ในที่สุด กำหนดการรวมพลครั้งแรกของ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ภายใต้การบริการของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ก็ได้กำหนดวันออกมาเรียบร้อย
คนไทยหลายคนเห็นข่าวนี้แล้วก็ให้รู้สึกไม่สบายใจ เกรงว่ามันจะนำไปสู่การสร้างความวุ่นวายใหญ่โตเหมือนที่เคยเป็นมา
แต่อย่าลืมว่าเงื่อนปัจจัยครั้งนี้กับครั้งกระโน้นคือก่อน 19 กันยายน 2549 มันยังห่างกันลิบลับ...
ก่อน 19 กันยายน กลุ่มพันธมิตรฯก่อตัวขึ้นโดยมี นายสนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าของสื่อเครือผู้จัดการเป็นแกนหลัก และมีองค์กรภาคประชาชนอีกจำนวนหนึ่งเข้ามาเสริมทัพเพิ่มความเข้มแข็ง
โดยเฉพาะเป็นภาคประชาชนที่ถนัดนักกับการยืนตรงข้ามรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะทำอะไร จะประกอบด้วยใคร ใครเป็นนายกฯ
แล้วยิ่งบ้านเมืองขาดหายไปจากบรรยากาศการรวมตัวทางการเมืองขนาดใหญ่มานานหลายปี...การได้ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯจึงเป็นเรื่องที่มาตอบสนองความกระสันอยากจะต่อสู้เพื่อผดุงความยุติธรรมของคนกลุ่มนี้ เกิดเป็นกระแสสารพัดโหนอย่างที่เห็น
เมื่อรายชื่อผู้มีต้นทุนทางสังคมในขณะนั้น เช่น พิภพ ธงไชย สุริยะใส กตะศิลา พล.ต.จำลอง ศรีเมือง สมศักดิ์ โกศัยสุข สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ออกมาร่วมด้วย ชนชั้นกลางผู้เชื่อมั่นในบุคคลเหล่านี้จึงพร้อมเทใจให้
บวกกับการเดินเกมที่ผิดพลาดไปของรัฐบาลทักษิณ และตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เอง เช่น การขายหุ้นในเวลานั้น จึงยิ่งเป็นการราดน้ำมันบนถ่านไม้ที่แดงร้อนให้ปะทุเปลวไฟพวยพุ่ง...
แต่นั่น...ก็คือก่อน 19 กันยายน 2549
หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 “มิตร” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ล้วนได้รับบำเหน็จรางวัลกันถ้วนทั่ว ไม่ว่าจะเป็นอดีตนักการเมือง นักวิชาการ หรือกระทั่งสื่อมวลชน
โดยเฉพาะกลุ่มที่ควรได้รับความดีความชอบมากที่สุด ในฐานะผู้ช่วยกรุยทางให้การรัฐประหารก็คือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
การดำรงอยู่ของใครหลายคนในสภาร่างรัฐธรรมนูญบ้าง สภานิติบัญญัติแห่งชาติบ้าง องค์กรอิสระต่างๆ บ้าง เหล่านี้คือรูปธรรมของการต่างตอบแทนดังกล่าว
แต่ขณะเดียวกัน การสมประโยชน์กันเหล่านี้ ก็กลับทำให้เริ่มเกิดเสียงยี้ต่อกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าก็มีสถานะไม่ต่างจากเหลือบไร ที่แสวงหาโอกาสสูบกินผลประโยชน์มาเลี้ยงตัวให้อวบอ้วนอิ่มเอมก็เท่านั้น...
ยิ่งหลังจากช่วงฮันนีมูนระหว่างพันธมิตรฯ กับ คมช. เริ่มผ่านพ้นไป เกิดปรากฏการณ์ไม่ลงรอยทางผลประโยชน์ ผลตอบแทนไม่สมน้ำสมเนื้อ ใครบางคนในกลุ่มพันธมิตรฯเริ่มฟาดงวงฟาดงาใส่บรรดา”กัลยาณมิตร” ก็ยิ่งทำให้หลายคนตาสว่างว่า ตกลงที่ผ่านมามันเป็นเรื่องผลประโยชน์ประเทศชาติหรือผลประโยชน์เฉพาะของใครกันแน่...
สง่าราศีและชื่อเสียงของกลุ่มพันธมิตรฯ จึงลดเหลือเป็นแค่พันธมาร...อันธพาลทางการเมืองกลุ่มหนึ่งที่เหมือนว่าจะทำมาหากินด้วยการตบทรัพย์ใครต่อใครไปวันๆ ก็เท่านั้น
ดังนั้น ก่อนหน้าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะกลับมาขึ้นศาลเพียงไม่กี่วัน เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯพยายามกลับมาปลุกผีด้วยการตั้งโต๊ะแถลงข่าวสีหน้าซีเรียส
ผลตอบรับจึงกลับแผ่วเบา...เหมือนถูกปล่อยให้เต้นแร้งเต้นกาไปคนเดียว
หากจะมีผลสะท้อนกลับมาบ้าง ก็คงเป็นเหล่าบรรดานักวิชาการที่ออกมารุมสับความเหลวไหลเลื่อนเปื้อน ปั้นน้ำเป็นตัวของพันธมิตรฯ รวมถึงประชาชนหลายส่วนที่ออกมาโห่ฮาป่า เพราะบาดแผลจากการทำรัฐประหารด้วยฝีมือการเชิญชวนของคนกลุ่มนี้ยังร้าวลึก
กระแสตอบรับกับชื่อเสียงที่ตกต่ำสุดขีดแบบนี้ หากไม่โกหกตัวเอง แกนนำพันธมิตรฯย่อมต้องรู้ตัวดี
เหตุผลการรวมตัวของแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ภายใต้รูปฉากของการจัดรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดินภาคพิเศษ” ในวันศุกร์ที่ 28 มี.ค. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้น
มองในแง่หนึ่งอาจเป็นเรื่องชวนขบขันกับการพยายามปลุกปั้นผีขึ้นมาเพื่อความชอบธรรมในการเป็นผู้ปราบผีของพันธมิตรฯ ไม่ว่าจะ “รัฐตำรวจ” เอย “กลียุค” เอย...เหล่านี้คือบรรดาผีที่ถูกปั้นมาทั้งสิ้น
แต่หากมองอีกแง่หนึ่ง การจัดเวทีของพันธมิตรฯ ก็อยู่บนพื้นฐานของความน่าเห็นใจ เพราะอย่าลืมว่าขณะนี้ แนวร่วมพันธมิตรฯลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะองค์กรภาคประชาชนหลายกลุ่มที่เคยเป็นทัพสำคัญ ก็โบกมือลาจากไปนับตั้งแต่พันธมิตรฯ ประกาศของมาตรา 7 ในครั้งโน้น...
การพยายามจัดเวทีดังกล่าว จึงเป็นไปเพื่อสร้างกำลังใจแนวร่วมที่เหลืออยู่ให้รู้สึกว่ายังมีอะไรให้ทำ เพราะหากได้แต่ตั้งโต๊ะแถลงข่าวโดยไม่ลงมือทำอะไร ก็คงจะด้อยค่าหมดราคาในสักวัน
การนัดเจอกัน จึงเป็นการเช็คขุมกำลังทางหนึ่ง เป็นการตอบสนองมวลชนที่เหลืออยู่อีกทางหนึ่ง
ใครกังวลใจเพราะยังเข็ดกับความสามารถในการปลุกปั่นปั้นน้ำเป็นตัวของคนกลุ่มนี้ แม้ไม่ถือว่าฟุ้งซ่าน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะตีโพยตีพายไปก่อน เพราะอย่าลืมว่าขณะนี้ คนที่พันธมิตรฯเห็นเป็นศัตรูสำคัญที่สุดคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น ได้กลับมาดำเนินการถูกต้องภายใต้อำนาจศาลสถิตยุติธรรม
จึงไม่เหลือข้ออ้างให้ผู้ที่ต้องการตั้งตัวเป็น “ศาลเตี้ย” อย่างพันธมิตรฯ ได้อีก
พันธมิตรฯ จึงไม่สามารถจะทำอะไรได้มาก เพราะเหตุปัจจัยมันไม่เพียงพอ เว้นเสียแต่จะปั้นเอาอย่างที่ถนัด...
เพียงแต่ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า ยังมีคนที่หลงเหลือพอจะเชื่อน้ำคำพันธมิตรฯ อยู่อีกสักเท่าใด