WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, October 16, 2009

คำถาม – คำตอบเกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญ

ที่มา thaifreenews

จาตุรนต์ ฉายแสง

การแก้รัฐธรรมนูญยังเป็นกระแสการเมือง กระแสข่าวอย่างต่อเนื่อง "จาตุรนต์ ฉายแสง" ได้ติดตามและเสนอความเห็นต่อเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มาโอกาสนี้ ขออธิบายท่าทีตนเองอย่างครบถ้วนต่อการแก้รัฐธรรมนูญ เป็นคำถาม - คำตอบที่ชัดแจ้ง ตรงไปตรงมา เสนอต่อรัฐบาล พรรคร่วม ฝ่ายค้าน สมาชิกรัฐสภา ผู้รักประชาธิปไตย รวมไปถึงประชาชนทั่วไป... เป็นมุมมองทั้งในฐานะนักการเมืองและนักต่อสู้ประชาธิปไตย ทำไมต้องแก้รัฐธรรมนูญ.

คำถาม – คำตอบเกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญ

ที่มา www.idsthailand.org/index.php/2009-03-06-08-05-14/10-2009-03-13-07-45-11/184-2009-10-08-07-47-55

เห็นอย่างไรเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นที่เป็นข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ

ข้อเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น เป็นข้อเสนอที่ดีควรสนับสนุน คณะกรรมการสมานฉันท์ฯเข้าใจวิกฤตการเมืองไทยดีพอสมควรและเสนอได้ค่อนข้างตรงจุด คือเสนอทางออกเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะสั้นให้แก้ 6 ประเด็นนี้ แล้วให้ยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปกันใหม่ ระยะยาวให้ตั้ง สสร. เพื่อแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ

6 ประเด็นที่เสนอคืออะไร
1) แก้ไขมาตรา 111 - 121 โดยให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
2) แก้ไขมาตรา 237 โดยให้ตัดทิ้งประเด็นการยุบพรรคการเมือง และให้ลงโทษกรรมการบริหารพรรคที่ทุจริตการเลือกตั้งเฉพาะคน ไม่ใช่เหมารวม
3) แก้ไขมาตรา 190 โดยยังคงให้การทำสัญญากับต่างประเทศต้องผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภา แต่ให้กำหนดประเภทของหนังสือสัญญาให้ชัดเจนว่าแบบไหนที่ต้องให้รัฐสภาเห็นชอบ
4) แก้ไขมาตรา 93 - 98 โดยการเลือกตั้ง ส.ส.ให้กลับไปใช้ระบบเขตเดียวคนเดียว (รวมจำนวน ส.ส.เขต 400 คน) และ ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก 100 คน
5) แก้ไขมาตรา 266 โดยให้ ส.ส. และ ส.ว. เข้าไปมีบทบาทต่อการบริหารงานของข้าราชการประจำ และงบประมาณในโครงการต่างๆของรัฐ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้
6) แก้ไขมาตรา 265 โดยให้ ส.ส. ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่น เลขานุการรัฐมนตรีได้

จะเห็นว่าใน 6 ประเด็นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่จำเป็น เช่น มาตรา 190 ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐบาลในด้านการต่างประเทศ มาตรา 190 นี้เมื่อตีความโดยศาลรัฐธรรมนูญมาแล้วในกรณีแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับประสาทเขาพระวิหาร ก็ยิ่งทำให้มีเนื้อหาที่เป็นปัญหาเข้าไปใหญ่ จึงต้องรีบแก้

นอกจากนั้นเป็นเรื่องเตรียมการสำหรับการเลือกตั้ง ส่วนหนึ่งคือจะแบ่งเขตกันอย่างไร ข้อเสนอให้เป็นเขตเดียว คนเดียว และระบบสัดส่วนให้มีบัญชีเดียวทั้งประเทศ ก็เป็นข้อเสนอที่เท่ากับย้อนไปใช้ระบบเหมือนในรัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งดีกว่า เป็นสากลกว่า

เมื่อจะเลือกตั้งกันใหม่คณะกรรมการสมานฉันท์ฯก็เสนอว่าให้กำหนดอำนาจหน้าที่ของ สส.เสียใหม่ด้วย เพราะรัฐธรรมนูญปัจจุบันไปจำกัดอำนาจหน้าที่ของสส. จนทำหน้าที่ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนแทบไม่ได้ การให้สส. เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีได้ แต่กลับไม่ให้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีหรือที่ปรึกษารัฐมนตรี เป็นความลักลั่น ไม่เป็นเหตุเป็นผล แต่ที่เป็นอุปสรรคสำคัญคือ การห้ามไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำงานของข้าราชการประจำเพื่อประโยชน์ของ“ผู้อื่น” ซึ่งสามารถตีความได้ว่า สส.จะไปร้องทุกข์ ร้องเรียน ติดตามตรวจสอบงานของข้าราชการประจำเพื่อ “ประชาชน” ก็ไม่ได้

ประเด็นที่สำคัญที่สุดใน 6 ข้อที่เกี่ยวกับการจะทำให้การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นเป็นที่ยอมรับกันได้ก็คือ ประเด็นเรื่องการยุบพรรคการเมือง ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้ยุบพรรคการเมืองทั้งพรรค และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคทุกคนเป็นเวลา 5 ปี จากสาเหตุที่กรรมการบริหารคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวกระทำความผิด รู้เห็นเป็นใจ หรือปล่อยปละละเลยให้เกิดการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เป็นการผิดหลักนิติธรรม คือคนคนเดียวทำผิดต้องรับผิดชอบทั้งหมู่คณะ เหมือนกฎหมายประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตรในสมัยโบราณ

ที่ว่าจำเป็นต้องแก้เพื่อให้การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นพอเป็นที่ยอมรับกันได้ ก็เพราะที่ผ่านมามีการยุบพรรคการเมืองหลายพรรค ซึ่งนอกจากขัดต่อหลักนิติธรรมแล้ว ยังเป็นเรื่องที่คนจำนวนมากเขาเห็นว่าเป็นเรื่องสองมาตรฐาน และยังขัดต่อหลักประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง ที่องค์กรที่ไม่เชื่อมโยงกับประชาชนเลยคือ กกต.และศาลรัฐธรรมนูญ สามารถยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคการเมือง มีผลกระทบต่อพรรคการเมือง ซึ่งรวมถึงสมาชิกพรรคการเมืองล้านๆคน และยังมีผลเป็นการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนนับสิบล้านได้ด้วย


