WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, June 12, 2010

หยุดพ.ร.ก.ฉกฉวยหยุดข่มขืนประเทศไทย

ที่มา โลกวันนี้


เรื่องจากปก
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
ปีที่ 5 ฉบับที่ 263 ประจำวัน ศุกร์ ที่ 11 มิถุนายน 2010
โดย ทีมข่าวรายวัน


“ต่อไปนี้จะไม่ตอบคำถามเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วนะครับ เพราะถามทุกวัน

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ตอบผู้สื่อข่าวถึงความเป็นไปได้ที่จะยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่ามี 3-4 จังหวัดที่อาจยกเลิกได้ก่อน โดยนายสุเทพให้เหตุผลที่ต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปว่า เป็นหน้าที่ที่จะต้องทำให้บ้านเมืองอยู่รอดปลอดภัย

จับกุมแล้ว 422 คน

ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดเผยการจับกุมผู้กระทำผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินและความผิดอาญาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งสิ้น 422 คน ส่วนใหญ่ถูกควบคุมในเรือนจำ ซึ่งถือว่าขัดกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และก่อนหน้านี้ก็ไม่เปิดเผยรายชื่อและสถานที่ควบคุมอีกด้วย จนกระทั่งองค์กรระหว่างประเทศและองค์กรในประเทศออกมาเคลื่อนไหว รัฐบาลจึงเปิดเผยชื่อ ผู้ถูกจับกุมและสถานที่ควบคุมตัว

ส่วนนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการโอนคดีข้อหาก่อการร้ายทั้งหมดมาอยู่กับดีเอสไอ 151 สำนวน แต่ยังไม่รวมสำนวนคดีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤษ-ภาคมอีกกว่า 70 สำนวน นอกจากนี้ยังรับข้อมูลชายชุดดำที่ก่อเหตุลอบยิงทหารและประชาชน (ไม่มีคดีทหารยิงประชาชน) เมื่อวันที่ 10 เมษายน ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบปากคำพยาน

พ.ร.ก.ฉุกเฉินผิดกฎหมาย?

อย่างไรก็ตาม มีการตีความและฟ้องร้องถึงการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2553 ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะในขณะนั้นไม่ได้มีสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงแต่อย่างใด แม้จะมีกลุ่ม นปช. จำนวนหนึ่งบุกเข้าไปในรัฐสภาก็ตาม แต่หลังจากนั้นกลุ่ม นปช. ก็กลับออกมาโดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆ

ขณะที่นายสุเทพกล่าวกับคณะรัฐมนตรีถึงเหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่า รัฐบาลจำเป็นต้องใช้กฎหมาย แก้ปัญหา โดยจะมีการยกระดับการใช้กฎหมายมากขึ้น เริ่มจากเบาไปหาหนัก ซึ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีแนวโน้มต้องใช้ในการสลายการชุมนุม เนื่องจากฝ่ายความมั่นคงประเมินสถาน การณ์ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมอาจยกระดับความเข้มข้นและความรุนแรง

แต่การประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินที่นานกว่า 2 เดือน และมีแนวโน้มว่าจะยาวไปถึงปลายปีนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องปรกติ เพราะคำว่า “ฉุกเฉินร้ายแรง” บ่งบอกความหมายชัดเจนแล้วว่าบ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ร้ายแรง ถ้าไม่มีสถานการณ์ร้ายแรงรัฐบาลก็ต้องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งมีอำนาจไม่ต่างกับอำนาจของคณะปฏิวัติรัฐประหาร

ข้องใจข้อหาก่อการร้าย

แต่ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ให้รัฐมนตรีทุกคนลงชื่อขอแต่งตั้งทนายเพื่อใช้ต่อสู้ในข้อกล่าวหาของกลุ่ม นปช. ที่ฟ้องร้องกรณีที่รัฐบาลสั่งปิดสถานีโทรทัศน์พีทีวีและการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินผิดกฎหมาย

นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ยังให้จัดทำเอกสารที่ใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจประเด็นการ สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยกำชับให้รัฐมนตรีนำไปชี้ แจงหากเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์ได้ชี้แจงกับบรรดาทูต นักธุรกิจ และสื่อต่างชาติไปแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังข้องใจเรื่องการใช้กำลังสลายการชุม-นุม การตั้งข้อหาผู้ก่อการร้าย และที่มาของอาวุธจำนวนมาก

แม้นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าดำเนินการตามกฎหมายอาญาและตามคำจำกัดความ “ก่อการร้าย” ที่สอดคล้องกับกฎหมายของสหประชาชาติก็ตาม แต่การตั้งข้อหาดังกล่าวก็มาจากอำนาจใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เช่นเดียวกับการกวาดล้างคนเสื้อแดงและนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามในขณะนี้

