คอลัมน์ : ละครชีวิต
“ไม่มีอะไรจะน่าเสียใจมากไปกว่าการพูดแล้วไม่คิด เหมือนกับคำสอนที่ว่า ก่อนพูด เราเป็นนายคำพูด หลังพูด คำพูดเป็นนายเรา"
คนเรานั้น พูดออกไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ และมากไปกว่านั้นคือการพูดสิ่งที่ไม่ดี คิดสิ่งที่ไม่ดี มันทำให้จิตใจของเราหม่นหมอง
ผมกำลังจะเข้าประเด็นที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์กันกว้างขวาง กรณีผู้บริหารบริษัทมือถือค่ายหนึ่ง สนับสนุนให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องจบปริญญาตรี
ผู้บริหารท่านนี้มองว่า “ปัญหาการเมืองของไทยหลักๆ วันนี้อยู่ที่การศึกษาของพลเมืองในประเทศ ตราบใดที่ยังมีการซื้อสิทธิขายเสียงกันอยู่ ปัญหาต่างๆ จะไม่ได้รับการแก้ไข
เพราะเมื่อมีการเลือกตั้งแล้วจะกลับมาที่ปัญหาเดิม ซึ่งหากจะแก้ไขปัญหาดังกล่าว ต้องแก้ไขด้วยเรื่องการศึกษา
ผู้บริหารท่านนี้เสนอว่า ให้คนจบปริญญาตรีเท่านั้นที่มีสิทธิเลือกตั้ง จากปัจจุบันกำหนดอายุไว้ที่ 18 ปี เพราะแม้เป็นมาตรฐานระดับหนึ่ง
แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จึงควรกำหนดมาตรฐานใหม่ เอาการศึกษาเข้ามา อาจจะนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น และจะส่งผลให้รัฐบาลต้องกำหนดให้ระดับปริญญาตรีเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานด้วย”
แม้ล่าสุดผู้บริหารท่านนี้จะออกมาขอโทษขอโพย แต่ก็ใช่ว่าปัญหาจะจบ แต่กลับลุกลามบานปลายไปกันใหญ่
เพราะหลายคนมองว่าเป็นการดูถูกดูแคลนคนไร้การศึกษาที่น่าหดหู่ และน่าเสียใจที่สุด
ลูกค้าของค่ายมือถือค่ายนี้ ต่างบอกยกเลิกการให้บริการกันจำนวนมาก ทำให้พนักงานต้องชี้แจงลูกค้าทาง Call Center
สรุปก็คือ “ขอโทษ” ที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล บริษัทไม่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบริษัทได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย การแสดงความคิดเห็นโดยใช้อคติส่วนตัวกีดกันคนอื่น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ไม่สมควรอย่างยิ่ง
สังคมไทยเรามีคนหลากหลายทางวัฒนธรรม หลายชนชั้น มีทั้งคนรวย คนจน คนชั้นกลาง และที่สำคัญคือ อัตราผู้ศึกษาจบปริญญาตรียังมีไม่มากนัก
ผมมองว่าแม้การศึกษาของคนไทยยังไม่ทั่วถึง เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคต่อการเรียนรู้ประชาธิปไตย
ใครจะมาดูถูกคนที่เรียนไม่จบชั้นปริญญาตรีว่า “โง่” นั้น ผมยอมรับไม่ได้เด็ดขาด เพราะปู่ย่าตายายของผม หรือของใครหลายๆ คน ก็เรียนไม่จบ บางคนแทบไม่ได้เรียนมาด้วยซ้ำ
แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศชาติบ้านเมือง ไม่เคยออกมาเรียกร้องการเมืองแบบ 70 : 30
ตรงกันข้าม กลับโดนเอารัดเอาเปรียบ ถูกกดขี่ข่มเหงมาหลายยุคหลายสมัย!
ในประเทศกำลังพัฒนาหลายๆ แห่ง กำลังเผชิญกับผู้ที่จบการศึกษาระดับสูง เป็นผู้มีหน้าที่การงานดี
แต่ก็ทำให้เกิดเหตุวุ่นวายในประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการศึกษานั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้สังคมสงบสุขได้
ดังนั้นผมอยากให้หลายๆ ฝ่ายช่วยกันหาทางออกให้กับประเทศ ด้วยการเรียนรู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ประชาธิปไตย” มากกว่าการวัดคุณค่าตัวปริญญา
จากเรื่องนี้ทำให้ผมคิดไปถึง นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ในฐานะประธานมูลนิธิสถาบันประชาธิปไตย ที่จะตั้ง “โรงเรียนประชาธิปไตย” หรือ “โรงเรียนการเมือง” เชิญประชาชนทุกกลุ่มศึกษาประชาธิปไตย
โดยให้ความรู้ด้านการเมืองแก่ประชาชนทั่วไป เพื่อสร้างองค์ความรู้อย่างรอบด้าน ขณะเดียวกันหากมีเหตุการณ์ใดๆ ในสังคมที่ไม่ถูกต้องตามหลักประชาธิปไตย ทางโรงเรียนก็พร้อมออกมาเคลื่อนไหวเพื่อให้เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตยที่ถูกต้อง
ผมหวังว่า “โรงเรียนประชาธิปไตย” จะเกิดขึ้น เพื่อส่งคนบางประเภท บางจำพวก ไปอบรมใหม่
บุคคลเหล่านี้จะได้กลับมาพัฒนาประเทศชาติ และไม่ดูถูกคนอื่นอีกต่อไป!
ลวดหนาม