในบัญชีเงินฝากของ"สะใภ้" กับการซื้อที่ดิน 3 แปลง ของน้องสาว และบุตรชาย ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับการถอนเงิน 26 ล้านบาท เกี่ยวพันกันหรือไม่

ใครจะเป็นผู้ไขปริศนาเงินร้อนๆ 46 ล้านบาทก้อนนี้ ??? ต้องติดตามกันต่อไป