ละเมิดสิทธิมนุษยชน

ดังนั้น หลายประเทศจึงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เช่นเดียวกับองค์กรภาคประชาชนและนักวิชาการจำนวนมากที่เห็นว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน นอกจากขัดกับรัฐธรรมนูญแล้วยังเป็นการใช้อำนาจที่ครอบจักรวาลเพื่อสร้างความชอบธรรมและเสถียรภาพของรัฐบาลมากกว่าเพื่อความมั่นคงและประโยชน์สุขของประชาชน

อย่างองค์กรสิทธิมนุษยชนสากลได้เรียกร้องให้รัฐบาลเลิกคุมตัวแกนนำและผู้ประท้วง นปช. ในสถานที่ลับ เพราะเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน และยังปราศจากการตั้งข้อหาที่มีหลักฐานชัด เจนอีกด้วย ซึ่งถือเป็นสูตรสำเร็จของรัฐบาลที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน แทนที่จะนำตัวไปดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมปรกติ หรือไม่ก็ปล่อยตัวไป

เช่นเดียวกับกลุ่มสิทธิมนุษยชนในไทยและนักวิชาการต่างก็เรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนผู้ถูกจับกุมต้องถือเป็น “ผู้มีความคิดเห็นทางการเมือง” แตกต่างจากรัฐเป็น “นักโทษทางการเมือง” ที่ต้องได้รับความคุ้มครองตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย

ย้อนจุดยืน “อภิสิทธิ์”

แม้แต่ศาลเองยังถูกตั้งคำถามการยอมรับอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมากกว่ารัฐธรรมนูญและข้อบังคับของกฎหมายปรกติ เหมือนที่ศาลถูกตั้งคำ ถามว่าทำไมจึงยังยอมรับอำนาจการปฏิวัติรัฐประหารที่ถือเป็นโจราธิปัตย์ ซึ่งครั้งที่นายอภิสิทธิ์เป็นผู้นำฝ่ายค้านก็เคยต่อต้านรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เห็นชอบ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นัยว่าเป็นกฎหมายเผด็จการ หรือต่อต้านการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่ประกาศใช้เฉพาะบางพื้นที่ในกรุงเทพฯ หรือรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ประกาศใช้เฉพาะพื้นที่สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิที่กลุ่มพันธมิตรฯบุกเข้าปิดล้อม

เช่นเดียวกับนักธุรกิจทั้งสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ นักวิชาการและสมา-คมสื่อต่างๆก็ออกมาต่อต้านและโจมตีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในรัฐบาลนายสมัครและรัฐบาลนายสมชาย แต่วันนี้นอกจากไม่ต่อต้านแล้วยังสนับสนุนอีก ทั้งที่สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ไม่ได้ฉุกเฉินเลวร้ายตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการท่องเที่ยวอย่างมากมาย

กฎหมายติดหนวด

แต่ที่น่าวิตกคือการใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เกินกว่าเหตุ หรือเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของรัฐบาลและพวกพ้องมากกว่าความมั่นคงและความสงบสุขของประชาชน เพราะไม่มีสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงแล้วแต่รัฐบาลยังไม่ยอมยกเลิก กลับเร่งกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม รวมทั้งพยายามปิดสื่อทุกชนิดที่เสนอข้อมูลข่าวสารตรงข้ามกับรัฐบาล ซึ่งไม่ต่างกับรัฐบาลเผด็จการที่วันนี้ปิดเว็บไซต์ ปิดพีทีวี ปิดสิ่งพิมพ์ และปิดวิทยุชุมชนไปแล้วมากมาย ทั้งที่รัฐธรรมนูญเองก็ไม่สามารถทำได้

ที่สำคัญยังเป็นการประจานแผนปรองดองของรัฐบาลเองว่าไม่มีความจริงใจ หรือเป็นแค่การตีสองหน้าเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาล แต่กลับไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆกับการเสียชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์เกือบ 100 ราย และบาดเจ็บกว่า 2,000 ราย อย่างที่นายบุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ นักวิชาการคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ส่งแถลงการณ์เรียก ร้องให้นายอภิสิทธิ์ลาออก

“ใครสั่งฆ่าประชาชนต้องถูกนำมารับโทษ นักวิชาการที่ออกมาสนับสนุนการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ”

พ.ร.ก.ฉกฉวย

สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้จึงไม่มีเหตุการณ์ใดๆเลยที่รัฐบาลจะยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ ยกเว้นแต่รัฐบาลต้องการใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม

พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงต้องเรียกว่า พ.ร.ก.ฉกฉวย เพื่อให้รัฐบาลใช้กล่าวหาและกวาดล้างคนเสื้อแดง รวมถึงนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเต็มที่แม้ไม่มีหลักฐานชัดเจนก็ตาม แค่สงสัยหรือกล่าวหาก็สามารถจับกุมได้แล้ว แม้แต่การสั่งให้ทหารฆ่าและทำร้ายประชาชน

