ที่มา ข่าวสด
ภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ถึงแม้ นายอภิ สิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะอ้างว่าสภาและประชาชนยังให้โอกาสรัฐบาลทำงานต่อไป
แต่จากตัวเลขผลการลงคะแนนในญัตติ
เน้นไปที่ในส่วนของ นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม และ นาย ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย 2 รัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย ที่ครองอันดับบ๊วยและรองบ๊วย
เนื่องจากส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดินบางกลุ่มเล่นเกมตลบหลังลงมติไม่ไว้วางใจและงดออกเสียง
ก็คือเครื่องสะท้อนธรรมชาติของ "รัฐบาลผสม" ที่แออัดยัดทะนานไปด้วยพรรคการเมืองและนักการเมืองหลากหลายสายพันธุ์
โดยเฉพาะรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ ที่มีความแตกต่างจากรัฐบาลผสมโดยทั่วไป เพราะไม่ได้เกิดจากการผสมพันธุ์กันตามธรรมชาติหลังการเลือกตั้ง
แต่เกิดจากการพลิกขั้วย้ายข้างทาง การเมืองหลังรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ประสบอุบัติเหตุถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากอำนาจ
รัฐบาลอภิสิทธิ์ ตั้งขึ้นมาโดยการอุ้ม ชูของ "ผู้มีบารมี" มากหน้าหลายตาทั้งในการเมืองและนอกการเมือง ตลอดจนกองทัพคอยให้การหนุนหลังทั้งในทางลับและเปิดเผย
ภาพของการจัดตั้งรัฐบาลจึงเป็นภาพของการตอบแทนบุญคุณกันขนานใหญ่ ผ่านการจัดสรรโควตาเก้าอี้รัฐมนตรี และการแบ่งเค้กงบประมาณ
พรรคใดได้มากได้น้อยขึ้นอยู่กับอำนาจการต่อรองซึ่งหมายถึงจำนวนเสียงส.ส.ที่มีอยู่ในมือ
พรรคภูมิใจไทยได้รับการปรนเปรอเอาอกเอาใจจากนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะผู้จัดการรัฐบาลมากเป็นพิเศษ
สร้างความอัดอั้นตันใจให้กับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ โดยเฉพาะพรรคเพื่อแผ่นดินที่มีสภาพเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพรรคภูมิใจไทยมาตลอด
ซึ่งไม่ต่างจากระเบิดเวลาที่เข็มกระดิกเดินอย่างเงียบๆ
ในช่วงเวลาเกือบปีครึ่งของรัฐบาลอภิสิทธิ์
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน หนึ่งในแกนนำพรรคภูมิใจไทย เคยกล่าวถึงรัฐบาลผสมชุดนี้ว่า เหมือนกับทุกคนตกอยู่ในอาการกลัวผีจนต้องหนีไปกอดกันที่มุมห้อง
สะท้อนภาพของรัฐบาลชุดนี้ได้ตรงที่สุด
พรรคร่วมรัฐบาล 5-6 พรรคที่กอดกันกลม ไม่ใช่เพราะรักกันดูดดื่มแต่เพราะกลัว "ผีทักษิณ" หลอกหลอน
นอกจากนั้นแล้วตลอดระยะเวลา 1 ปี 6 เดือนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ประสบปัญหาในการบริหารประเทศแทบทุกด้านทั้งการ เมือง เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และการต่างประเทศ
สัญญาประชาคมที่นายอภิสิทธิ์ เคยให้ไว้ในวันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี จำนวน 5 ข้อ
1.ปกป้องสถาบัน 2.เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ 3.ยึดหลักนิติธรรมและนิติรัฐ 4.ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต 5.สร้างความสมาน ฉันท์นำพาชาติพ้นจากวิกฤต
ก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง
กฎเหล็ก 9 ข้อซึ่งถูกกำหนดเป็นกรอบการปฏิบัติตัวและการทำงานร่วมกันของรัฐมนตรีทุกพรรค ถูกแหกละเมิดหลายครั้งหลายหนจนหมดความศักดิ์สิทธิ์
ถ้อยคำหรูๆ อย่างเช่น "ความรับผิดชอบทางการเมืองจะต้องสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย" กลายเป็นเรื่องล้อกันเล่น ไม่เป็นจริงในทางปฏิบัติ
ต้นทุนของนายอภิสิทธิ์ ที่ว่ามีอยู่สูง ถูกพรรคพวกกันเองกัดเซาะทำลายจนแทบไม่เหลือ
ขณะที่การเมืองนอกสภา เดินมาถึงจุดแตกแยกรุนแรงมากที่สุดเมื่อรัฐบาลตัดสินใจใช้ปฏิบัติการทางทหารเข้าสลายการชุมนุมของประชาชนคนเสื้อแดง
เป็นเหตุให้มีคนตาย 90 คน บาดเจ็บเกือบ 2,000 คน
แม้รัฐบาลจะดั้นด้นเอาตัวรอดจากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านมาได้
แต่กรณีของพรรคเพื่อแผ่นดินกับพรรคภูมิใจไทยก็เป็นโจทย์ยากข้อใหม่ให้ "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ต้องเร่งแก้ไข
ไม่เช่นนั้นขืนปล่อยให้กระแสความไม่ชอบธรรมจากเรื่องสลายม็อบจนมีคนตายเจ็บเป็นเบือ ไหลไปรวมกับปัญหาเสถียร ภาพภายในของรัฐบาล
ต่อให้รัฐบาลเทพประทานก็ยากจะฝืนอยู่ต่อไปได้
จากสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
พรรคภูมิใจไทยด่าทอพรรคเพื่อแผ่นดินกลุ่มที่ลงคะแนนไม่ไว้วางใจนายชวรัตน์ และนายโสภณ ว่าไม่มีมารยาท หน้า ด้าน ขณะที่ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดินโต้กลับว่าไม่ต้องการพายเรือให้โจรนั่ง
ยากจะสมานฉันท์กันได้อีกต่อไป
เดือดร้อนพรรคประชาธิปัตย์แกนนำรัฐบาลต้องเร่งหาทางเจรจาปรองดอง
แต่ด้วยความที่ยังต้องยืมจมูกคนอื่นต่อลมหายใจให้ตนเอง ผลเจรจาที่ออกมาจึงมีแนวโน้มว่าพรรคเพื่อแผ่นดินที่ "กำปั้น" เล็กกว่าพรรคภูมิใจไทยจะถูกปรับออกจากรัฐบาล
เหลือให้ลุ้นแค่จะถูกเขี่ยออกทั้งพรรค หรือเฉพาะ "กลุ่มกบฏ" แล้วริบ 3 เก้าอี้รัฐมนตรีคืนเพื่อนำมา เกลี่ยกันใหม่ ใช้เป็นรางวัลล่อใจพวกที่ยังเหนียวแน่น
ไม่ก็พวกที่จ้องเสียบภายหลัง
ขณะที่ส.ส.ประชาธิปัตย์ที่เคยพลาดเก้าอี้ในช่วงแรกจัดตั้งรัฐบาล ก็ฉวยจังหวะแปรวิกฤตเป็นโอกาส กดดันให้มีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีภายในพรรคเช่นกัน
สิ่งที่เป็นสัจธรรมในการปรับครม.ทุกครั้ง ก็คือแรงกระเพื่อมที่จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะเมื่อมีคนใหม่เข้ามาอย่าง นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ นายจุติ ไกรฤกษ์ และ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน
คนเก่าที่ถูกปรับออกอย่าง คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย นายไพฑูรย์ แก้วทอง นายธีระ สลักเพชร อาจจะไม่พอใจ
ยิ่งปรับหลายเก้าอี้ ความปั่นป่วนวุ่นวายยิ่งมีมาก
โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีที่ไม่ได้ยึดโยงกับผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และไม่ได้นับเอาเรื่องประสิทธิภาพหรือผลงานเป็นหลัก
แต่เป็นไปในลักษณะสมบัติผลัดกันชมนั้น
แทนที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลได้รับการฟื้นฟูเยียวยา กลับจะเป็นการกระชับวงล้อมตัวเอง
นับถอยหลังสู่การพังทลายเร็วขึ้นกว่าเดิม