มีข้อกล่าวหาว่าเป็นการแก้เพื่อนักการเมือง ประชาชนไม่ได้อะไร

ประชาชนได้อะไรหรือไม่ คงไม่ได้ดูที่การแก้นี้เกี่ยวกับการกำหนดให้แบ่งที่ดินให้ประชาชนคนละกี่ไร่ หรือให้เพิ่มเบี้ยยังชีพคนละกี่บาท เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ควรอยู่ในรัฐธรรมนูญ ประชาชนจะได้ประโยชน์จากการแก้รัฐธรรมนูญก็คือ ทำให้รัฐบาลทำงานได้มากขึ้น (ถ้าจะทำ) สส.ทำหน้าที่ของตนเองได้มากขึ้น ต้องใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น ทำให้การเลือกตั้งเป็นธรรมมากขึ้น อำนาจกลับมาเป็นของประชาชนมากขึ้น
และที่สำคัญที่สุด การรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นนี้จะช่วยผ่อนคลายวิกฤตทางการเมือง ทำให้ทุกฝ่ายสามารถแก้ปัญหาประเทศได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งประเทศอย่างมาก


มีการวิจารณ์ว่ามาตรา 237 นี้มีไว้เพื่อป้องกันการซื้อเสียง

การจะป้องกันคนทำผิดกฎหมายก็ต้องมีการลงโทษคนที่กระทำผิดอย่างเหมาะสม แต่การลงโทษคนที่ไม่ได้กระทำผิดจำนวนมากไปด้วย นอกจากขัดหลักนิติธรรมแล้วยังไม่ได้ช่วยป้องกันการกระทำผิดอะไรเลย เมื่อใดที่คนรู้สึกว่าทำผิดหรือไม่ทำผิดก็จะถูกลงโทษเหมือนกัน เมื่อนั้นก็คือกฎหมายไม่เป็นกฎหมาย ทำดีหรือทำไม่ดีก็ได้ผลไม่ต่างกัน ก็เท่ากับกำลังทำลายกฎหมายนั้นเอง


เขาว่าต้องการให้กรรมการบริหารพรรคต้องช่วยกันรับผิดชอบดูแลไม่ให้เกิดการทำผิดกฎหมาย

ดูแลก็ควรจะดู และช่วยกันได้บ้าง แต่จะให้มีผลถึงขั้นที่แต่ละคนต้องดูแลไม่ให้คนอื่นทุกคนไปทำผิดกฎหมายเลยย่อมเป็นไปไม่ได้ ในครอบครัวหนึ่งๆก็ยังยาก คนหนึ่งทำผิดแล้วก็จะลงโทษทุกคนจึงผิดหลักอย่างร้ายแรง ความรับผิดชอบที่องค์กรจะต้องมีเมื่อคนในองค์กรไปทำอะไรผิดก็ควรมี คนของบริษัทไปทำอะไรให้ใครเสียหายบริษัทก็อาจต้องตามไปชดใช้ แต่เขาก็ไม่ได้ถึงขั้นยุบบริษัททั้งบริษัท และห้ามกรรมการบริษัททุกคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยไปทำมาหากินอะไรไม่ได้อีกเลย เพราะถ้าทำอย่างนั้นย่อมไม่ยุติธรรมต่อกรรมการที่ไม่เกี่ยวข้องและต่อทุกคนในบริษัทที่ต้องเสียหายไปด้วย

40 สว.ขู่ว่าจะยื่นถอดถอน สส.และ สว.ที่ลงชื่อสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญด้วยเหตุผลเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน

เป็นความคิดและการกระทำที่ล้าหลังมาก ที่เขาเสนออยู่นั้นเท่ากับบอกว่า รัฐธรรมนูญนี้แก้อะไรไม่ได้เลยนั่นเอง
รัฐธรรมนูญของประเทศไหนก็ต้องว่าด้วยเรื่องรัฐบาลและรัฐสภาเป็นสาระสำคัญอยู่ในนั้นด้วย เมื่อจะแก้ก็หนีไม่พ้นต้องแก้เรื่องเหล่านี้ คำถามคือจะให้ใครแก้ รัฐธรรมนูญก็บัญญัติไว้ว่าให้รัฐสภาแก้ เพราะเป็นผู้แทนปวงชน ก็คือ เขากำหนดให้แล้วว่าเรื่องของรัฐบาลหรือรัฐสภาก็ให้รัฐสภานั่นแหละเป็นผู้แก้ ก็เท่ากับให้สมาชิกรัฐสภาเป็นผู้แก้รัฐธรรมนูญในเรื่องของตัวเอง ไม่ให้คนอื่นมาแก้
แต่ถ้าบอกว่าเรื่องของรัฐบาล ห้ามสส.รัฐบาลแก้ เรื่องของรัฐสภา ห้ามสมาชิกรัฐสภาแก้ ก็เท่ากับห้ามแก้นั่นเอง
แล้วเขายอมให้ใครร่างรัฐธรรมนูญ คนที่คิดอย่าง 40 สว. เขาเคยชินกับการที่คณะรัฐประหารตั้งคนมาเขียนรัฐธรรมนูญ แต่คนที่มาจากประชาชน เขาไม่ให้แก้ ไม่ให้เขียน


เรื่องถอดถอนจะมีผลไหม

ความจริงต้องถือว่าไร้สาระ เพราะถ้าถอดถอนด้วยเหตุนี้ได้ก็เท่ากับสรุปหรือตีความว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้แก้ไม่ได้แล้ว ก็คือ รักษาสิ่งที่คมช.ทำไว้ตลอดไป
แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ทำครัวออกทีวียังถูกถอดถอนได้ เรื่องนี้ก็อาจเป็นเรื่องได้ แต่สมาชิกรัฐสภาต้องไม่กลัว ถ้ากลัวก็เท่ากับยอมรับว่าต้องอยู่ใต้อำนาจเผด็จการ ยอมรับระบบเผด็จการนั่นเอง


ทำไมจึงบอกว่าที่แก้ 6 ประเด็นเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง ทำไมต้องเลือกตั้ง

