ที่มา มติชน
แต่ถ้าถอดรหัสนัยแต่ละประโยคที่ "ป๋าเปรม-บิ๊กจิ๋ว" เปล่งวาจาออกมา จะรู้ว่าเป็นน้ำผึ้งอาบยาพิษ
โดยเฉพาะคำพูดล่าสุดของ "ป๋า" ที่ออกมายอมรับว่าเคยส่งคนไปเตือน "อดีตลูกป๋า" ที่ชื่อ "จิ๋ว" ก่อนเก็บกระเป๋าเข้าไปอยู่ พท. ว่า "ให้ไตร่ตรองให้รอบคอบ ไม่อย่างนั้นมันอาจกลายเป็นการกระทำที่เป็นการทรยศต่อชาติ"
ถือเป็นการเสียบยอดอก "พล.อ.ชวลิต" แบบเต็มๆ
ว่ากันว่าสาเหตุที่ทำให้บุรุษวัย 89 ปี ประกาศตัดสัมพันธ์กับเจ้าทฤษฎี "โซ่ข้อกลาง" กลางอากาศ เป็นเพราะฉุนขาดที่ถูก "ลูกน้องเก่า" แอบแทงข้างหลัง
โดยเฉพาะการปล่อยข่าวผ่านเครือข่าย "เอฟโอซี" (เฟรนด์ ออฟ ชวลิต) ว่า "เจ้าของบ้านสี่เสาเทเวศร์" ไม่ยอมให้ "พ่อใหญ่ลา" เข้าพบเพื่อนำพานพุ่มดอกไม้แพรไปขออโหสิกรรม ก่อนเข้าอุปสมบทที่วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 ด้วยเพราะยังเคืองที่ "บิ๊กจิ๋ว" วกกลับไปช่วยงาน "นายใหญ่" ในยุครัฐบาล "สมชาย วงศ์สวัสดิ์"
ตรงนี้ทำให้ "บุรุษผมขาว" ถูกมองว่าไม่เป็นผู้ใหญ่
ร้อนถึงผู้ถูกวิจารณ์ต้องตั้งโพเดียมแก้ต่างเมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่าไม่เคยทราบว่า "บิ๊กจิ๋ว" จะไปบวชที่ไหน เมื่อไร โดยมี "นายทหารลูกป๋า" 6 คนคอยยืนให้กำลังใจอยู่เบื้องหลัง
อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่า "พ่อใหญ่ลา" ได้ติดต่อขอขมา "ป๋า" จริง โดยประสานงานผ่าน "พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป" หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
ทว่าเมื่อ "คนในบ้านสี่เสาฯ" แทงเรื่องขึ้นไป กลับได้รับคำตอบลงมาว่า "ไม่ว่าง" โดยมี "พล.อ." อีกคนที่ไปปฏิบัติหน้าที่ "วอลล์เปเปอร์ป๋า" เป็นพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ
และ "นายพล" คนเดียวกันนี้ยังเป็นคนที่ "ป๋า" ใช้ให้ไปส่งสารเตือน "บิ๊กจิ๋ว" ก่อนเปิดตัวเข้า พท.อีกด้วย
เมื่อ "คำขออโหสิกรรม" จาก "ลูกป๋า" ไม่เป็นผล "คำแจ้งเตือน" จาก "ป๋า" ถูกเมิน จึงเกิดปรากฏการณ์ "2 เสือเปิดศึก" ในวันนี้!!!
บทแสดงของ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ออกมาหักพวงมาลัย พรรคเพื่อไทย เลี้ยวกลับ 180 องศา เลิกร่วมวงวิป 3 ฝ่าย ในจังหวะที่ "บิ๊กจิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีเปิดตัวสายตรงเข้ามาคุม "พรรคเพื่อไทย" พอดิบพอดี
สร้างราคาต่อให้ "สิงห์เหลิม" ขึ้นมาตีคู่เบียดบารมีของ "พ่อใหญ่" ได้ระดับหนึ่ง
เพราะเบื้องลึกเบื้องหลังการเข้ามาของเพื่อไทยของ "บิ๊กจิ๋ว" นั้น ว่ากันว่าจะมีชื่อ 2 นักการเมืองรุ่นเก๋า ที่อาจจะต้องถูกลบทิ้งไปจากบัญชีเพื่อไทย หรือไม่ก็ต้องไร้บทบาทไปในที่สุด
โดยคนหนึ่งเก๋าขนาดได้สมญาให้ว่า "ไดโน น." ที่มีข่าวว่าจะซบเพื่อไทย แต่เมื่ออดีตขงเบ้งแห่งกองทัพรับเทียบเชิญก่อน เลยออกอาการเบื่อๆ อยากๆ การเมือง และจวนเจียนที่จะวางมือ หลังส่ง "ลูก-หลาน" ให้ขึ้นฝั่งการเมือง ฟากใดฟากหนึ่ง
ซึ่งเท่ากับว่า "ขานี้" ยอมรับชะตากรรมและประกาศยกธงขาว
ส่วนอีกคนก็ "สิงห์เหลิม ณ บ้านริมคลอง" ที่ออกอาการไม่ยอมจำนน ด้วย "แอ๊คชั่น" สู้ยิบตา เพื่อ "คุณค่า" ทางการเมืองในพรรคเพื่อไทย
แต่ปฏิบัติการประกาศพื้นที่อำนาจของ "บิ๊กบ้านริมคลอง" ครั้งนี้ ดันไปกระทบกับ "2 ส.ส.กทม." กับอีก "1 ส.ส.อีสาน" ปริศนาซึ่งถูก "สิงห์เหลิม" ต่อว่า ว่าพูดจาพาดพิงทำให้เสื่อมค่าบ่อยครั้ง จนอาจจะต้องเรียกมา "ฟาดก้น" กันสักทีนั้น
"1 ส.ส.อีสาน" ที่ว่า ปรากฏเป็น "ส.ส." หลายสมัยจาก "เมืองเกินร้อย" ผู้เคยหาญกล้าถลกหนัง "แก๊งออฟโฟร์" ในอดีต ซึ่งครั้งหนึ่งเคยรักใคร่กับ "สิงห์เหลิม" มาในสมัยที่ได้ดีรั้งเก้าอี้ "มท.1" แต่มาผิดใจกันเพราะการให้สัมภาษณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่ส่งให้ "มิตรภาพ" ต้องขุ่นมัว เมื่อไม่นานมานี้
แต่ที่ทีเด็ด คือ "2 ส.ส.หนุ่ม กทม." จากย่านสนามบินเก่า ที่มักจะส่งสัญญาณผ่านสื่อหลายครั้งหลายหนเหมือนกันว่าไม่ชอบหน้า "ประธาน ส.ส.เพื่อไทย"
จนทำให้ "สิงห์เหลิม" แค้นฝังหุ่น เพราะในใจลึกๆ เชื่อว่า เรื่องระดับนี้ ส.ส.เด็กๆ คงคิดเอง-ทำเอง ไม่ได้
ในที่สุด "บิ๊กจ๊อก" พล.อ.จิรเดช คชรัตน์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารบก ที่เพิ่งเกษียณอายุราชการไปหมาดๆ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2552 ผ่านการใช้ชีวิตแบบ "ประชาชนเต็มขั้น" ไปได้ไม่นาน
ได้ฤกษ์เปิดตัวเข้าสู่ "ถนนสายการเมือง" แบบเต็มตัวด้วยการเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทยที่มี "พ่อใหญ่จิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นหัวเรือกู้วิกฤต
แม้ว่าเดิม พล.อ.จิรเดชจะยัง "ชั่งใจ" อยู่ว่าจะเข้าพรรคการเมืองใดดี หรือจะตั้งพรรคการเมืองใหม่กับ "กลุ่มพ้องเพื่อน" โดยเฉพาะความสนิทชิดเชื้อกับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตกรรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ไม่น้อย
แต่สุดท้าย "บิ๊กจ๊อก" ก็ตัดสินใจเลือกเข้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ถือว่าเป็น "ศัตรูหมายเลขหนึ่ง" ของกองทัพมาตลอด
ด้วยเหตุผลใดที่ทำให้นายทหารระดับสูงที่เคยเป็นถึงรอง ผบ.ทบ. และเคยเป็นส่วนหนึ่งในการ "รัฐประหาร" เมื่อครั้ง 19 กันยายน 2549 ซึ่งสมัยเจ้าตัวเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 3 ก่อนขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ต่อจาก พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร อดีตรองปลัดกลาโหม
ทั้งนี้ คงเป็นด้วยส่วนหนึ่งที่ พล.อ.จิรเดชมีความสนิทใกล้ชิดกับ "พ่อใหญ่จิ๋ว" ที่ถือเป็นพ่อใหญ่ที่คอยดูแลบรรดานายทหารเตรียมรุ่น 9 (ตท.9) มานาน โดยเฉพาะแกนนำ ตท.9 อย่าง "บิ๊กแป๊ะ" พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ อดีตรอง ผบ.ทบ. ที่ถือเป็นพี่ใหญ่ในพ้องเพื่อน ตท.9
ด้วยความที่ พล.อ.จิรเดชก็เป็น ตท.9 เพื่อนสนิทของ พล.อ.วิชิตเช่นกัน ทำให้การตัดสินใจครั้งนี้ "มันคลิกกัน" ได้ไม่ยากนัก
เมื่อ "เพื่อนแป๊ะ" และ "พ่อใหญ่จิ๋ว" ชักชวนมารวมกันทำพรรคเพื่อไทย ดังนั้น ไม่แปลกที่ พล.อ.จิรเดชจะตอบรับ เพราะเจ้าตัวคลุกคลีอยู่ในวงการเมืองในภาคเหนือ "ยุคทักษิณ" ไม่น้อยเช่นกัน
เหตุผลหนึ่ง คือ พล.อ.จิรเดชมองอนาคตการเมือง หากเลือก "พรรคแม่ธรณีบีบมวยผม" คงยากที่จะเป็นใหญ่ทางการเมือง
และเจ้าตัวเคยปรารภกับ "คนใกล้ชิด" ว่า "ไม่รู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์เขาเป็นอย่างไร ขนาดทหารบีบคอให้ยังไม่ชนะเลือกตั้ง แล้วพอมาบริหารประเทศก็ไม่เห็นจะมีอะไรเข้าตาประชาชน"
คงด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ พล.อ.จิรเดชตัดสินใจขอยืนฝั่งตรงข้ามกองทัพ "ยุคน้องป๊อก" พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก มาเดินเส้นทางสายการเมืองอย่างแท้จริง