ที่มา บางกอกทูเดย์ ผ่านไปแล้วกับการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ภายใต้การชงของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ที่สวมบทผู้จัดการรัฐบาล รอบ 2…โหด มัน ฮา ยิ่งกว่าเก่าโหด กับพรรคเพื่อแผ่นดิน...มันกับพรรคประชาธิปัตย์ และ ฮา กันสนั่นกับพรรคภูมิใจไทย แต่นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพก็ยอม...ขอแค่ตีตั๋วต่ออายุในการเป็นรัฐบาลให้ได้เท่านั้นเป็นพอ ภาพลักษณ์ต่างๆ เป็นประเด็นที่ไม่จำเป็นต้องแคร์อะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะขนาดผ่านยุทธการกระชับพื้นที่ ถึงขนาดที่มีคนตาย มีคนบาดเจ็บมากมาย ยังประคองรัฐนาวาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน เรื่องอื่นๆจึงกลายเป็นเรื่อง ขี้ปะติ๋วไปหมดแล้ว ดังนั้นกะอีแค่เรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และผลคะแนนโหวต 5 รัฐมนตรี ที่ออกมามอมแมมกระดำกระด่างไปบ้าง จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ การปรับ ครม. ลากถูลู่ถูกังไปได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ขนาดไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกรณีขี่คอพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ ของซีอีโอตัวจริงเสียงจริงพรรคภูมิใจไทย ที่ชื่อ“เนวิน ชิดชอบ” ก็ขนาดสังคมทั้งประเทศไทย รับรู้กันว่า นายเนวิน เป็นบุคคลที่ถูกคำสั่งศาลให้เว้นวรรคห้ามยุ่งเกี่ยวทางการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี ทุกวันนี้นายเนวินยังสามารถทำได้ทุกอย่างเหมือนเดิม... สามารถใช้พรรคการเมืองอายุปีเดียว ขี่คอพรรคการเมือง อายุ 60 กว่าปีได้สบายๆ แล้วทำไมนายอภิสิทธิ์ จะยอมให้สังคมพูดตรงกันว่า ปรับ ครม.ครั้งนี้ “เสร็จเนวิน!!!”ไม่ได้ การประชุม ครม. ชุดใหม่นัดแรกเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน นายอภิสิทธิ์ จึงเล่นบทไม่พูดถึงอดีต ว่าใครจะมาอย่างไร ใครจะถูกอภิปราย ใครจะถูกสังคมไม่ยอมรับ แต่เมื่อมาอยู่กันเป็นก๊วนรัฐบาลแล้ว ก็เหมือนได้น้ำยาฟอกขาวฉาบทา เล่นบทแสดงความยินดีแก่รัฐมนตรีใหม่ที่เข้ามา และรัฐมนตรีเก่าที่เกาะเก้าอี้กันได้อย่างเหนียวแน่น ชนิดบรรยากาศการประชุมนัดแรดกิ๊วก๊าวไปหมด อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สังคมเห็นว่า ไม่ได้ปล่อยให้รัฐมนตรี หรือไม่ได้ปล่อยให้พรรคร่วมรัฐบาล ทำอะไรตามอำเภอใจแบบอิสระเสรี เหมือนสมัยสุโขทัย... ใครใคร่ค้าช้าง ค้า.. ใครใครค้าวัวค้าควาย ค้า... อะไรแบบนั้น เพราะอาจจะสะเทือนกับอายุรัฐบาลได้ นายอภิสิทธิ์ก็เลยได้มีการแจกเอกสารสำเนา กระแสพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่นายกฯและรัฐมนตรี ในโอกาสเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณตน ก่อนเข้ารับหน้าที่ ให้กับ ครม.ทุกคน โดยย้ำกับครม.ว่า ขอให้ครม.ทุกคนยึดตามกระแสพระราชดำรัสที่ในหลวงทรงเน้นย้ำ ว่า... ขอให้ครม.ตั้งใจ ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตและเสียสละ ขอให้ท่านตั้งใจทำงานเพื่อส่วนรวมได้สำเร็จ ถ้ามีคนขัดขวางก็อย่าไปใส่ใจ ท่านจงเอาใจใส่แต่งานที่ดีที่ท่านจะทำสำหรับ ส่วนรวมก็จะทำได้ “ผมขอให้ ครม.ทุกคนตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ครม.