คณะกรรมการสมานฉันท์ฯคงจับประเด็นได้ว่าสังคมมีความเห็นต่างกันมากในเรื่องความชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรมของรัฐบาลปัจจุบัน จึงควรยุบสภาแล้วให้มีการเลือกตั้งใหม่ที่คนยอมรับกันได้ จะได้มีรัฐบาลที่เป็นที่ยอมรับ ก็จะแก้ปัญหาความยัดแย้งที่เกิดจากความไม่พอใจรัฐบาลไปได้ส่วนหนึ่ง
ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2550 ประชาชนไม่ได้เลือกพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล เขาเลือกพรรคพลังประชาชน แต่รัฐบาลพรรคพลังประชาชนถูกล้มด้วยการเคลื่อนไหวกดดันของกลุ่มพันธมิตรฯและการจัดการของกลไกในรัฐธรรมนูญปัจจุบัน แล้วจึงได้รัฐบาลปัจจุบันมา ก็มีคนจำนวนมากเห็นว่ารัฐบาลนี้มาโดยไม่ชอบธรรม จึงมีแรงต่อต้านค่อนข้างมาก และจากที่มาของรัฐบาลนี้เองก็ทำให้รัฐบาลนี้อยู่ในสภาพที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว จึงควรยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ให้ประชาชนตัดสินกันอีกรอบ
แต่ก็ติดปัญหาว่าถ้ารัฐธรรมนูญยังไม่ได้แก้เลย เลือกตั้งมาก็อีหรอบเดิม คือถ้าพรรคเพื่อไทยชนะ ก็คงโดนยุบได้ง่ายๆอีก เรื่องก็ไม่จบ ถ้าไม่แก้รัฐธรรมให้เป็นธรรมพอสมควรเสียก่อน การยุบสภาให้มีการเลือกตั้งจะไม่เป็นการคืนอำนาจให้ประชาชน เพราะอำนาจในการกำหนดว่าใครเป็นรัฐบาลยังอยู่ที่กกต.และศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญให้อำนาจเกี่ยวกับการยุบพรรคไว้


แก้แล้วยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แล้วปัญหาจะหมดไปหรือ

แก้แล้วยุบสภาเลือกตั้งใหม่จะช่วยแก้ปัญหาการที่รัฐบาลไม่เป็นที่ยอมรับและถูกต่อต้านไปได้มากพอสมควร ใครมาเป็นรัฐบาลอาจยังมีแรงต่อต้านอีกก็ได้ แต่สังคมส่วนใหญ่คงไม่ร่วมด้วย เพราะถือว่าประชาชนตัดสินมาแล้ว
แต่ปัญหายังไม่หมดแน่ ปัญหาการเมืองยังมีอีกมาก เนื่องจากกติกาที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่เป็นธรรม เพราะฉะนั้นยังจะต้องแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับกันอีก


แก้เล็ก 6 ประเด็นนี้จะสำเร็จหรือ รัฐบาลมีทีท่าว่าอยากแก้เพียง 2 ประเด็น และยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะทำประชามติในขั้นตอนไหน

ก็ขึ้นกับแรงผลักดันของสังคม จากโพลล์สำนักต่างๆดูเหมือนประชาชนจะสนับสนุนให้แก้รัฐธรรมนูญ แต่ถ้าไม่มีแรงผลักดันจริงจังก็อาจไม่ได้แก้ เพราะรัฐบาลดูจะไม่ค่อยอยากแก้ หรืออย่างมากก็จะแก้แค่ 2 ประเด็น แกนนำจากพรรคประชาธิปัตย์ ระดับอดีตหัวหน้าพรรค 2 คน ไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ สส.พรรคประชาธิปัตย์ส่วนใหญ่ซึ่งอภิปรายในที่ประชุมรัฐสภา ก็คัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลหารือกัน ก็เห็นชอบร่วมกันแค่ 2 ประเด็น คือมาตรา 190 และเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับวิกฤตความขัดแย้งที่มีอยู่เลย เป็นเพียงการแก้ปัญหาและอุปสรรคการทำงานของรัฐบาล กับแก้ปัญหาการที่พรรคการเมืองเล็กๆที่คิดว่าเสียเปรียบพรรคใหญ่
ถ้าแก้แค่ 2 ประเด็น จะไม่ช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้เลย ไม่ตรงกับข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ


หลังสุดพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดหารือกันว่าจะแก้ 6 ประเด็น โดยแยกเป็น 6 ร่าง และจะให้รัฐสภารับหลักการก่อน แล้วจึงไปทำประชามติ

ยังน่าสับสนอยู่ว่าจะทำอย่างไรแน่ ความคิดที่จะแยกเป็น 6 ร่างแล้วพิจารณาทีละร่าง ก็คือรัฐบาลจะแก้ 2 ประเด็นนั่นเอง เพราะถึงเวลาลงมติ พรรคร่วมรัฐบาลก็จะสนับสนุนแค่ 2 ประเด็น ประเด็นอื่นเป็นอันตกหมด นี่คือเล่นละครต้มประชาชน ไม่ได้แก้ปัญหาวิกฤตอะไร


การลงประชามตินั้นมีข้อถกเถียงกันอยู่ว่าจะทำในขั้นตอนไหน จะให้ลงอย่างไร และจะมีผลอย่างไร

