ที่มา บางกอกทูเดย์ เหมือนจะคล้ายๆ กัน... ระหว่าง “การเมือง” กับ “ฟุตบอล” เพราะทั้งสองสิ่งนี้ เรียกความสนใจจากคนไทยได้อย่างมหาศาล!! “เด็กเล็ก” และ “ผู้หญิง” กลายเป็นสมาชิกในกลุ่มผู้ชุมนุม หรือ “ม็อบ”มากกว่าผู้ชายซะอีก แถมสามารถอธิบายและวิจารณ์ “การเมือง” ได้อย่างละเอียดยิบ!! “หญิงไทย”สมัยใหม่ ใช่แค่ “มือแกว่งดาบ-ปากแกว่งเปล”อย่างในอดีตแล้ว ในขณะที่ “ฟุตบอล” สร้างความไข้แดก ให้กับคนทั้งโลกคือ “ฟีเว่อร์” ผู้จัดคือ “ฟีฟ่า” มองการณ์ไกลในทิศทางที่ดี ให้ความใส่ใจกับ “เด็กเล็ก” เพราะถือว่า ยุวชน เหล่านี้ ชอบกีฬาฟุตบอลจะเห็นได้ว่า ทุกครั้งที่นักฟุตบอลระดับโลก จะต้องเดินเคียงคู่มากับ “เด็ก” ที่ทางฟีฟ่าจัดไว้ พร้อมประกาศไว้ทุกแมทซ์ว่า จะต้องเล่นบอลกันอย่างยุติธรรม!! เพื่อเป็นการ “ย้ำฝังลึก” ให้เข้า สู่จิตใจเด็ก ตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อโตขึ้นมา จะได้ไม่ต้องมาเป็น “ขยะพลเมือง” ของโลกต่อไป ที่สำคัญ “ฟีฟ่า” นอกจากจะจัดการแข่งขันแล้ว ยังเป็นผู้จัดการเรื่อง “กรรมการเป็นกลาง” ที่จะต้องเฟ้นหาเป็นระดับสุดยอดจริงๆ เพราะหากกรรมการไม่เป็นกลางแล้ว “เกมส์ฟุตบอล”จะหมดสนุกทันที!! และจะสร้าง “ความอึดอัด” ให้กับ “กองเชียร์” และผู้ชมส่วนกลางเป็นอย่างยิ่ง ทีมของ “กรรมการ” คือ “ทีมที่สาม” นอกจาก “สองทีม” ที่แข่งกันในสนาม “การเมือง” กับ “ฟุตบอล” มาสลับกันนิดๆ ถือว่านิมิตรที่ดีอย่างยิ่ง เพราะช่วยการเบี่ยงเบนความสนใจกับสิ่งร้ายๆ ได้มากกว่าที่รัฐบาลจะแก้ไข และเป็นช่วงที่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังออกมาเร่งแผนปรองดอง เพื่อให้คนในชาติ “สามัคคี”กันใหม่เพื่ออนาคตของประเทศชาติ จะเป็น “แผนปรองดอง” หรือ “จับมาดอง” ก็ต้องดูกันต่อไป เพียงแค่ส่งตัว “กรรมการ”ออกลงมาวิ่งในสนาม คนก็ครางกันฮือเพราะ คณิต ณ.นคร รู้ๆกันอยู่ในอดีตทำอะไรไว้ให้ค้างคาใจ ฝ่ายตรงข้าม.. สงสัยได้ดูบอลฝืดๆ อีกซะละมั้ง ฝ่ายนึง11คน และ อีกฝ่ายใช้14คน..ไม่อาย “ฟีฟ่า” บ้างหรือครับ!!