ชุดนี้ไม่โอกาสที่จะทำให้ประชาชนผิดหวังอีกแล้ว และอย่าให้มีเรื่องอื้อฉาว” นายกรัฐมนตรีระบุ ส่วนจะเหมือนกฏเหล็ก 9 ข้อ จะขลังหรือไม่ขลังเพียงใด จะมีอื้อฉาวให้ประชาชนผิดหวังอีกหรือไม่ คงต้องติดตามชมกันชนิดห้ามกระพริบตา!!! เพราะต้องไม่ลืมว่า 1 ในเหตุผลสำคัญที่ทำให้คะแนนไม่ไว้วางใจ 5 รัฐมนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐมนตรีจากขั้วภูมิใจไทยได้คะแนนน้อยกว่าคนอื่น แม้สุดท้ายจะยังรั้งเก้าอี้ไว้ได้ เพราะบารมีของนายเนวินที่อยู่เหนือนายอภิสิทธิ์ ทำให้ทั้งนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สามารถรักษาเก้าอี้ไว้ได้ ชนิดติดค้างบุญคุณนายเนวินแน่นหนามากขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง แต่สังคมล้วนมองว่าประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมานั้น มีน้ำหนัก ไม่ว่าจะเรื่องการจัดทำโครงการอื้อฉาวต่างๆ ปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นในกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงคมนาคม โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณขององค์กรส่วนท้องถิ่น และการโยกย้ายข้าราชการ สิ่งเหล่านี้การตั้ง ครม.ชุดใหม่ ที่ยังมีรัฐมนตรีหน้าเก่าที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์อยู่กันได้ครบเซ็ต ยังไม่สามารถขจัดปัดเป่าไปได้หมด หน้าที่สำคัญของนายอภิสิทธิ์ จึงต้องกำหราบเอาไว้ก่อนตั้งแต่ต้น เพื่อไม่ให้ปะทุเชื้อขึ้นมาได้อีก งานนี้ทั้งพิสูจน์ฝีมือ และพิสูจน์ความจริงใจในการแก้ไขปัญหาประเทศชาติของนายอภิสิทธิ์โดยตรง ที่จะลบคำสบประมาทที่ดังไปทั้งสังคมไทยว่า คนโหวตสวนโดนเฉดหัวไล่ แต่รัฐมนตรีที่โดนไม่ไว้วางใจได้อยู่ต่อ... “อภิสิทธิ์”เส้นใหญ่แค่ไหน ก็ไม่กล้าหัก “เนวิน” ฉะนั้นเมื่อการปรับ ครม. เที่ยวนี้ นอกจากนายอภิสิทธิ์ จะรักษารูปเกมในการที่ไม่ขัดแย้งกับนายเนวินไว้ได้ แถมยังทำให้ขั้วการเมืองอาวุโสภายในพรรคประชาธิปัตย์เอง มีความพึงพอใจกันขึ้นมาได้ไม่น้อย เพราะทั้งนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ นายจุติ ไกรฤกษ์ เข้ามารอบนี้ ส่วนหนึ่งก็มีผู้อาวุโสรุ่นเก่า ให้การสนับสนุนอยู่ เมื่อแรงกดดันในพรรคไม่มี แรงกดดันจากนายเนวินก็ไม่มี หรือแม้แต่บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ เชื่อว่าก็คงไม่กล้าหือ เมื่อเห็นปฎิบัติการโหดขอคืนเก้าอี้จากพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่กระชับพื้นที่จู่โจมจนพรรคเพื่อแผ่นดินแตกเป็นเสี่ยงๆ สูญเสียเก้าอี้รัฐมนตรีระเนระนาด เชื่อว่านักการเมืองระดับเก๋าเกม อย่างนายบรรหาร ศิลปอาชา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายสุวิทย์ คุณกิตติ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เมื่อเห็นเกมเชือดไก่ให้ลิงดู เชือดพรรคเพื่อแผ่นดินจนเลือดสาดกระจาย เป็นใครก็ต้องถนอมตัวเอาไว้ก่อน ... อย่างน้อยเพื่อรอการเลือกตั้งใหญ่ครั้งใหม่ แล้วค่อยว่ากันอีกที เพราะถึงวินาทีนี้ แม้จะรู้ว่าอายุรัฐบาลอยู่ แบบต่อเวลาไปเรื่อยๆ มากว่าที่จะอยู่อย่างมั่นคง แต่ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากที่จะออกไปเป็นฝ่ายค้านในห้วงเวลาเช่นนี้แน่ แต่จะไปโทษว่าพรรคร่วมรัฐบาลคิดมากก็คงไม่ได้ เพราะ ครม. ที่ปรับมาหมาดๆนั้น หากตัวเลขอย่างเป็นทางการ ที่นับรวมงูเห่าจากพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาราชแล้ว จะเท่ากับ 260 กว่าเสียง ในการลงคะแนนโหวตเรื่องสำคัญๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 ที่จะต้องมีขึ้นในเดือนสิงหาคม ซึ่งถือว่าสำคัญมาก เพราะหากงบประมาณไม่ผ่าน รัฐบาลก็เอวัง ฉะนั้นเมื่อหักของรัฐมนตรีที่ลงคะแนนโหวตไม่ได้ เนื่องจากมีส่วนได้ส่วนเสียตามรัฐธรรมนูญ ออกไปอีก 23 เสียง จะเท่ากับว่าเหลือแค่ 240 กว่าเสียง เกินกึ่งหนึ่งแบบเหนื่อยหืดขึ้นคอ... ใครเบี้ยวนิดเดียวรัฐบาลพังทันที... นี่คือสาเหตุที่ทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ต้องเล่นเกม โหด มัน ฮา ในการปรับ ครม.เที่ยวล่าสุด ห้ามใครหือเด็ดขาด ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ที่ทนทานจน “แรด”เรียกพี่ แต่สถานการณ์ก็เหนื่อยหนักกับ ภาพกระดำกระด่างทางการเมือง โดยเฉพาะข้อครหา เรื่องมือเปื้อนเลือดบ้าง เรื่องนั่งทับของเหม็นบ้าง เรื่องถูกขี่คอบ้าง ก็คงประเมินแล้วว่า เวลาทางการเมืองมีแต่นับถอยหลัง นายอภิสิทธิ์เอง แค่ประคับประคองให้พ้นช่วงนี้ก็เหนื่อยแล้ว แถมดูแล้วโอกาสทางการเมืองที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีรูปหล่ออีกสมัย คงยากเย็นเต็มประดา แต่รัฐนาวาของนายอภิสิทธิ์หลังปะผุ สาดสีใหม่รอบนี้ ใช่ว่าจะไม่มีคลื่นลมโหมใส่ ไหนจะเรื่องที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้สั่งทีมกฎหมาย กกต. ยื่นเคลียร์คำแก้ต่างข้อกล่าวหาของพรรคประชาธิปัตย์ใน คดียุบพรรค จากกรณีใช้เงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ จี้หลังเย็นวาบๆ พรรคประชาธิปัตย์จะถูกยุบพรรคหรือไม่??? เพราะสังคมเองก็จับตามองอยู่ว่า ผีหลอกวิญญาณหลอนเรื่อง “2 มาตรฐาน”หมดไปจากสังคมไทยแล้วหรือยัง??? และยังไม่ทันไรศาลรัฐธรรมนูญก็มีงานจะต้อง ตีความอีกแล้วว่า รัฐมนตรีใหม่ขาดคุณสมบัติหรือไม่ เนื่องจากสว.จอมตรวจสอบ อย่างนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สว. สรรหา ฉายา“แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์” ที่มีวีรกรรมมากมาย ได้ออกโรงตรวจสอบตามหน้าที่ สว. ทุกคนที่เป็นรัฐมนตรีใหม่ และ อดีตรัฐมนตรีที่เพิ่งพ้นตำแหน่งไปหมาดๆ แน่นอนว่านายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที ซึ่งยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เกี่ยวกับการกระทำที่อาจจะเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 48 และมาตรา 265 (2) เพราะถือครองหุ้นในบริษัทสื่อ และบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานรัฐ ซึ่งเรื่องนี้ กกต.ก็มีมติเสียงข้างมาก เห็นว่าการกระทำที่ผิด และเป็นเหตุที่ทำให้อาจสิ้นสมาชิกภาพความเป็น ส.ส. ตามมาตรา 106 ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือนายจุติ พร้อมด้วยพวกจากพรรคประชาธิปัตย์ 12 คนนั่นเอง เมื่อนายเรืองไกร ออกมาจี้เรื่องนี้ พร้อมกับเตรียมตรวจสอบเพิ่มว่าวันที่นายจุติ รับตำแหน่งรัฐมนตรี คือ 7 มิถุนายนนั้น ภรรยาของนายจุติ ได้จำหน่าย จ่ายหุ้นที่ถือครองไปหรือยัง??? งานนี้นอกจากนายจุติจะเหนื่อยแล้ว... แน่นอนว่าทั้งรัฐบาล และทั้งนายอภิสิทธิ์ ก็ต้องเหนื่อยไปด้วย การยื้อเวลาเพื่อขอเป็นรัฐบาลต่อไปอีกระยะหนึ่ง ช่างไม่ง่ายเอาเลยจริงๆ