ที่มา บางกอกทูเดย์
“ทุกวันนี้เราพยายามทำเต็มที่แล้ว แต่ต้องเข้าใจว่าอีกฝ่ายเขาจ้องที่จะทำ มันก็ป้องกันยาก เพราะวันนี้ถ้าทำไม่ได้ เขาก็ไม่ทำ ไปทำวันอื่นหรือพื้นที่อื่น อย่างในงานกาชาดยะลา เราคุมเข้มมาก ไม่มีช่องว่างเลย เขาก็ไปก่อเหตุข้างนอก ที่ผ่านมาผมก็ไล่บี้ให้ตั้งด่าน ตรวจเข้ม ทำเต็มที่ ทหารต้องไม่นอนที่ฐาน ต้องออกตรวจตลอด”
ความคืบหน้าเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์หน้าร้านขายเครื่องสำอาง ตรงข้ามโรงแรมเมอร์ลินในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ห่างจากสภ.สุไหงโก-ลก เพียง 100 เมตร เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 6 ต.ค.2552 จนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 26 ราย ร้านค้าได้รับความเสียหาย 6 ร้านจนนำมาซึ่งเสียงวิจารณ์ถึงประสิทธิภาพการทำงานของฝ่ายความมั่นคง เพราะมีประชาชนแจ้งเจ้าหน้าที่ทหารเข้าตรวจสอบรถต้องสงสัยก่อนแล้ว แต่กลับไม่พบระเบิด ทว่าสุดท้ายกลับเกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงนั้นแต่งานนี้ผู้ที่รับบทหนัก เห็นจะเป็น พล.ท.พิเชษฐ์วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ที่กำกับดูแลสถานการณ์ในภาคใต้จนต้องลุยงานสืบสวนด้วยตนเองแว่วมาว่า “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ถึงกลับออกอาการ “ฉุน” ที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แถมยังยกหูต่อสายตรงถึงแม่ทัพภาคที่ 4 ด้วยตนเองทั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ได้กำชับให้ พล.ท.พิเชษฐ์ สกัดการก่อเหตุรุนแรงของคนร้ายให้ได้โดยเฉพาะการลอบวางเพลิงเผาสถานที่ราชการและวางระเบิดในย่านชุมชนซึ่งข้อมูลการข่าวระบุว่ากลุ่มก่อความไม่สงบพยายามจะก่อเหตุอีกในบางพื้นที่ โดยหากเป็นไปได้ไม่ควรปล่อยให้เกิดเหตุร้ายซํ้าอีก อย่างน้อยก็ในระยะนี้ภายหลังรับนโยบายจาก ผบ.ทบ. ปรากฏว่า พล.ท.พิเชษฐ์ ได้มอบหมายให้ พล.ท.กสิกร คีรีศรี ผู้บัญชาการกองบัญชาการผสมพลเรือนตำรวจทหาร สั่งการไปยังทุกหน่วยให้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และของทางราชการในระดับสูงสุดพร้อมถ่ายทอดคำสั่งของ ผบ.ทบ.ไปยังผู้บังคับหน่วยกำลังทุกหน่วยด้วยในช่วงที่ผ่านมา แม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมด้วยพล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสและคณะ ได้เดินทางไปติดตามความคืบหน้าของคดี
และเยี่ยมปลอบขวัญผู้ได้รับบาดเจ็บโดย พล.ท.พิเชษฐ์ เข้าไปพูดคุยกับเจ้าของร้านค้าที่ได้รับความเสียหายจากเหตุระเบิดก็ได้รับการร้องเรียนว่า...ยังไม่ทราบจะนำเงินจากที่ไหนมาซ่อมแซมเนื่องจากบริษัทประกันภัยไม่ยอมจ่าย เพราะความเสียหายจากระเบิดอยู่นอกกรมธรรม์ที่ทำไว้กับบริษัท และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่อยากตำหนิใครถือว่าเป็น “เวรกรรม” ของชาวบ้าน เพราะแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาตรวจสอบรถต้องสงสัยแล้ว แต่กลับตรวจไม่เจอสิ่งผิดปกติ จึงไม่รู้ว่าความปลอดภัยของชาวบ้านอยู่ตรงไหนท่าทีของประชาชนในละแวกดังกล่าว ทำให้ พล.ท.พิเชษฐ์ถึงกับหน้าสลด และได้กล่าวกับผู้เสียหายว่าจะพิจารณาให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และขอขอบคุณทุกคนที่เป็นหูเป็นตาให้กับทางการเสมอมาและเหตุที่เกิดขึ้นขอรับผิดชอบเอง โดยจะนำไปปรับปรุงแก้ไขในทุกเรื่อง ทั้งเครื่องมือและความพร้อมของเจ้าหน้าที่รวมทั้งความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน“ที่สำคัญทหารไม่ได้ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยหมู่บ้านอย่างเดียว แต่เราต้องทำถึงวันละ 2,600 ภารกิจทั้งคุ้มครองครู รปภ.รถไฟ คุ้มกันพระ รวมทั้งทำงานมวลชน สร้างความเข้าใจอีกต่างหาก ฉะนั้นเราทำหน้าที่100% แต่ช่องโหว่แค่ 1% ก็อาจทำให้เกิดเหตุรุนแรงขึ้นได้ ฉะนั้นเราต้องบริหารคน บริหารพื้นที่” พล.ท.พิเชษฐ์ เผยความในใจจากข้อจำกัดที่เผชิญอยู่ ทำให้ พล.ท.พิเชษฐ์ เปิดใจว่าเวลาเกิดอะไรขึ้นจึงไม่อยากตำหนิลูกน้องเลย เพราะเข้าใจกับสถานการณ์และปัญหาที่ต้องเจอนั้นหมายความว่า หากเกิดเรื่องขึ้น “นาย” จะเป็นคนรับ แทน “ลูกน้อง” แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเป็นบางมุมของผู้ปฏิบัติหน้าที่ในภาคใต้ท่ามกลางภาวะกดดัน !!