WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Sunday, September 7, 2008

อีแอบ! ที่หนุนกระบวนการ พธม.

คอลัมน์: มุมแห่งความจริง

“อั๊วต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายบริหาร” นี่คือวาทะที่เป็นเหตุให้สถานการณ์การเมืองปั่นป่วนวุ่นวายมาจนถึงบัดนี้

มีคำถามมากมายว่า เหตุใด พันธมิตรฯ จึงฮึกเหิมห้าวหาญ และลุแก่อำนาจบังอาจเข้าทำการปฏิวัติในวันที่ 26 สิงหาคม 2551

การบุกเข้ายึด NBT และสถานที่ราชการต่างๆ รวมถึงทำเนียบ ต้องมีการวางแผนเป็นขั้นตอน มีทั้งฝ่ายยุทธศาสตร์ทางทหาร และยุทธการการเมือง
หน่วยข่าวเชิงลึก จับชีพจรได้ว่า วอร์รูมตั้งอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งหลังอาร์ซีเอ

ในวอร์รูมแห่งนี้ มีทั้งอดีตข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือนสายเหยี่ยว มีทั้งนายทหารและตำรวจระดับนายพลที่ยังไม่เกษียณ นั่งประจำการ สั่งการ กำกับการ พร้อมทั้งประสานงานกับสายการเมืองในสภาอย่างใกล้ชิด ทุกขั้นตอน

เป้าหมายต้องการสร้างสถานการณ์ให้เหมือนพฤษภาทมิฬ 2535 ที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับนักข่าวสาว ตวงพร อัศววิไล

จึงไม่น่าแปลกใจมากมายนักสำหรับคอการเมือง ที่เห็นพลพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ประธานที่ปรึกษา หัวหน้า เลขาธิการ ออกมาให้สัมภาษณ์อ้อมๆ แอ้มๆ หลังเหตุการณ์บุกยึด NBT สงบลง

และทันทีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปคุ้มกันเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี ที่พยายามนำเอาหมายศาลไปปิดประกาศ

สถานการณ์ที่วอร์รูมปรารถนาจะให้เกิด ก็เกิดขึ้นทันที เข้าทางอีแอบและวอร์รูมที่รอคอยด้วยความระทึก

และไม่นานจากนั้น ก็ปรากฏเงาของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ท่ามกลางฝูงชนที่ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

เป็นความชอบธรรมโดยบริสุทธิ์ หรือไม่??? ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องไปปลอบใจพี่น้องประชาชนที่เดินทางมาจากฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ โดยไม่สนใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน

แต่สังคมไทยและสังคมโลกกำลังสงสัยว่า นี่คือการแสดงออกซึ่งความเป็นผู้มีมนุษยธรรม โดยไม่มีวาระซ่อนเร้นของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง จริงหรือ

การที่จะได้อำนาจมา ควรใช้วิถีทางตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่สนับสนุนแนวทางที่ผิดกฎหมาย ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมและนิติรัฐ เฉกเช่นนี้

แม้จะมีคำถามจากปวงชนชาวไทยส่วนใหญ่ว่า คนนับหมื่นที่เดินทางมาจากภาคใต้ คือคนที่พรรคประชาธิปัตย์ขนมาร่วมทำการปฏิวัติกับแกนนำพันธมิตรฯ ใช่หรือไม่???

คำตอบของประชาธิปัตย์ ต้องบอกว่า ไม่ใช่ และไม่เคยสนับสนุน

แต่ความจริงคือว่า “ACTIOM SPEAKS LOUDER THAN WORDS” การกระทำบอกทุกสิ่งอย่าง

เพราะบรรดาพลพรรคที่เป็นแกนนำหลักของพันธมิตรฯ ล้วนเป็นพลพรรคของประชาธิปัตย์ ทั้งที่เป็น ส.ส. และ ส.ส. สอบตก

และยิ่งชัดเจนเมื่อระดับบิ๊กของพรรคประชาธิปัตย์ดาหน้าไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ทั้งๆ ที่รู้ว่าแกนนำพันธมิตรฯ คือกบฏของแผ่นดิน

บิ๊กประชาธิปัตย์ไม่สนใจแล้วว่า เวทีในทำเนียบที่ตนเองไปขึ้นนั้น พันธมิตรฯ กำลังยึดมาด้วยการทำผิดกฎหมาย และตนเองกำลังมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วย

ถ้านักการเมือง พรรคการเมืองในโลกนี้ กระทำการเฉกเช่นนี้ แล้วจะมีระบอบประชาธิปไตยไปทำไม

เมื่อนักการเมืองไม่ได้คำนึงถึงคุณธรรมจริยธรรมทางการเมือง ไม่สนใจผลกระทบต่อระบบสังคม ประเทศชาติ และวัฒนธรรมทางการเมือง โดยสิ้นเชิงเช่นนี้

หวังเพียงเพื่อให้ตนเองได้อำนาจบริหาร

เมื่อพันธมิตรฯ ประกาศชัดเจนว่า กำลังก่อการเพื่อเปลี่ยนขั้วทางการเมือง

พรรคประชาธิปัตย์ยิ่งต้องระมัดระวัง แต่นี้กลับรับดำเนินการเหมือนเป็นการรับลูกทันที

นี่คือข้อยืนยันว่า การกระทำใดๆ ของพันธมิตรฯ นั้น พรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธการเกี่ยวข้องไม่ได้แล้ว

ประชาชนที่มีความศรัทธาในพรรคประชาธิปัตย์ ที่อาสามาร่วมยึดอำนาจกับแกนนำพันธมิตรฯ ต่างก็ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อพรรคประชาธิปัตย์

ประชาชนเหล่านี้ ไม่เคยคิดด้วยว่า การกระทำเยี่ยงนี้ คือการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ขัดแย้งบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 63 ด้วย

ประชาชนเหล่านี้ ลืมแม้กระทั่งอันตรายที่อยู่เบื้องหน้าตน เพราะศรัทธาในพรรคประชาธิปัตย์

แทนที่ผู้ใหญ่อย่าง นายชวน หลีกภัย จะห้าม กลับกระทำการตรงข้าม โดยอภิปรายในสภาว่า ชาวตรังมาร่วมยึดทำเนียบด้วยความบริสุทธิ์

แต่คนที่อยู่ในกรุงเทพมาชุมนุมที่หน้ารัฐสภา เพื่อบอกพรรคประชาธิปัตย์ให้สำนึกในฐานะผู้แทนราษฎร กลับกล่าวหาว่าคนพวกนี้ถูกจัดตั้ง ซื้อมา

นี่แหละคือความคิดความเชื่อของ นายชวน หลีกภัย โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่ศรัทธาตนเลย

ส่วนนายอภิสิทธิ์นั้น บอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่กลับเดินหน้าไปหาพันธมิตรฯ เพื่อปลอบประโลมโดยรวดเร็ว

นี่แหละพระพุทธองค์จึงตรัสว่า “อิสสริยัง นะ มัชเชยยะ” อำนาจทำให้คนมัวเมา

เมาอำนาจ อยากได้อำนาจ จนกระทั่งลืมความเดือดร้อนของประชาชนที่ศรัทธาตนด้วยความบริสุทธิ์ใจ

สิ่งที่พลพรรคประชาธิปัตย์ นับลงมาตั้งแต่นายหัวชวน ถึงแกนนำพันธมิตรฯ ต่างเรียกร้องกล่าวหาอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ว่าไม่เคารพในกฎหมาย แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ซื้อทุกอย่าง และเรียกร้องให้อดีตนายกฯ ทักษิณ เดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

แล้ววันนี้พวกพรรคประชาธิปัตย์จะทำอย่างไร เก็บแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 9 คน ที่ถูกศาลออกหมายจับ และกำลังขัดขืนคำสั่งศาลอยู่ในขณะนี้

หรือนายหัวชวนจะบอกว่า นี่คืออารยะขัดขืนที่คนอย่างพวกตนเองเท่านั้นกระทำได้

ไหนนายหัวบอกว่า “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย” เมื่อศาลมีคำสั่งว่า การบุกยึดสถานที่ราชการ เพื่อยึดอำนาจรัฐคือ การกระทำที่เป็นกบฏ

การกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ยึดทำเนียบอยู่ในขณะนี้ ไม่จำเป็นต้องถามคนไทยก็ได้ ลองไปถามประชาชนในประเทศอื่นดูสิว่า สิ่งที่พวกนี้ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

คนที่มีความสามัญสำนึกเป็นปกติ คงไม่สามารถยอมรับการกระทำที่ผิดกฎหมายที่รุนแรงอย่างนี้ได้

คงไม่มีใครในโลกนี้ที่เป็นอารยะ ยกเว้นพลพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มองว่าการยึดสถานที่ราชการเป็นสิ่งที่เรียกว่า อารยะขัดขืน

ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นในอารยประเทศ คงไม่เกิน 1 ชั่วโมง ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ดังเราจะเห็นเหตุการณ์ของการต่อต้านคบเพลิงโอลิมปิกที่เกิดขึ้นในแถวประเทศยุโรป

ประเทศไทย คนไทยต้องยอมรับกฎกติกา ยอมรับกฎหมายบ้านเมือง

สังคมไทยจึงจะก้าวผ่านไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ประชาธิปไตยที่แท้จริง ต้องยึดตัวกฎหมายอย่างเคร่งครัด

มิเช่นนั้น สังคมไทยก็จะกลายเป็นอนาธิปไตย เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ที่ไร้ขื่อแป

คนใหญ่เจ้าของวาทะข้างต้นต้องยอมรับกติกาเสียบ้าง แล้วกระตุ้นให้พรรคประชาธิปัตย์รีบหันหน้าเข้าหาประชาชน นำเสนอนโยบาย

“มุ่งทำการเมืองที่จะทำให้ประชาชนมั่นใจว่า ประชาธิปัตย์เก่งการบริหาร มากกว่าการโวหาร”

จงเปลี่ยนความตั้งใจที่จะให้พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นสู่อำนาจแบบทางลัด หรือใช้มวลชนกดดันเสียตั้งแต่บัดนี้

ถ้าประชาชนที่มาจากฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์เดินทางกลับบ้าน แล้วบ้านเมืองก็จะกลับคืนสู่ภาวะปกติทันที

แต่ถ้าหากท่านยังคงถือหางอยู่อย่างนี้ ท่านนั่นแหละ ถือว่าเป็นผู้ทำลายสังคมโดยสิ้นเชิง

นึกถึงพุทธดำรัสบ้างว่า “อนิจจา วะตะสัง ขารา” อีกไม่นานท่านก็จะต้องจากโลกนี้ไป

จงทำดีไว้ให้ลูก ทำถูกไว้ให้อนุชนรุ่นหลังเถอะ

ผศ.ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์