นายอภิสิทธิ์จึงไม่ใช่แค่ “ผู้นำมือเปื้อนเลือด” ธรรมดา แต่ต้องถือว่าเป็นผู้นำที่มีใจโหดเหี้ยมและน่ากลัวยิ่งกว่ารัฐบาลเผด็จการที่ผ่านมา แม้แต่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์พฤษภาทมิฬยังต้องอาย

สังคมไทยวิปริต

และที่น่าวิตกอย่างยิ่งคือความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯนั้นแทบไม่พูดถึงประชาชนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมายในเหตุการณ์ 10 เมษายน และ 13-19 พฤษภาคมเลย แต่กลับให้ความสำคัญกับศูนย์การค้าและอาคารต่างๆที่ถูกเผา รวมทั้งสนุกสนานกับการช็อปปิ้งและการได้ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยอย่างคนเมืองหลวงอีกครั้งเท่านั้น

ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกจำนวนไม่น้อยที่หลงปลาบปลื้มไปกับวาทกรรม “ศรีธนญชัย” ของนายอภิสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความปรองดอง การปฏิรูปประเทศ หรือปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ไม่มีอะไรชัดเจน หรือเป็นแค่การฟอกตัวและสร้างความชอบธรรมเพื่ออยู่ในอำนาจต่อไปเท่านั้น

คนส่วนใหญ่จึงไม่เคยโศกเศร้ากับการฆ่าที่โหดเหี้ยม หรือเรียกร้องให้รัฐบาลและกองทัพแสดงความรับผิดชอบ หรือเร่งสอบสวนเพื่อนำคนผิดมาลงโทษ

ขณะที่รัฐบาลและ ศอฉ. ยังคงยัดเยียดข้อมูลข่าวสารด้านเดียวให้กับประชาชน พร้อมกับการใช้อำนาจใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินเหมือนดาบอาญาสิทธิ์ เพื่อเร่งกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้าม โดยคนไทยส่วนใหญ่กลับนิ่งเฉย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวที่ถูกเรียงคิวข่มขืนโดยมีคนนั่งดูอยู่ทั่วบ้านเมืองเหมือนไม่มีอะไร เพราะคนข่มขืนบอกว่าตัวเองรูปหล่อและใช้ถุงยางป้องกันอย่างดี คนถูกข่มขืนจึงน่าจะมีความสุขอย่างเต็มใจ

ถือเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดเปรียบเสมือนผู้หญิงที่ถูกข่มขืน โดยสามีถูกจับมัดให้นั่งดู ส่วนลูกถูกปิดตาให้ฟังแต่เสียง แทนที่แม่จะร้องอย่างทุกข์ทรมานกลับร้องครวญครางอย่างมีความสุข เพราะสมยอมคนข่มขืนที่รูปหล่อและสัญญาอะไรก็ได้ที่จะทำให้มีความสุขแม้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม

หยุดข่มขืนชาติ!

จึงเป็นความจริงที่เจ็บปวดและปวดร้าวของสังคมไทยที่ถูกบังคับให้ละเลย ไร้สำนึก มองข้ามเหตุการณ์ความโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นจากทหารนับหมื่นที่มีอาวุธสงครามและรถถังดาหน้าเข้าล้อมปราบประชาชนผู้บริสุทธิ์ คิดถึงเพียงความสุขที่อยู่ตรงหน้า ยอมรับขบวนการโกหก ตอแหล บิดเบือน อย่างหน้าชื่นตาบาน

สังคมไทยวันนี้จึงไม่ใช่แค่วิกฤต แต่ทั้งวิปริตและอาเพศ เพราะประชาชนหน้ายิ้มระรื่นยอมรับอำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลฉกฉวยมาใช้อย่างครอบจักรวาล ทั้งที่รัฐบาลก็แถลงเองว่าสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้สามารถควบคุมได้ ซึ่งหมายความว่าสถานการณ์ไม่ได้ฉุกเฉินเลวร้าย ขนาดนายอภิสิทธิ์ยังได้ใช้เวทีต่างประเทศที่เวียดนามประกาศชัดเจนว่าประเทศไทยกลับสู่ความสงบเรียบร้อยแล้ว แต่คล้อยหลังไม่กี่วันกลับยืด พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปนานนับเดือน และไม่มีทีท่าว่าจะเลิกใช้แต่อย่างใด

พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงเป็น พ.ร.ก.ฉกฉวย ที่ไม่ต่างอะไรกับการใช้อำนาจเผด็จการเพื่อกวาดล้างและปราบปรามประชาชนที่เป็นฝ่ายตรงข้าม

หยุด พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที! หยุดข่มขืนประเทศไทยได้แล้ว!