มีปัญหาตั้งแต่ว่าถ้าแก้แค่ 6 ประเด็นเท่านั้น จำเป็นต้องลงประชามติหรือไม่ เพราะต้องเสียเวลาและต้องเสียเงินถึง 2,000 ล้าน ยิ่งรัฐบาลคิดจะแก้แค่ 2 ประเด็นแล้วไปลงประชามติยิ่งแย่ใหญ่
ถ้าจะทำประชามติ 6 ประเด็น ก็ยังน้อยไป ควรเพิ่มคำถามด้วยว่าต่อไปควรแก้ทั้งฉบับหรือไม่ และถ้าแก้ทั้งฉบับควรใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 หรือฉบับปี 2550 เป็นหลักดี
ส่วนจะทำในขั้นตอนไหนนั้นคงต้องดูรายละเอียดของกฎหมายประชามติ และต้องเข้าใจก่อนว่าในรัฐธรรมนูญปัจจุบันไม่ได้กำหนดว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะต้องจัดให้มีการลงประชามติเสียก่อน แต่บอกว่าให้รัฐสภาเป็นผู้แก้ ถ้าจะทำประชามติแบบมีผลผูกพันต่อการแก้รัฐธรรมนูญจริงๆ ต้องแก้มาตรา 291 เสียก่อน โดยระบุขั้นตอนการแก้รัฐธรรมนูญเสียใหม่ว่าต้องมีการทำประชามติในขั้นตอนสุดท้ายด้วย
ถ้าไม่ได้แก้มาตรา 291 แต่ทำประชามติ ก็เท่ากับอาศัยกฎหมายประชามติอย่างเดียว ก็จะเป็นการถามความเห็นประชาชนโดยรัฐบาลเป็นผู้ถาม ถามแล้วรัฐสภาจะเอาตามหรือไม่ก็ได้ ซึ่งก็คาดว่ารัฐสภาคงเอาตาม แต่จะทำประชามติด้วยเหตุผลอะไร เข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมายประชามติหรือไม่ ก็ต้องดูรายละเอียดกัน คงต้องให้เป็นหน้าที่รัฐบาลที่จะชี้แจง


พรรคร่วมรัฐบาลอยากให้รัฐสภารับหลักเสียก่อนแล้วค่อยไปลงประชามติ

ต้องถามว่าจะรับหลักการทั้ง 6 ประเด็นหรือแค่ 2 ประเด็น ดูเหมือนกฤษฎีกาจะเห็นแย้งว่าควรจะทำประชามติเสียก่อน ประธานวุฒิสภาก็มีความเห็นอย่างเดียวกัน ก็ดูจะมีเหตุผลดีกว่าที่รัฐบาลคิด ถ้าให้ประชาชนลงมติตรงกลางทางก็แปลก ไม่ทราบจะไปถามอย่างไร ทางที่ดีก็ถามเสียก่อนเลยว่าจะแก้ 6 ประเด็นนี้ไหม และถามด้วยว่าจะแก้ทั้งฉบับ และใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 หรือฉบับปี 2550


ถามประชาชนทีละประเด็น ?

เรื่องนี้ยังมีปัญหาอยู่ เฉพาะ 6 ประเด็นนี้ จริงๆแล้วควรถามทั้ง 6 ประเด็นว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯหรือไม่ไปเลย ถ้าจะถามทีละประเด็นก็ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่เกรงว่าจะกลายเป็นบรรทัดฐานว่าถ้าจะแก้เรื่องไหนก็ให้ถามเรื่องนั้น ปัญหาคือถ้าแก้ทั้งฉบับล่ะ จะถามอย่างไร ถามทีละประเด็นจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะจะเยอะแยะไปหมด และเนื้อหาในแต่ละเรื่อง แต่ละมาตราก็อาจจะเชื่อมโยงกัน ถ้าแยกถามทีละประเด็นก็จะมีปัญหาว่าได้คำตอบมาแบบขัดแย้งกันเอง เข้ากันไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะทำประชามติ ก็ยังอยากให้ถามแบบรวมไปเลยทั้ง 6 ประเด็นมากกว่า แต่ถ้าจะถามทีละประเด็นให้ได้ ก็ควรจะอธิบายหมายเหตุไว้ให้ชัดเจนว่าเป็นเฉพาะครั้งนี้ ไม่ถือเป็นบรรทัดฐานว่าครั้งต่อไปต้องทำอย่างเดียวกัน


ถ้ารัฐบาลยืนยันจะทำประชามติเป็นรายประเด็น ประชาชนผู้ต้องการประชาธิปไตยจะทำอย่างไร

ถ้ารัฐบาลถามแค่ 2 ประเด็นที่รัฐบาลอยากแก้ ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ปล่อยให้รัฐบาลทำไปตามลำพัง
แต่ถ้าถามทั้ง 6 ประเด็น คิดว่าควรจะช่วยกันรณรงค์ให้ประชาชนเห็นชอบด้วย เพื่อให้แก้สำเร็จทั้ง 6 ประเด็น และควรถือโอกาสรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยของบ้านเมือง และปัญหาของรัฐธรรมนูญทั้งฉบับไปพร้อมๆกัน


พรรคฝ่ายค้านประกาศถอนตัว ไม่ร่วมสังฆกรรมแล้ว

ฟังจากข่าวแล้ว เห็นว่าน่าจะไม่ใช่ท่าทีของพรรคฝ่ายค้าน
ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยประกาศสนับสนุนข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ แต่การทำประชามตินั้น เขาเห็นว่ามีปัญหาข้อกฎหมาย ไม่จำเป็นและสิ้นเปลือง ถ้าจะทำกันจริงๆ เขาก็เสนอว่าให้ถามประชาชนด้วยว่าแก้แล้วจะยุบสภาเลยหรือไม่ และควรแก้ทั้งฉบับหรือไม่ และจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 หรือ 2550 เป็นหลัก
ถ้ารัฐบาลจะแก้เพียง 2 ประเด็นเท่านั้น พรรคฝ่ายค้านไม่ร่วมสังฆกรรมก็สมควร
แต่ถ้าเขาตกลงชัดเจนว่าจะแก้ 6 ประเด็น ผมยังคิดว่าควรร่วมมือ เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้วิกฤต ตามที่ได้เสนอความเห็นไว้แล้ว
ส่วนการลงประชามติ ถ้ารัฐบาลยืนยันจริงๆ ลองนึกภาพดูว่าถ้าพรรคฝ่ายค้านไม่ทำอะไรเลย ผลออกมาก็อาจกลายเป็นว่ามีประชาชนสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญน้อย เลยไม่ได้แก้ เข้าล็อกรัฐบาลพอดี การเมืองก็กลับมาอยู่ที่เดิม คืออยู่ในวิกฤตต่อไป
ถึงเวลาเลือกตั้ง พรรคฝ่ายค้านอาจรณรงค์ว่าจะแก้ทั้งฉบับ และคนอาจสนับสนุนเข้ามามาก แต่เขาก็ยุบพรรคคุณอีก
ถ้ารัฐบาลประกาศว่าตั้งใจจะแก้ทั้ง 6 ประเด็นและยืนยันทำประชามติจริง ก็ยังอยากเห็นพรรคฝ่ายค้านช่วยรณรงค์ให้ประชาชนสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ


ดูเหมือนพรรคเพื่อไทยจะย้ำว่า รัฐบาลไม่จริงใจ

เห็นด้วยว่ารัฐบาลไม่จริงใจ ลองให้รัฐบาลเขาเดินหน้าไป ประชาชนก็จะเห็นว่าเขาไม่จริงใจ แต่ถ้าเขาอยู่ในสภาพการณ์ที่ถูกบังคับให้ต้องแก้ เราก็ไม่ควรปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านไป


ควรยุบสภาเมื่อไหร่ ?

เมื่อแก้รัฐธรรมนูญเสร็จก็ยังต้องแก้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง คือ พรบ.พรรคการเมือง และพรบ.เลือกตั้ง แก้เสร็จแล้วก็ควรยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่
นี่ก็เป็นตามที่นายกรัฐมนตรีเคยแถลงไว้ต่อสภาก่อนที่จะมีการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ


นายกรัฐมนตรีบอกว่าถ้ารัฐธรรมนูญบัญญัติว่าให้ยุบเมื่อไรก็ยุบเมื่อนั้น

นั่นดูเหมือนจะเป็นการพูดแบบหาทางยืดเวลาออกไปให้นานที่สุดเท่านั้นเอง ความจริงไม่จำเป็นต้องไปบัญญัติอะไรในรัฐธรรมนูญว่าต้องยุบสภาเมื่อไร ถ้านายกรัฐมนตรีจำคำพูดตัวเองได้และเห็นแก่บ้านเมือง ยอมรับว่ามีความขัดแย้งเนื่องจากมีความไม่พอใจ ไม่ยอมรับรัฐบาล และรัฐบาลเองก็ทำงานไม่ค่อยได้ แก้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งแล้วก็ควรยุบสภาเสีย อย่างที่ท่านพูดของท่านเองก็พอ


มีการมองว่าถึงอย่างไรรัฐบาลนี้ก็ไม่แก้รัฐธรรมนูญ การแก้รัฐธรรมนูญเป็นเพียงเกมซื้อเวลา เพราะฉะนั้นให้ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน

เขามองอย่างนั้นก็มีเหตุผลอยู่ เพราะดูรัฐบาลไม่ค่อยจริงใจ ตั้งใจที่จะแก้รัฐธรรมนูญเลย มีการแบ่งบทกันเล่น โดยเฉพาะในพรรคประชาธิปัตย์ แถมต่อมายังเสนอว่าจะแก้เพียง 2 ประเด็นบ้าง ให้ใช้เวลา 9 เดือนบ้าง ซ้ำยังบอกว่าแก้แล้วก็อาจไม่จำเป็นต้องยุบสภาอีก จึงยิ่งเห็นได้ชัดว่าที่รัฐบาลต้องการจริงๆคือ ซื้อเวลาให้รัฐบาลอยู่ไปได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
แต่กระแสที่บีบให้รัฐบาลต้องแก้รัฐธรรมนูญก็มีอยู่เหมือนกัน และก็ดูจะแรงขึ้นเรื่อยๆด้วย โดยเฉพาะในเชิงเหตุผลคือ เมื่อเกิดวิกฤตเมื่อครั้งสงกรานต์ มีการอภิปรายกันในสภา ก็ทำให้เห็นเหตุว่า ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือต้องแก้กติกา แล้วก็ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ จะแก้อะไรบ้างให้ตั้งคณะกรรมการขึ้น เขาก็ตั้งแล้ว คณะกรรมการที่สภาตั้งก็เสนอความเห็นมาแล้ว ซึ่งก็มีเหตุผลดีฟังได้ ทั้งหมดก็สอดคล้องกับที่นายกฯรับปากไว้หรือออกปากไว้ มาตอนนี้จะกลับลำหรือพลิ้วไปเรื่อยก็ยากแล้ว เพราะฉะนั้นหากช่วยกันผลักดันจริงๆ รัฐบาลก็คงจำเป็นต้องร่วมมือในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถซื้อเวลาไปเรื่อยๆได้
เวลานี้ดูเหมือนรัฐบาลเองก็ง่อนแง่นเต็มที ไม่รู้จะอยู่ได้นานเท่าใด ดีไม่ดีก็อาจไปก่อนการแก้รัฐธรรมนูญจะเสร็จก็ได้ ชักไม่แน่ใจว่าระหว่างการใช้เรื่องรัฐธรรมนูญมาซื้อเวลาของรัฐบาล กับการที่รัฐบาลจะไปเสียก่อนโดยไม่ทันได้แก้รัฐธรรมนูญ อันไหนน่าเป็นห่วงกว่ากัน แต่สิ่งที่เราพอจะทำได้ก็คือ ต้องเร่งให้มีการแก้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว
ถ้าไม่แก้เสียที ปล่อยให้เนิ่นนานไป แล้วรัฐบาลขัดแย้งกันเอง จนอยู่ไม่ได้ แล้วเลือกตั้งใหม่ ได้รัฐบาลมาก็ถูกล้มด้วยการยุบพรรคอีก ก็เท่ากับยืดเวลาในการมีความขัดแย้งให้ยาวออกไปอีกเท่านั้นเอง
การยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่นั้น หากยังไม่มีการแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นธรรมขึ้นพอสมควร จะไม่เป็นการคืนอำนาจให้ประชาชน เพราะเลือกมาแล้ว เขาก็ยุบพรรคการเมือง ล้มรัฐบาลที่ไม่ขึ้นกับเขาได้อีกอยู่ดี
ที่พูดนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะคัดค้านการเคลื่อนไหวที่ต่อต้านรัฐบาล เพราะก็เข้าใจดีว่ามีคนไม่ยอมรับรัฐบาลนี้มากเหมือนกัน และเขาก็มีสิทธิ์ที่จะต่อต้านรัฐบาลนี้ แต่ขณะเดียวกันก็คิดว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ต่อต้านรัฐบาลนี้หรือไม่ก็ตาม ควรจะต้องร่วมกันผลักดันให้แก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย และเมื่อสถานการณ์เป็นอย่างปัจจุบัน คือรัฐบาลไม่ต้องการยุบสภา แต่ต้องการอยู่ให้นานที่สุด แต่ก็ไม่มั่นคง จะไปมิไปแหล่ ระหว่างที่รัฐบาลนี้ยังอยู่ เราก็ควรเรียกร้องให้รัฐบาลนี้ร่วมแก้รัฐธรรมนูญตามที่เขาพูดไว้


แก้ทั้งฉบับจะแก้เรื่องอะไร

ก็มีหลายเรื่อง ได้เคยพูดไว้ตอนที่คัดค้านรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 และเขียนไว้ในหนังสือด้วย คุณคณิน บุญสุวรรณ ก็เขียนหนังสือไว้เป็นเล่มว่าทำไมต้องแก้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 นี้
เรื่องสำคัญที่ต้องมาแก้กันคือ การแบ่งแยกอำนาจที่ถูกบิดเบือนไป บทบาทของฝ่ายตุลาการที่เข้ามาก้าวก่ายจัดการด้านการเมืองมากจนเกินพอดี ความเป็นอำนาจอธิปไตยที่ 4 ขององค์กรอิสระที่มีอำนาจเหนือประชาชนทั้งประเทศ ที่มาขององค์กรอิสระที่ทำให้เราไม่มีองค์กรอิสระอยู่เลย เรามีแต่องค์กรที่มีสังกัด ที่แย่คือบางองค์กรที่สังกัดคมช.ยังจะทำหน้าที่อยู่ไปอีกนาน ที่มาของสว. การเขียนรัฐธรรมนูญละเอียดเกินไป โดยเฉพาะในแนวนโยบายแห่งรัฐ ทำให้ประชาชนไม่สามารถกำหนดนโยบายของรัฐบาลผ่านพรรคการเมืองและการเลือกตั้งได้ และการทำให้พรรคการเมืองและระบบพรรคการเมืองอ่อนแอ เป็นต้น


เห็นด้วยหรือไม่กับการตั้ง สสร.3

ถ้าจะแก้ทั้งฉบับก็ควรตั้ง สสร.3 รัฐธรรมนูญกำหนดให้อำนาจในการแก้รัฐธรรมนูญอยู่ที่รัฐสภา ต้องยืนยันข้อนี้ เพราะถือว่ารัฐสภามาจากประชาชนมากกว่าองค์กรอื่นใด แต่จะทำให้สมาชิกรัฐสภาแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับกันตามลำพัง ก็คงเป็นที่ยอมรับได้ยาก จะไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นต้องพยายามให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากๆ จึงควรตั้ง สสร.ขึ้น ได้เคยเสนอเรื่องนี้มาตั้งแต่หลังการเลือกตั้งใหม่ๆ แต่คนไม่ค่อยเห็นด้วย จนกระทั่งรัฐบาลสมชาย ก็เคยเสนอให้ตั้งสสร. แต่ก็ไม่ทันได้ตั้ง เมื่อมีสสร.แล้ว ให้สสร.ไปรับฟังความเห็นประชาชน เมื่อร่างเสร็จแล้วก็เสนอต่อรัฐสภา ให้รัฐสภาเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ


แล้วควรให้ประชาชนลงประชามติหรือไม่

ถ้าแก้ทั้งฉบับจะให้ดีก็คือให้ลงประชามติ จะได้แก้ปัญหาเรื่องการยอมรับหรือไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญที่สสร.ร่างมาและรัฐสภาเห็นชอบแล้ว มิฉะนั้นก็วิจารณ์กันไม่เลิกว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 ผ่านประชามติแต่ที่แก้ใหม่ไม่ผ่าน ทั้งที่รัฐธรรมนูญ2550 ผ่านประชามติมาแบบ “มัดมือชก” คือทำประชามติขณะที่ประกาศกฎอัยการศึกในหลายสิบจังหวัด มีการบอกประชาชนว่าให้ผ่านๆไปจะได้มีเลือกตั้ง และถ้าไม่ผ่าน คมช. อาจเอาฉบับที่เลวร้ายกว่านี้มาใช้
ถ้าจะทำประชามติก็ต้องเป็นประชามติแบบเปิดเสรีและเป็นธรรม
การทำประชามติรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ มีข้อดีคือทำให้ประชาชนเข้าร่วมและเป็นผู้ตัดสิน จะได้เกิดการเรียนรู้ครั้งใหญ่ และประชาชนจะเห็นพลังของตนเอง แต่ก็มีเงื่อนไขนะ คือต้องเปิดให้ทุกฝ่ายรณรงค์และเสนอความเห็นอย่างเสรีและเท่าๆกัน


อย่างนี้ต้องใช้เวลานาน ?

ก็คงนานพอสมควร รวมการแก้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญด้วยก็คงเป็นปี ซึ่งก็จะช้า เพราะฉะนั้นควรแก้เล็กเสียก่อน เพื่อให้มีเลือกตั้งเร็วๆ แก้ปัญหาเรื่องรัฐบาล

จะแก้รัฐธรรมนูญเพียง 6 ประเด็นยังยาก แล้วจะแก้ทั้งฉบับได้อย่างไร รัฐบาลจะยอมแก้ทั้งฉบับหรือ

ขึ้นกับประชาชนทั่วประเทศจะเอาอย่างไร จริงอยู่รัฐบาลนี้ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สว.สรรหาจำนวนมากก็เช่นกัน สมาชิกรัฐสภาในส่วนนี้คงไม่อยากให้แก้ จะแก้ทั้งฉบับได้ต้องอาศัยเสียงในสภาและแรงกดดันจากประชาชน เมื่อมีการเลือกตั้ง ก็ควรเรียกร้องให้พรรคการเมืองเสนอนโยบายเกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญแข่งกัน ถ้าช่วยสนับสนุนพรรคการเมืองที่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยเข้าไปในสภามากๆ ก็มีโอกาสเพิ่มขึ้น ถ้าถึงขั้นได้เสียงของรัฐบาลเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาก็ยิ่งดี และยังต้องสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน เพื่อให้ช่วยกันผลักดันทั้งผ่านการเลือกตั้ง และผ่านการเคลื่อนไหวนอกสภา การแสดงความคิดเห็น หรือการลงประชามติ
ถ้าสังคมเห็นปัญหามากขึ้น ชัดเจนขึ้นว่ารัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่เป็นธรรมนี้ ทำให้เกิดปัญหาวิกฤตที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ และกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เมื่อประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจ ก็จะช่วยผลักดันให้เกิดการแก้รัฐธรรมนูญได้


แก้รัฐธรรมนูญแล้วจะเป็นประชาธิปไตยได้หรือ

ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยเต็มที่แล้ว มั่นคงแล้ว รัฐธรรมนูญนั้นอาจถูกฉีกอีกเมื่อไรก็ได้ เพราะฉะนั้นที่ต้องทำต่อไปก็คือ ต้องทำให้ประชาชนเข้าใจจนถึงขั้นไม่ยอมให้ใครมาฉีกรัฐธรรมนูญได้อีก ซึ่งก็คือต้องไม่ให้มีใครอยู่เหนือรัฐธรรมนูญได้
สภาพแวดล้อมต่างๆ วัฒนธรรมทางการเมือง ที่คนหรือกลุ่มบุคคลยังอยู่เหนือรัฐธรรมนูญยังอยู่ สิ่งเหล่านี้ก็ต้องแก้ด้วย ต้องอาศัยพลังของประชาชนช่วยกันสร้างวัฒนธรรมใหม่ๆ เช่น ไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรนอกเหนือรัฐธรรมนูญ


มีความเห็นว่าเมืองไทยเอาแต่สร้างรัฐธรรมนูญ ไม่สร้างประชาธิปไตย

ความเห็นนี้ก็มีส่วนถูก แต่ถูกเพียงบางส่วน จริงๆแล้วเมืองไทยยังไม่เคยมีรัฐธรรมนูญตามความหมายของรัฐธรรมนูญในอารยประเทศ ที่เรามีรัฐธรรมนูญกันมา 18 ฉบับก็คือไม่เคยมีรัฐธรรมนูญ เพราะสามารถถูกฉีกได้ตลอดเวลา คนจึงอยู่เหนือกฎหมาย รัฐธรรมนูญที่ผ่านมาอาจถือเป็นกฎหมายสูงสุดอยู่ชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก็ถูกฉีกทิ้ง ที่มีใช้กันมาส่วนใหญ่จึงเป็นธรรมนูญการปกครองบ้าง รัฐธรรมนูญชั่วคราวบ้าง หรือแม้เรียกว่ารัฐธรรมนูญ ก็มีเนื้อหาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย คือแค่เอาไว้อ้างกับชาวโลกว่าเราก็มีรัฐธรรมนูญกับเขาเหมือนกันเท่านั้น ส่วนรัฐธรรมนูญที่ดีๆก็อยู่ไม่นาน ถูกฉีกทิ้งหมด ส่วนใหญ่แล้วคนที่ร่างรัฐธรรมนูญเขาก็ไม่ได้คิดว่านั่นคือการสร้างความเจริญ ความดีงามให้กับประเทศ และยิ่งไม่คิดถึงการสร้างประชาธิปไตย
ปัญหาของประเทศไทยจึงไม่ได้อยู่ที่เอาแต่สร้างรัฐธรรมนูญ โดยไม่สร้างประชาธิปไตย แต่เป็นปัญหาว่ามักมีคนชอบทำลายประชาธิปไตย ชอบฉีกรัฐธรรมนูญ ที่ยอมให้มีรัฐธรรมนูญบ้างก็เพื่อหลอกชาวโลก
การมีรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับไม่ได้แสดงว่าเมืองไทยให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญมากเกินไปจนมีหลายฉบับ แต่แสดงว่าเมืองไทยไม่เป็นประชาธิปไตย และยังไม่เคยมีรัฐธรรมนูญตามความหมายที่อารยประเทศเขาเข้าใจกัน


แล้วที่เสนอให้แก้รัฐธรรมนูญอยู่นี้ต่างจากการสร้างรัฐธรรมนูญในอดีตอย่างไร

ในแง่เนื้อหาว่ารัฐธรรมนูญที่ดีควรเป็นอย่างไรคงไม่ต่างกันมาก เว้นแต่สภาพของสังคมพัฒนาไป เรื่องราวต่างๆมีการพัฒนามา เนื้อหาของรัฐธรรมนูญก็ต้องมีพัฒนาการเช่นกัน
แต่ต่างมากๆ คือ ความเป็นรัฐธรรมนูญและหลักการเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนิยม
ก็คือจะแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยแล้วถือว่าจบสิ้นภารกิจ เพราะบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยแล้วไม่ได้ ยังต้องทำอะไรต่อไปอีกมาก ที่สำคัญคือ ทำให้รัฐธรรมนูญมีความหมายอย่างรัฐธรรมนูญจริงๆ คือต้องทำให้ได้ถึงขั้นที่ใครจะมาอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ทำอะไรนอกรัฐธรรมนูญอย่างที่แล้วมาอีกไม่ได้ และจะให้ฉีกกันอีกไม่ได้ ใครไม่พอใจ ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญ ก็ควรจะแก้ตามครรลองประชาธิปไตย
ต้องทำให้สังคมไทยยอมรับหลักรัฐธรรมนูญนิยม ซึ่งไม่ได้หมายความว่า “นิยมแต่รัฐธรรมนูญ” แต่หมายถึงเราจะปกครองกันโดยมีรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุด ซึ่งจะต้องเป็นกฎหมายที่เป็นธรรม มีที่มาที่ชอบธรรม คือมาจากประชาชน ทุกคนต้องอยู่ใต้กฎหมายนี้อย่างเท่าเทียมกัน กฎหมายสูงสุดนี้ต้องกำหนดให้อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน และต้องเป็นของประชาชนจริงๆ หลักรัฐธรรมนูญนิยมนี้ เมื่อรวมกับหลักนิติรัฐนิติธรรม ก็คือพื้นฐานสำคัญของประชาธิปไตย


มีความเห็นอย่างไรต่อความเห็นว่าต้องสร้างประชาธิปไตยก่อน ไม่ใช่สร้างรัฐธรรมนูญก่อน

ผมเข้าใจและเห็นด้วยว่าเราต้องสร้างประชาธิปไตยให้ได้ ไม่ใช่เพียงแค่ให้ได้รัฐธรรมนูญที่ดีมาฉบับหนึ่ง แล้วก็ถูกฉีกหรือถูกละเมิดเมื่อใดก็ได้อย่างที่ผ่านมา แต่ที่เสนอนั้นเป็นการพยายามสร้างประชาธิปไตยในแบบที่ยึดหลักรัฐธรรมนูญนิยมและนิติรัฐนิติธรรม ซึ่งต้องการให้เกิดขึ้นโดยสันติวิธี จะทำให้ได้ประชาธิปไตยมาอย่างไรนั้น เห็นว่าต้องอาศัยพรรคการเมืองกับการเลือกตั้งทางหนึ่ง และอีกทางหนึ่งคือ พลังประชาชนที่ไม่จำกัดอยู่แค่การเลือกตั้งเท่านั้นด้วย จะอาศัยช่องทางเหล่านี้ให้เกิดประชาธิปไตยอย่างแท้จริงได้ ก็หนีไม่พ้นต้องสร้างกติกาที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งควรจะรวมถึงตัวรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และประเพณีปฏิบัติ หรือวัฒนธรรมทางการเมืองด้วย
จะอาศัยพรรคการเมืองและการเลือกตั้งในระบบรัฐสภาได้อย่างไร ถ้ารัฐธรรมนูญยังเป็นเผด็จการอยู่ ช่องทางนี้ย่อมถูกปิด ก็จะเหลือแค่การต่อสู้นอกสภาอย่างเดียว
นี่ไม่ได้วาดภาพว่าเราจะสร้างประชาธิปไตยก่อน โดยมองว่าจะเกิดพลังประชาชนเข้ายึดอำนาจรัฐมาเป็นของประชาชนอย่างเบ็ดเสร็จเสียก่อน แล้วค่อยเขียนรัฐธรรมนูญกัน อย่างที่เรียกว่าปฏิวัติประชาธิปไตย โดยเฉพาะถ้าหมายถึงโดยการใช้กำลังเข้ายึดอำนาจ ยิ่งไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่อยากเห็นการเปลี่ยนผ่านโดยสันติวิธี
แต่ถ้าเกิดพลังประชาชนเข้มแข็งจนเป็นแรงกดดันให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยโดยสันติวิธีได้ อย่างนั้นก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่เมื่อเป็นอย่างนั้นขึ้นมา เราก็ยังต้องมาคิดกันอีกอยู่ดีไม่ใช่หรือว่า เราจะมีกติกาปกครองบ้านเมืองกันอย่างไร เราก็ต้องมาถามกันว่า เราจะรับหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย คือหลักการรัฐธรรมนูญนิยมและนิติรัฐนิติธรรมกันหรือไม่ ถ้าเรายอมรับหลักการนี้ ก็คิดว่าเรามีจุดที่จะพบกัน คิดตรงกัน และพูดเรื่องเดียวกัน


ความเห็นเรื่องล้มอำมาตย์เสียก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง


แต่ล้มอำมาตย์คืออย่างไร ข้อเสนอนี้ไม่ชัดเจน ให้อำมาตย์บางคนออกไป จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ยังไม่สำคัญเท่ากับว่า ถ้าบางคนออกไปแล้ว จะกลายเป็นประชาธิปไตยกันได้ทันทีหรือ อำมาตย์ยังมีอีกหลายคนไม่ใช่หรือ
ใน 3 ปีมานี้ ประชาชนได้เห็นชัดเจนที่สุดว่า ที่เป็นปัญหาอยู่เพราะอำมาตย์ และการปกครองปัจจุบันก็คืออำมาตยาธิปไตย ความคิดล้มหรือต่อต้านอำมาตยาธิปไตยจึงมีเหตุผลอยู่
แต่การจะเปลี่ยน ก็ต้องเสนอการปกครองแบบที่ไม่ให้อำมาตย์เป็นใหญ่ แต่ต้องให้ประชาชนเป็นใหญ่ จะทำได้ก็ต้องสร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ ประชาชนเข้าใจและมีเสียงดังพอที่จะไม่ยอมให้อำมาตย์มีบทบาทนอกรัฐธรรมนูญได้อย่างที่ผ่านมา ในแง่กติกาก็ต้องแก้ คือ บัญญัติเสียว่า อำมาตย์ทำอะไรได้ หรือไม่ได้แค่ไหน ลงในรัฐธรรมนูญเสียเลยนั่นแหละถึงจะดี แล้วก็ต้องมีพลังประชาชน คอยกำกับคู่ขนานไปกับการสร้างกติกาด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรทำก็คือ ต้องจำกัดบทบาทที่ไม่เหมาะสมของอำมาตย์
การแก้รัฐธรรมนูญและการสร้างประชาธิปไตยจึงเป็นเรื่องเดียวกัน


สุดท้ายคิดว่า รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 จะแก้ได้ไหม

6 ประเด็นที่พูดกันอยู่ยังหวังว่าแก้ได้ อยากให้แก้ได้ แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจ มาถึงวันนี้ดูจะยากเข้าไปทุกที
แต่การแก้ทั้งฉบับ บอกตรงๆว่ายาก จะแก้ได้ต่อเมื่อสังคมทั้งสังคม ประชาชนส่วนใหญ่ตระหนักว่าต้องแก้ และฝ่ายผู้มีอำนาจที่ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญนี้ต้องยอมผ่อนตามบ้าง แต่กว่าจะเกิดสภาพอย่างนั้น บ้านเมืองอาจวิกฤตรุนแรงเกินไปเสียแล้ว ดีไม่ดีผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะผู้นำกองทัพ ก็อาจจะหาเหตุฉีกรัฐธรรมนูญนี้เสียก็ได้ และต้องมาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่อีก
รัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงรอวันฉีกมากกว่าจะได้แก้ และถ้าเป็นอย่างนั้นขึ้นมา ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะเข้าสู่วงจรที่ราบรื่นเป็นปกติสำหรับผู้ยึดอำนาจอย่างที่ผ่านมา ครั้งนี้อาจรุนแรงหนักหนากว่าที่หลายๆคน รวมทั้งที่ผู้มีอำนาจทั้งหลายจะคิด เราอาจสูญเสียกันอีกมากกว่าจะได้รัฐธรรมนูญที่ดี และอาจยิ่งต้องสูญเสียมากกว่านั้นกว่าเราจะได้ประชาธิปไตย
ก็ได้แต่พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะไม่ให้เหตุการณ์พัฒนาไปอย่างนั้น
ต้องช่วยกันหลายๆฝ่ายครับ