WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, October 7, 2009

ลงทุนมองไม่เห็นฝั่ง

ที่มา บางกอกทูเดย์

ต้องยอมรับว่าบรรยากาศการลงทุนในเมืองไทยยามนี้เหมือนกับเรือน้อยที่ลอยอยู่กลางทะเลมองไม่เห็นฝั่ง นอกจากแสงอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้าการที่ศาลปกครองประกาศชะลอ 76 โครงการในมาบตาพุดเนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา 67วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ 2550 ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง เป็นเรื่องที่สร้างความสับสนต่อนักลงทุนอย่างมากเนื่องจากโครงการส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดใหญ่ มีระบบบริหารจัดการที่ดีเยี่ยม ผ่านมากระบวนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Analysis : EIA)ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม และได้รับการตีความจากคณะกฤษฎีกาแล้วว่าสามารถออกใบอนุญาตให้ประกอบการได้ แต่เมื่อมาเจอคำสั่งศาลให้ชะลอการลงทุนเช่นนี้ จึงเป็นเหตุให้เกิดความงงงวยกันถ้วนหน้าว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยแม้คำสั่งศาลจะเป็นเพียงการชะลอโครงการ ไม่ใช่ห้ามการลงทุน หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชุมชนในภายหลัง โครงการดังกล่าวก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้แต่ก็ต้องยอมรับว่ากระทบต่อบรรยากาศการลงทุนของไทยอย่างรุนแรงโดยเฉพาะความรู้สึกในเชิงจิตวิทยาแม้นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จะออกมากล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการโรดโชว์ของสำนักงานคณะ

กรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ เพราะการโรดโชว์ได้ทำภายใต้ยุทธศาสตร์เชิงรุกตามนโยบายปีแห่งการลงทุนของรัฐบาล ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีประเทศไหนคาดคิด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านักลงทุนหลายรายต่างหยุดรอประเมินสถานการณ์จากเหตุการณ์ครั้งนี้อีกพอสมควร“สันติ วิลาสศักดานนท์” ประธานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กังวลว่าหลายรายจะหอบโครงการไปลงทุนในประเทศอื่นที่เป็นคู่แข่งของไทยอย่างเวียดนาม มาเลเซีย หรือจีน แทนเพราะฉะนั้นการที่รัฐบาลวาดหวังว่าจะมีผู้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนทะลุ 6 แสนล้านบาทในปีนี้นั้น ลืมไปได้เลย หรือแม้กระทั่งทำให้ได้ 4.5 แสนล้านบาทก็ยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่าซึ่งต้องยอมรับว่ากรณที่เกิดขึ้นนี้หากไม่ใช่อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ต้องบอกว่ามีแต่ “พัง” กับ “พัง” เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความอ่อนหัดของรัฐบาลในการสร้างความเชื่อมั่นด้านการลงทุนถ้าจะให้นํ้าหนักกับสิ่งแวดล้อมก็ต้องปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมให้เป็นอุตสาหกรรมการเกษตร แทนที่จะเน้นอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้กระทั่งการสร้างโรงงานถลุงเหล็กต้นนํ้า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็ต้องเคลียร์กันใหม่ไม่อย่างนั้นสร้างเสร็จแล้วเตรียมเดินหน้า โดนชุมชนต่อต้านอาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญอีกกระทง 