คอลัมน์: Cover story
ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ผู้ประกาศข่าว NBT เล่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ “นักรบศรีวิชัย” สิ้นฤทธิ์ในการบุกเข้ายึด NBT ยันเห็นจะจะ ติดตาไปจนตาย หลังควง “ปืน-มีด-กระสุน-ไม้กอล์ฟ-ใบกระท่อม” เผยนาทีชีวิต ต้องหนีลงมาจากช่องลม ก่อน “เจ้าหน้าที่ วปอ.” เปิดรั้วช่วยชีวิต หลังจาก “พันธมารธิปไตย” ผู้บ้าคลั่งยังตามราวี เลยกลายเป็นผู้หญิงคนเดียวที่กล้าตะโกนสู้ข้ามรั้ว ลั่น ครั้งหน้ามาอีก จะขอสู้เพื่อพิสูจน์ศักดิ์ศรีสื่อมวลชนเอ็นบีที
** เล่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในปฏิบัติการไทยคู่ฟ้า บุกยึด NBT ในวันที่ 26 สิงหาคม 2551 ที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรขึ้น
ปกติแล้วบุ๋มอ่านข่าวอยู่ทุกวัน ตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ 06.00-08.00 น. ซึ่งตามปกติแล้ว ต้องมาถึงสถานีในช่วงเวลา 04.30–05.00 น. วันนั้นทราบมาก่อนหน้านั้นว่า NBT จะถูกพันธมิตรฯ มาบุก ที่เรียกว่าเป่านกหวีดครั้งใหญ่ ซึ่งที่เขาใช้มาหลายทีแล้ว นอกเหนือจากนั้น เขาเคยมาที่หน้าสถานีแล้ว ที่เอาพวงหรีดโยนลงคลอง เลยไม่ค่อยกลัว ไม่รู้สึกอะไรที่พันธมิตรฯ จะเดินไปโน่นมานี่ ไม่คิดอะไร รวมทั้งกองกำลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจค่อนข้างจะสบายใจ จากนั้นพอเริ่มแต่งหน้าสัก ประมาณตี 5 ครึ่ง พี่กุ้ง สร้อยฟ้า (นางสร้อยฟ้า โอสุคนธ์ทิพย์) มาถึงแล้ว พี่จิรายุ (นายจิรายุ ห่วงทรัพย์) กำลังตามมา
ก่อนเวลาตี 5 นิดๆ บุ๋มสังเกตเห็นด้วยสายตา มีกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 30 คน อยู่ดีๆ บุกเข้ามาในตึก ตอนแรกมีอยู่ประมาณไม่เกิน 10 คน แต่หลังจากนั้นบุ๋มเห็นว่าเดินอยู่ข้างนอกด้วย เดินข้างในด้วย ประมาณ 30 คน แต่ตามข่าวเขาบอกว่าจับได้ 82 คน ตกใจ! ว่าเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะต้องบอกก่อนว่า ตึกที่บุ๋มอยู่เนี่ย ด้านหน้าเป็นตึกโทรทัศน์ จะมีตึกในส่วนของรถโอบี และตึกของสถานีวิทยุกระจายเสียงอีกตึกหนึ่ง ทั้งหมด 3 ตึก เนื้อที่ค่อนข้างจะใหญ่ ไม่รู้ว่าเขาเดินไปไหนมาไหนกันบ้าง แต่ส่วนของบุ๋มที่เห็น ประมาณ 30 คนทั้งข้างนอกข้างใน
เท่าที่สังเกตแล้วท่าทางน่าจะเป็นพวกเดียวกัน ทีนี้มีพวกช่างภาพ ช่างไฟ เข้ามาด้วย ซึ่งพี่กุ้งเองนัดช่างภาพของเขาว่า จะไปทำข่าวเศรษฐกิจที่ปทุมธานี เขาต้องมาเบิกอุปกรณ์กล้องถ่ายภาพโทรทัศน์ ที่จับภาพได้ ที่ทุกคนบอกว่าเซตอัพหรือเปล่า? บอกได้เลยว่า ไม่ได้เซตอัพ เพราะว่ากล้องบังเอิญว่ามีตรงนั้น แล้วที่เขาบอกว่า พวกนั้นไม่รู้เลยเหรอว่าถ่ายอยู่ ซึ่งช่างภาพเขาเอาตัวรอดว่ากล้องเสีย ไม่ได้เดินขึ้นบ่า ใช้ลักษณะเดินอุ้มไป
** แต่ไฟกล้องมันเปิด
มันเปิดเป็นจุดๆ เท่าที่เปิดได้ แต่ขณะที่เขาขึ้นไปบุกยึดตามจุดต่างๆ บางคนในกลุ่มนั้นเขายังปิดคอมพ์ไม่เป็นเลย นี่เราไม่ได้ว่าเขานะ เขาเดินไปหาเจ้าหน้าที่ของเรา ตากล้องของเรา แล้วบอกว่า ปิดได้แล้วไม่มีการออกอากาศแล้ว ให้ออกไปจากตึก พอบอกให้ปิดคอมพิวเตอร์ เอ้า...ปิดยังไง...ปิดไม่เป็น เจ้าหน้าที่ของเราต้องเป็นคนปิด คือเขาตัดไฟเป็น ปิดไฟเป็น แต่เรื่องเครื่องคอมพ์เครื่องมือเขาไม่เป็น เหมือนตอนที่บุกไปที่สถานีวิทยุด้านหลัง แล้วเอามีดจี้คอพี่สุคนธ์ (นายสุคนธ์ ชัยอารีย์) ที่จัดรายการวิทยุอยู่ พี่เขายังบอกเลยว่า พี่เขายังต้องปิดสวิตช์เอง เพราะพวกนั้นปิดไม่เป็น
ตอนที่บุ๋มแต่งหน้าอยู่ในห้องชั้นล่าง อยู่ดีๆ มีชายคนหนึ่งเดินมาที่ห้องแต่งตัวของบุ๋ม แล้วบอกว่า หยุดแต่งหน้าแต่งตัวได้แล้ว ไม่มีการออกอากาศแล้ว ออกไปๆ พูดจาไม่ดีเลย แต่พวกบุ๋มมองกันเฉยๆ ไม่กลัว แค่ตกใจ แต่ไม่หนี เพราะเชื่อว่าตำรวจน่าจะเคลียร์สถานการณ์ได้ และน่าจะทำอะไรบางอย่าง แต่กลายเป็นว่าเขาได้รับคำสั่งมาว่าห้ามทำอะไรเลย เพราะถ้าทำอะไรนิดเดียวอาจทำให้สถานการณ์รุนแรงกว่านั้น ตอนนั้นพี่จิรายุเพิ่งมาถึง น้องเลขาฯ บุ๋มเพิ่งมาถึง เอารถมาแลกกัน และดูจากสถานการณ์บอกให้น้องเอารถอีกคันหนึ่งไปดีกว่า เพราะรถของบุ๋มเป็นเบนซ์สปอร์ต เดี๋ยวโดนทุบ ตอนนั้นประมาณ ตี 5 ครึ่ง
ด้านนอกมีกลุ่มพันธมิตรฯ ใส่เสื้อเหลืองปิดทางเข้าออกหมดแล้ว ด้านหน้า ด้านหลัง คือกลุ่มนี้เขารวมตัวกันที่สุทธิสาร ตั้งแต่ตี 5 แล้ว ดังนั้นรถออกไม่ได้แล้ว ซึ่งตอนที่ตี 5 ที่เขาเข้ามาในห้องแต่งตัวแล้วบอกให้ออกไป พี่จิรายุเข้ามาแล้วบอกว่า “พี่นี่อะไรของพี่เนี่ย!!!...นี่ห้องแต่งตัวของผู้หญิง พี่ไม่ควรจะเข้ามา” คนมามองๆ กัน เขาเดินออกไป สักพักมีเสียงโวยวาย เพราะว่าตำรวจเริ่มรวบตัวบางคนออกข้างนอก แต่บุ๋มต้องเตรียมสคริปต์ เพราะว่าต้องออกเป็นรายการสด
ตอน 6 โมง ซึ่งในห้องส่งวันนั้นกะเปลี่ยนประเด็นข่าวกัน และกลายเป็นเรื่องที่เขาบุก NBT ต้องเป็นการรายงานสด รายงานสดคือเอาเทปที่อัดได้ถ่ายกันสดๆ มาออนแอร์ให้เร็วที่สุด ตอนนั้นเกือบ 6 โมงเช้า มีการตรวจค้นเจออาวุธ มีทั้งปืนไทยประดิษฐ์ ปืน 11 มม. 1 กระบอก มีมีดสปาร์ต้า อย่างที่เป็นข่าว เหล็ก ไม้กอล์ฟ หนังสติ๊ก พร้อมลูกเหล็ก พร้อมใบกระท่อมอีก 30 ใบ ที่บุ๋มจำแม่นเพราะเป็นอะไรที่ติดตา และตื่นอกตื่นใจว่าไม่คิดว่าจะมีอาวุธบุกเข้ามาในสถานที่ราชการแบบนี้ ตอนนั้นเริ่มคิดแล้วว่า วันนี้คงจะหนักกว่าทุกคราวที่เคยเจอ บุ๋มเองเคยเจอแบบนี้ที่ไอทีวี แต่ไม่เคยมีอาวุธอะไรขนาดนี้ มีการปะทะด้วยวาจามากกว่า ไม่คิดว่านี่จะมีอาวุธ้
** ตอนที่กลุ่มพันธมิตรฯ เข้ามามีอาวุธไหม
ไม่มีค่ะ คือใส่แจ็กเก็ตหนังหนาๆ แต่ไม่รู้ว่าใส่ซ่อนอะไรไว้ข้างในบ้าง แล้วโพกผ้าสีดำ ที่ตรวจค้นจึงต้องรื้อแจ็กเก็ตกัน ส่วนน้องของบุ๋มที่อยู่ข้างนอกคอยส่ง Massage บอกสถานการณ์ว่ามีอะไรบ้าง เช่น ตอนนี้กลุ่มพันธมิตรฯ ขึ้นเวทีปราศรัยบอกว่าเรามีพวกอยู่ใน NBT นั่นแหละเป็นพวกช่างกล้องช่างไฟ ทีนี้ในส่วนของบุ๋มคือ รายงานกันไปเรื่อยๆ คนข้างนอกเข้ามาไม่ได้ เจ้าหน้าที่บางคนต้องใส่เสื้อเหลืองเดินเข้ามา เพราะไม่งั้นเข้าไม่ได้ มีเจ้าหน้าที่หิ้วปีก พี่กิตติ สิงหาปัด (นายกิตติ สิงหาปัด) นั่นละ นั่น...ไม่ใช่พวกของพันธมิตรฯ แต่เป็นพี่อยู่ใน NBT แต่ได้รับโทรศัพท์ล่วงหน้า เลยใส่เสื้อเหลืองเข้ามา
** ต้องแฝงตัวเข้ามาด้วยหรือ
ต้องแฝงตัว ไม่งั้นเข้ามาทำงานไม่ได้ ตอนนั้นมีพี่ตวงพร (น.ส.ตวงพร อัศววิไล) เข้ามาแต่งหน้าอยู่ เมื่อทราบสถานการณ์จะเข้ามารายงานสด ในกลุ่มนิวส์ไลน์ ซึ่งจะต้องมาออกอากาศต่อจากบุ๋ม เข้ามาไม่ได้เหมือนกัน ตอนนั้นเราจะมีการถ่ายทอดสดตามรถโอบีต่างๆ หน้าทำเนียบบ้าง หน้ากระทรวงการคลังบ้าง บก.02 บ้าง วันนั้นเลยเล่นกรณีสถานการณ์ในบางจุด การจราจรติดขัดบ้าง รวมทั้งสถานการณ์จริงที่ NBT เป็นการสลับการรายงานสด
จนกระทั่ง 8 โมงตรง ผู้อำนวยการสถานี (นายสุริยงค์ หุณฑสาร) มานั่งให้สัมภาษณ์เรื่องสิ่งที่เกิดขึ้น และท่านบอกว่า “ผมจะยืนหยัดถ่ายทอดจนวินาทีสุดท้าย” ให้สัมภาษณ์อยู่ดีๆ ท่านต้องออกไปรับโทรศัพท์ของผู้ใหญ่ ซึ่งช่วงนั้นบุ๋มคุยกันละ…2 คน ว่าเราต้องดำเนินรายการกันยาวแล้ว เพราะว่านักข่าวคนอื่นเข้ามาไม่ได้ สักพักมีการตัดภาพสัญญาณสด ด้านหน้าตรงประตูใหญ่ มันเริ่มโย้ มีการดันกันไปมา สักพักประตูเริ่มโย้หนัก
ซึ่งตอนนั้นบุ๋มเองเป็นคนพากย์ กำลังพูดว่า “ตอนนี้พันธมิตรฯ กำลังพังประตูของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีเข้ามาแล้วนะคะคุณผู้ชม...แต่ตำรวจเองพยายามสกัดกั้นอย่างเต็มกำลัง และพยายามไม่ใช้ความรุนแรงแต่อย่างใดค่ะ คุณผู้ชมคะตอนนี้กลุ่มพันธมิตรฯ กำลังพังประตูเข้ามาแล้วค่ะ...พังเข้ามาแล้วค่ะ” ทุกคนบอกบุ๋ม เหมือนพากย์มวยมาก พี่จิรายุบอกว่า “ครับเราจะทำจนวินาทีสุดท้ายนะครับ” พอเขาพังเข้ามาพี่เขาบอกอยู่ไม่ได้แล้วครับ...บุ๋มเองบอก “หนูไปล่ะค่ะ” แล้วมีการตัดสัญญาณเสียงไป คือเป็นภาพที่ประตูพัง และเฮกันเข้ามา ถือไม้ถืออะไร ตอนนั้นบุ๋มคิดว่า หรือว่าฉันจะนั่งอยู่ตรงนี้จนกว่ามันจะหิ้วปีกชั้นออกไปสมศักดิ์ศรีของการเป็นผู้ประกาศข่าว ให้มันรู้กันไปเลยว่าเราทำจนวินาทีสุดท้ายจริงๆ
แต่พอหันไปปีนห้องคอนโทรล มีคนวิ่งออกไม้แรกสวิตชิ่งออกไปแล้ว ส่วนพี่กุ้ง สร้อยฟ้า ดูสถานการณ์ข้างนอกว่าจะหาทางหนีทีไล่อย่างไร ตอนแรกเรามีการล็อกประตูเพื่อไม่ให้เข้า จากนั้นจะเห็นว่าเขาถีบประตูเข้ามากันตามภาพข่าว ทีนี้สักพักพี่ยุวิ่งไปที่ประตูหลังเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับเรียกบุ๋มให้ไป บุ๋มคว้ากระเป๋า แต่ดันลืมมือถือไว้ข้างใน ไว้ที่เก้าอี้ วิ่งออกไปกับพี่ยุ เจอพี่กุ้ง สร้อยฟ้า ยืนอยู่ จุดนั้นเป็นหน้าต่างช่องลม ประมาณ 2 บาน ความยาวพอดีเมตรหนึ่ง แต่ความสูงห่างจากพื้นตรงนั้น 2 เมตร ซึ่งมองว่าตรงนั้นมันใช่ทางลงหรือ และพี่ยุวิ่งไปดูที่ประตูหลังเพื่อหาทางออก
ส่วนพันธมิตรฯ ล้อมด้านนอกหมดแล้ว บุ๋มเปิดประตูห้องส่งไป แต่ต้องปิด เพราะว่ากลุ่มพันธมิตรฯ บุกเข้ามา พี่กุ้งเลยโยนเก้าอี้ไป เพราะว่าจะได้ลงตรงนั้นได้ง่ายๆ แต่มีน้องคนหนึ่งกระโดดลงไป ปรากฏว่าตอนนี้เธอแขนม่วงอยู่ เพราะว่าไปกระแทกกับขอบหน้าต่าง แล้วตามด้วย...พี่กุ้ง แล้ว...บุ๋ม แล้วเรียก...พี่ยุลงมา
ซึ่งตอนนั้นคิดตลอดว่า หรือจะยืนสู้กันกับพวกนั้นดี คือในหัวคิดสู้ตลอด แต่ไม่ทันไรเห็นกลุ่มพันธมิตรฯ ล้อมด้านหลังไว้แล้ว มาที่มุมตึกพร้อมกับไม้ เลยวิ่งหนีไปทาง วปอ. ซึ่งด้านหลังของช่อง 11 มีรั้วเล็กๆ วิ่งหนีออกมาจากตรงนั้น จากนั้นมีการล็อกทันที พวกพันธมิตรฯ วิ่งมาแล้วด่าเลยว่า “พวกทรราช ไอ้ทรราช” เราพูดสวนไปว่า “เฮ้ย!…พูดจาดีๆ สิวะ พวกเราสื่อเป็นกลาง” เขาพูดว่า “เป็นกลางอะไร...รับใช้รัฐบาล” ยืนด่ากันสักพัก พี่เขามาลากตัวบุ๋มกลับไป แล้วบอกว่า “แกหาเรื่องตายเหรอ...!!!...”
ตอนนั้นเริ่มห่วงน้องเลขาฯ ว่าจะออกมาอย่างไร เราพยายามติดต่อน้อง โทร.ไม่ติด กระเป๋าตังค์ไม่มี แถมตอนบ่ายต้องไปเป็นพิธีกรที่อุบลราชธานีอีก ไม่มีอะไรสักอย่าง บัตรประจำตัวประชาชนล่ะ ใส่รองเท้าแตะกับกางเกงเลอ่านข่าวอีก มันไม่ใช่สภาพดีๆ ที่จะขึ้นเครื่องได้อย่างสบาย จากนั้นโทร.หาเพื่อนให้ออกมารับ จากนั้นโทร.ติดต่อน้องเอ้ และบอกว่าให้ย่องเข้าไปในสตูดิโอหน่อย เอามือถือออกมาด้วย แต่น้องเขาไม่รู้เลย ไม่เคยเข้า จากนั้นประมาณ 20 นาทีน้องเขามาที่รั้วได้ น้องเล่าให้ฟังว่าเห็นสดๆ เลยว่าพันธมิตรฯ กำลังถีบประตูกระจกพัง และพี่ช่างภาพชื่อพี่จ่อย พาน้องเขาวิ่ง แล้วเข้าไปในสตูฯ เพื่อหยิบโทรศัพท์ให้บุ๋ม แล้วมาที่ช่องลมเดิมเพื่อมาหาบุ๋ม พันธมิตรