ดื้อหน้าตาเฉย ขณะที่สังคมก็ก่นด่ากันทั่วแผ่นดิน เห็นๆ อยู่ว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ เห็นๆ อยู่ว่าการทำเช่นนี้จะแก้ปัญหาสังคมได้หลายเรื่อง แต่เพราะ “อัตตา” ที่สูง บวกกับ “โมหะจิต” ที่ล้นเหลือ จึงทำให้ความชั่วปิดบังนัยน์ตาได้อย่างมืดมิด และก็เป็นนัยน์ตาของคนผมสีดอกเลาถึง 11 คน ที่มานั่งรวมกันอยู่...???
ที่กล่าวมาทั้งหมด เห็นจะเป็นอื่นไกล หรือเป็นคณะบุคคลอื่นใดไปไม่ได้ นอกจาก คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. จำนวน 11 คน ประกอบด้วย 1.นายนาม ยิ้มแย้ม 2.นายแก้วสรร อติโพธิ 3.นายสัก กอแสงเรือง 4.นายกล้านรงค์ จันทิก 5.คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา 6.นายจิรนิติ หะวานนท์ 7.นายบรรเจิด สิงคะเนติ 8.นายวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ 9.นางเสาวนีย์ อัศวโรจน์ 10.นายอุดม เฟื่องฟุ้ง และ 11.นายอำนวย ธันธรา
เป็นคณะบุคคลที่ถูกแต่งตั้งขึ้นจากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. แล้วเปลี่ยนชื่อมาเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ซึ่งก็คือ คณะนายทหารที่ใช้กำลัง อาวุธยุทโธปกรณ์ของประเทศ เข้ายึดอำนาจ ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
ทั้งหมดถือเป็นกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นเป็นเผด็จการ อันเป็นภัยร้ายแรงต่อระบอบประชาธิปไตย อย่างยากจะปฏิเสธ...!!!
ดังนั้น คตส. ที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากนายทหารเผด็จการ ก็คือสมุนเผด็จการ คือคนรับใช้ของกลุ่มเผด็จการ และที่สำคัญ หัวใจของคนพวกนี้เป็นเผด็จการ
นั่นคือเรื่องจริงเรื่องแรก ที่ต้องพิจารณาถึงการเข้ามาทำหน้าที่ของ คตส. เป็นการเข้ามาทำหน้าที่อย่างไม่ชอบธรรม และมีเบื้องหลัง มีอคติอย่างท้วมท้น ที่มิอาจยอมรับได้ว่า คณะบุคคลกลุ่มนี้อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ที่ไม่เอนเอียง และจ้องเอาผิดถ่ายเดียว
แต่เมื่อ คมช. ต้องพับบทบาทไปแล้ว ทำไม คตส. จึงยังคงหน้าด้านอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ชอบธรรมนี้อีก ตำตอบเห็นจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจาก คตส. ยังคงจ้องทำลายล้างกระบวนการประชาธิปไตย ยังคงต้องการสร้างเรื่องให้กับรัฐบาลที่มาจากอำนาจของประชาชน ปั่นป่วน...!!!
นอกจากที่มาไม่ชอบธรรม เพราะเป็นสมุนเผด็จการที่จ้องล้มระบอบประชาธิปไตยแล้ว การดำเนินงานของ คตส. ยังส่อให้เห็นด้วยว่า “ลุแก่อำนาจ”...
เพราะหลังอัยการสูงสุดได้ตรวจสอบสำนวนหวยบนดินแล้ว เห็นว่ายังขาดความชัดเจนต่อการยื่นฟ้องร้องต่อศาล เสนอให้กลับไปสอบเพิ่มเติมถึง 5 ประเด็นหลักๆ ด้วยกัน พร้อมตั้งคณะกรรมการหารือร่วมกันก่อนดำเนินฟ้องร้องต่อศาล ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้
แต่ คตส. ไม่ไยดีต่อความเห็นของอัยการสูงสุดที่เป็นทนายแผ่นดิน กลับดันทุรัง พร้อมกล่าวหาว่า อัยการถูกการเมืองเข้าแทรกแซง แล้วลุแก่อำนาจ โยนเรื่องให้สภาทนายความร่างคำฟ้องยื่นต่อศาลอาญาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ โดยไม่ไยดีขั้นตอนของกฎหมาย
แถมตามติดสร้างเรื่องลดความน่าเชื่อถือรัฐบาลอย่างทันทีทันใด ด้วยการยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช ให้พิจารณาพักงานรัฐมนตรี 3 ท่าน ที่อยู่ในข่ายสำนวนหวยบนดินของ คตส. ทันที ทั้งที่ศาลยังไม่ได้ดำเนินการพิจารณารับหรือไม่รับฟ้อง...เลยเถิดถึงขั้นจะรีบหยิบยกสำนวนรถดับเพลิง ที่กล่าวหานายกรัฐมนตรีขึ้นมาทำอย่างเร่งด่วน ลุกลี้ลุกลน...
จึงเป็นอื่นไปไม่ได้อีก นอกจาก คตส. จงใจใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมที่ได้มาจากเผด็จการ ล้มล้างรัฐบาลของประชาชน...
จึงเป็นอีก 2 เหตุผลที่บ่งบอกได้ชัดว่า คตส. มีเบื้องหน้าเบื้องหลังในการทำหน้าที่ และเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม...???
และหากย้อนไปถึงที่มาของคดีหวยบนดินด้วยแล้ว ยิ่งเห็นได้ว่า คตส. กระทำการกล่าวหา เพื่อให้สิ่งที่ถูกต้องกลายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง โดยไม่นึกถึงความเดือดร้อนจากอาชญากรรมของสังคมที่เกิดขึ้นจากหวยใต้ดินแต่อย่างใดเลย
หน้าตาเฉย แม้จะรู้ดีว่าเจ้ามือหวยใต้ดินได้รับประโยชน์จากการกระทำของ คตส. อย่างมากมาย ไม่สนใจแม้การทำหน้าที่จะกลายเป็นการให้ประโยชน์กับเหล่ามิจฉาชีพ
ทั้งที่เจตนาการนำหวยใต้ดินขึ้นสู่บนดิน คือยุทธวิธีสยบกลุ่มก้อนอิทธิพลมาเฟียที่หากินอยู่กับการกระทำที่ผิดกฎหมายอื่นๆ อีกมาก ทั้งบ่อน ทั้งค้าของเถื่อน ทั้งค้ายาเสพติด ทั้งการใช้อิทธิพลมืดคุกคามประชาชน
จึงดูประหนึ่งว่า คตส. กำลังทำหน้าที่ล้างแค้นรัฐบาลในอดีต ที่เปิดนโยบายหวยบนดิน สร้างความบอบช้ำให้กับแก๊งเจ้ามือหวยใต้ดิน
ทำหน้าที่ราวกับว่ารัฐบาลและคณะรัฐมนตรีในอดีต และข้าราชการที่เกี่ยวข้องรวม 47 คน คือผู้ร้ายของสังคม ทั้งที่เหตุและผลของงานนำหวยขึ้นมาอยู่บนดิน ประจักษ์ชัดต่อสายตาของประชาชนทั้งประเทศแล้วว่า เป็นนโยบายที่ถูกต้อง
เพราะไม่เพียงจะสามารถหยุดยั้งอำนาจเถื่อนที่รังแกประชาชนมาอย่างยาวนานได้แล้ว รายได้ของหวยบนดินยังถูกนำไปใช้ในการให้การศึกษาแก่ผู้ยากไร้ และกิจการสาธารณประโยชน์อย่างท้วมท้น
นัยว่า มีเงินจากหวยบนดินขึ้นมาทำประโยชน์ได้ถึงกว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของไอเดียหวยบนดิน กล่าวว่า “เรื่องหวยเราทำเพราะเป็นเจตนาที่อยากจะเอาเงินของคนจนที่ถูกมาเฟียยึดไปมาคืนให้คนจน ในสภาพทุนการศึกษาให้ลูกหลาน แต่ว่าไอ้เงินที่มันขึ้นมาแล้ว หายไปไหน ไอ้ตรงนี้ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร ไม่รู้มันหายไปอยู่กระเป๋าใคร กระเป๋าพ่อค้าหวยหมด”
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงจากการหยุดหวยบนดิน อานิสงส์จึงไปตกอยู่กับเจ้ามือหวยใต้ดิน บ่อน ซ่อง และแก๊งค้ายา อานิสงส์ที่เป็นเงินมากมายหลายหมื่นล้าน ที่สามารถสร้างอิทธิพลครอบงำสังคมได้อย่างสบายๆ หรือแม้กระทั่งจะทำการใดเพื่อสกัดไม่ให้หวยบนดินเกิดขึ้น
และยิ่งชัดเข้าไปอีกเมื่อ รายงานของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. เปิดเผยในช่วงเดียวกันนี้ พบว่า คนไทยมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2549 โดยในไตรมาส 4 ปี 2550 เพิ่มขึ้นจาก 57,740 คดี เป็น 64,207 คดี โดยคดีสำคัญมาจากยาเสพติดที่มีการจับกุมเพิ่มขึ้นจาก 26,790 ราย เป็น 39,106 ราย หรือเพิ่มขึ้น 46% ทั้งนี้คดียาเสพติดในส่วนของผู้ที่กระทำความผิดกลุ่มเด็กและเยาวชนยังน่าเป็นห่วงเช่นกัน เนื่องจากเพิ่มขึ้นจาก 2,356 คดี เป็น 2,902 คดี หรือเพิ่มขึ้น 23.3%
นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ สคช. ยังกล่าวด้วยว่า ภาพรวมของคดีในปี 2550 มีทั้งหมด 255,688 คดี เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ประมาณ 10.6% ทั้งนี้ เป็นคดียาเสพติดถึง 141,839 คดี เพิ่มจากปี 2549 ที่มี 110,904 คดี หรือเพิ่มขึ้น 27.9% นอกจากนี้ ผลการศึกษาของ สศช. ยังพบว่าจำนวนเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีในสถานพินิจทั่วประเทศ เพิ่มจาก 36,080 คดี ในปี 2548 เป็น 51,218 คดี ในปี 2550
สำหรับสาเหตุที่อัตราความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินคนไทยลดลง นายอำพนระบุชัดว่า ส่วนหนึ่งมาจากหวยกลับลงไปอยู่ใต้ดิน เพราะไม่ใช่แค่เรื่องการซื้อขายหวยอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมอื่นๆ อีกมากมาย โดยจะเห็นว่าตั้งแต่ที่รัฐบาลประกาศเลิกหวยบนดิน ปรากฏว่าตัวเลขคดียาเสพติดและการจับกุมเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นตลอด ดังนั้น ควรนำหวยใต้ดินกลับขึ้นมาไว้บนดินให้ถูกต้อง
จึงขอว่าอย่ามองแต่เรื่องหวยเพียงด้านเดียว ว่าเป็นการมอมเมาหรืองมงาย เพราะถ้าเทียบจำนวนตัวเลขอาชญากรรมต่างๆ ในช่วงที่มีหวยบนดิน จะเห็นว่ามันลดลงมาก และเงินที่ได้มาแล้วเอาไปส่งเด็กเรียนต่างประเทศก็ไม่ใช่การกระทำที่ทำให้งมงาย เลขาธิการ สศช. กล่าวให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมา
เมื่อทุกกรณีได้บ่งชี้ชัดแล้วว่า คตส. กระทำการโดยขาดหลักของการให้ความยุติธรรม จึงไม่สมควรทำหน้าที่กล่าวหา หรือสอบสวนใครต่อไปทั้งสิ้น...
ถึงเวลาแล้วกระมัง ที่ต้องใช้อำนาจของประชาชนยุบคณะบุคคล คตส. ได้แล้ว อย่าปล่อยให้เหิมเกริม ใช้อำนาจของเผด็จการ ประหนึ่งเป็นกฎหมายโจร มาทำลายกระบวนการประชาธิปไตยที่เป็นอำนาจของประชาชนต่อไปเลย...!!!