เพราะความตระบัดสัตย์และทรยศต่อประชาชนของสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่ง จึงทำให้ผู้สืบทอดอำนาจของเผด็จการ ได้เข้ามามีอำนาจบนเก้าอี้ประธานวุฒิสภา และ ทำให้วุฒิสภาตกอยู่ภายใต้การชี้นำของเผด็จการ ที่ยังไม่ยอมพ่ายแพ้ให้แก่พลังของประชาชน ตรงกันข้ามยังวางแผนคิดโค่นล้มระบอบประชาธิปไตย อยู่ทุกวินาที
เป็นไปได้อย่างไรที่ สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จะไปยอมสยบนบนอบ มอบคะแนนให้แก่นายประสพสุข บุญเดช และสนับสนุนให้เป็นประธานวุฒิสภา ทั้งๆ ที่รู้ว่า นายประสพสุข เป็นตัวแทนสืบทอดอำนาจของระบอบเผด็จการ ที่มาด้วยระบบสรรหา เป็นตัวแทนของคน 7 คน มิใช่ตัวแทนของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย อย่างแท้จริง
ทั้งๆ ที่เผด็จการ คือ ศัตรูของประชาธิปไตย และเป็นผู้รวบริบอำนาจไปจากมือประชาชน แต่คนของระบอบประชาธิปไตย ที่ได้อำนาจมาจากประชาชน กลับนำความไว้วางใจของประชาชนไปกำนัลเป็นบรรณาการให้แก่เผด็จการ เพื่อแลกกับตำแหน่งและรางวัลที่เผด็จการสัญญาว่าจะมอบให้
แต่ก็เป็นไปแล้ว เมื่อ สมาชิกวุฒิสภากลุ่มหนึ่งจำนวนมากกว่าสิบคน ที่สังกัดกลุ่มนายนิคม ไวยรัชพานิช สว.ฉะเชิงเทรา และเป็นน้าชายของนายสุชาติ ตันเจริญ แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน ได้เทคะแนนที่ประชาชนมอบให้ ไปสนับสนุนนายประสพสุข ซึ่งเป็นคนที่ระบอบเผด็จการวางตัวไว้ให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจเผด็จการ ไม่ให้ล้มหายตายจากไป และคงอยู่กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของไทย ไปชั่วนิรัดร์ ตามความฝันของเผด็จการ
ตำแหน่งรองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่งของนายนิคม ไวยรัชพานิช เป็นพยานหลักฐานชิ้นสำคัญว่า สมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่งที่ประชาชนให้ความไว้วางใจเลือกตั้งมา ได้ยอมตนเป็นคนของเผด็จการไปแล้ว
การลงมติเลือกประธานวุฒิสภา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จึงมิแตกต่างจากการฆาตกรรมความไว้วางใจของประชาชน อย่างอำมหิต และเป็นการประกาศเจตนารมณ์ของระบอบเผด็จการ ที่มุ่งปองร้ายและโค่นล้มระบอบประชาธิปไตย อย่างครึกโครม
นอกเหนือจากคำบอกเล่า ก่อนการลงมติ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นจริง แต่ก็เป็นไปแล้ว และยืนยันด้วยผลการลงมติ พร้อมชื่อและสกุลของผู้ดำรงตำแหน่งประธานและรองประธานวุฒิสภา ยังมีเศษกระดาษชิ้นเล็กๆ ที่ปรากฎรายชื่อคนสามคน ที่ถูกส่งไปไว้ในมือสมาชิกวุฒิสภาบางคน ก่อนการลงมติ ซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่ตรงกับชื่อคนสามคนที่ได้ตำแหน่งประธานและรองประธานสมาชิกวุฒิสภา แบบไม่ต้องคาดเดาว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนการลงมติในห้องประชุมจะเกิดขึ้น
ข้อมูลจากปากต่อปาก มาถึงหูของผม และจำต้องนำมาถ่ายทอดให้ทุกท่านได้รับรู้ ก็คือว่า...
1. สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง 6 คน ถูกกักตัวไว้ไม่ให้มีสิทธิมาลงมติ ด้วยเงื่อนไขและวิธีการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ยังไม่รับการรับรองผลการเลือกตั้ง ให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยสมบูรณ์ เพราะว่า “มีผู้ร้องเรียนว่าการเลือกตั้งไม่สุจริต”
2. สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งจำนวนหนึ่ง ถูกข่มขู่จาก กกต.บางคน ว่า หากไม่ลงคะแนนตามใบสั่งที่ได้รับไป อาจจะมีผลกระทบถึงตำแหน่ง เพราะกกต.ยังมีอำนาจ แจกใบเหลือง ใบแดง ให้แก่ สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ทุกคนได้
3. สมาชิกวุฒิสภาทั้งประเภทสรรหา และมาจากการเลือกตั้ง จำนวนหนึ่ง ถูก (หัวใจและความโลภของตนเอง) บังคับให้รับเงิน และตำแหน่งประธานกรรมาธิการ ในสมาชิกวุฒิสภา แลกกับการลงมติตามโพยรายชื่อที่ได้รับ
4. สมาชิกวุฒิสภาประเภทสรรหาจำนวนหนึ่ง ถูกข่มขู่ว่าจะเปิดเผยประวัติ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อการเป็นสมาชิกวุฒิสภา ในอนาคต หากไม่ลงมติตามใบสั่ง
5. สมาชิกวุฒิสภาประเภทสรรหาจำนวนหนึ่ง ถูกทวงถามบุญคุณ ที่ได้รับตำแหน่ง และถูกตั้งข้อกล่าวหา “เนรคุณ” ไว้ล่วงหน้า พร้อมทั้งไม่รับรองว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากไม่ปฏิบัติตามที่รับปากกันมาแต่ต้น
คนสำคัญที่ผลักดัน นายประสพสุข บุญเดช อย่างออกหน้าออกตา ก็คือ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ซึ่งเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในกระบวนการสรรหา 74 สมาชิกวุฒิสภา ที่ประชาชนไม่มีโอกาสได้เลือกว่าจะ “เอา” หรือ “ไม่เอา” ตามเจตนารมณ์ของเผด็จการคมช.
ในขณะที่ คนสำคัญที่กดดันให้สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ต้องทรยศต่อประชาชนผู้เลือกตนมาทำหน้าที่ ก็คือ นายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรม การการเลือกตั้ง ผู้เป็นเพื่อนรักและมิตรแท้ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่ยั่งคงยึดมั่นต่อบุญคุณของเพื่อน ไม่เปลี่ยนแปลง และยังเป็นหนึ่งในเพื่อนที่เหลืออยู่น้อยคนของพล.อ.สนธิ ในวันนี้
แน่นอนว่า ไม่มีผู้มาจากการเลือกตั้งคนใด ไม่เกรงไม่กลัว อำนาจของประธานกกต. ที่มือ “ใบเหลือง” และ “ใบแดง” เป็นอาวุธปลิดชีพผู้ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน อยู่ในมือ
หลังปรากฎผลการลงมติเลือกประธานวุฒิสภา และรองประธานวุฒิสภา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก็ทำให้เห็นว่า เค้าลางแห่งความยุ่งยากของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่จะเดินหน้าพัฒนาประเทศ และประคับประคองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้นเสียแล้ว เนื่องเพราะในขณะที่ฝ่ายประชาธิป ไตย ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีชัยในสภาผู้แทนราษฎร แต่กลับพ่ายแพ้อย่างหมดรูปให้แก่เผด็จการในวุฒิสภา เนื่องเพราะบางคนที่เคยอยู่ในฝ่ายประชาธิปไตย กลับทรยศหักหลังประชาชน เพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนที่เผด็จการหยิบยื่นให้
ยังมิอาจจะคาดเดาได้ว่า การปะทะกันระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยที่มีประชาชนสนับสนุนกับฝ่ายเผด็จการ ที่มีจอมบงการผมขาวชี้นำสั่งการ จะปรากฎผลเป็นเช่นไร แต่บอกได้เลยว่าสงครามครั้งนี้ เต็มไปด้วยกลศึก และเล่ห์เหลี่ยม ตลอดจนผู้คนที่พร้อมจะทรยศหักหลังยืนอยู่เรียงรายและปะปนกันอยู่เต็มไปหมด
หากให้คาดเดาทำนาย ก็ต้องบอกว่าเห็นทีเคราะห์ร้ายจะยังไม่หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตลอดจนรัฐบาลของประชาชน ยังคงตกเป็นเป้าสังหารของระบอบเผด็จการ ที่กำลังฉลองชัยชนะกันอย่างครึกครื้นรื่นเริงยิ่งนัก หลังจากเอาชนะได้ในการประลองกำลังบนเวทีวุฒิสภา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
สุดท้าย ก็คงต้องไม่พ้นพลังของประชาชน ที่จะต้องรวมตัวกันเข้าต่อสู้กับระบอบเผด็จการที่ยังไม่ยอมพ่ายแพ้ และกำลังก่อการใหญ่ เล็งการณ์ไกลที่จะยึดกุมทุกอำนาจในประเทศ ทุกสถาบันไว้ในปกครองและปริมณฑลแห่งอำนาจของตนเอง แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ให้ผิดพลาดเหมือนเมื่อครั้งที่ คมช. ทำล้มเหลวมาแล้ว
วันนี้ ระบอบเผด็จการ เปลี่ยนผู้เล่น จาก คมช. และรัฐบาลสุรยุทธ์ มาเป็น ประธานวุฒิสภา ที่ชื่อ ประสพสุข บุญเดช โดยมีกำลังส่วนใหญ่อยู่ในสมาชิกวุฒิสภา และกำลังอีกส่วนหนึ่งที่ซ่องสุม รอจังหวะอยู่ทั้งในสภาผู้แทนราษฎร และในรัฐบาล
ภาพเหตุการณ์ความสงบของการเมืองไทย เพื่อที่จะเป็นปัจจัยหลักในการกอบกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำย่ำแย่ ดังที่พวกเราทุกคนคาดหวัง ว่าจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไป ดูท่าว่าจะไกลห่างออกไปทุกที จนยากจะเชื่อว่าวันที่รอคอยจะมาถึงได้ในเร็ววัน
ในขณะที่รัฐบาลของประชาชน กำลังสาละวันอยู่กับการแก้ปัญหาเพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชน แก้ไขสถานการณ์ข้าวยากหมากแพง เรียกความกินดีอยู่ดีกลับคืนมาสู่ชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ เผด็จการก็กำลังเอาจริงเอาจังอยู่กับการแย่งชิงอำนาจออกจากมือของรัฐบาล เพื่อมาเป็นของตนเองแต่เพียงผู้เดียว
ในขณะที่รัฐบาลสนใจเรื่องการบริหารประเทศ แต่ เผด็จการกลับสนใจแต่เรื่องการปกครองประชาชน
หากประเมินด้วยสายตาของประดาบ ยากเหลือเกินที่รัฐบาลจะเอาชนะเผด็จการได้ ในสภาวะที่มีคนพร้อมจะทรยศหักหลังประชาชน และกระโดดข้ามจากฝั่งประชาธิปไตย ไปอยู่กับฝ่ายเผด็จการ เพิ่มมากขึ้น
เว้นเสียแต่ประชาชนจะต้องแสดงพลังของตนเองออกมาในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยตัวจริง อย่าปล่อยทิ้งอำนาจของตนเองไปไว้ในมือของคนที่กำลังคิดทรยศหักหลังระบอบประชา ธิปไตย โดยไม่ใส่ใจไยดีต่อชะตากรรมของประชาชนและประเทศ ชาติ อีกต่อไป
เตรียมพร้อมกันให้ดี บางครั้งบางที อาจจะต้องถึงเวลาของการเมืองภาคประชาชน อย่างแท้จริง เสียที
อย่าให้ใครมาแอบอ้าง เป็นตัวแทนของพวกเรา แล้วไปอ้างสิทธิความชอบธรรมในการเป็นตัวแทนประชาชน เผาบ้านเผาเมือง ทำลายประชาธิปไตย ทำร้ายประชาชน ดังเช่นที่ผ่านมาในอดีต ได้อีก
สำหรับรัฐบาล และ พรรคพลังประชาชน ประดาบ ก็ได้แต่คอยเชียร์ และคอยเตือนว่าท่านกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ที่ประมาทไม่ได้แม้แต่กระพริบตาเดียว
ความเห่อเหิมในชัยชนะที่ประชาชนมอบให้
ความประมาทในการใช้อำนาจอย่างไม่ระแวดระวัง
ความเลินเล่อในการบริหารประเทศอย่างขาดไร้ซึ่งความรู้และความสามารถ
ความขัดแย้งแก่งแย่งตำแหน่งหน้าที่อำนาจและผลประโยชน์
ความเลวร้ายประดามีที่ก่อตัวขึ้นมาแล้วและกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล
เหล่านี้จะนำมาซึ่งหายนะแก่ท่านอย่างรวดเร็ว
การปรับตัวเอง ตามเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะ “ติเพื่อก่อ” เป็นความจำเป็นที่ท่านต้องรับฟัง มิใช่เหมารวมกันไปหมด ว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ทุกกระแสเสียงทุกทิศทาง ล้วนแต่เป็นเจตนาร้ายที่ไม่ประสงค์ดีต่อท่านไปเสียทั้งหมด
การไม่รู้จักแยกแยะ มิตรแท้ กับ มิตรเทียม
การมองไม่ออกระหว่างเจตนาดี กับ ประสงค์ร้าย
การเพิกเฉยต่อคำเตือนที่เปี่ยมด้วยหวังดี แต่ระรื่นหู ชุ่มฉ่ำหัวใจด้วยคำชมที่อาบยาพิษ
เหล่านี้จะนำมาซึ่งสถานการณ์ที่เลวร้าย กว่าที่ท่านจะทันรู้ตัว หัวก็ไปอยู่บนดาบของศัตรูเสียแล้ว
จะมองอย่างไร จะคิดอย่างไร กับสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ก็ล้วนเป็นภาระหน้าที่ของท่านที่จะต้องพินิจพิเคราะห์กันเอาเอง
แต่มิควรจะหลงลืมว่า เผด็จการที่ถูกทำลายด้วยน้ำมือประชาชน กำลังจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยความอ่อนแอ ล้มเหลว และขัดแย้งของผู้คนในรัฐบาล
ประดาบ
จาก hi-thaksin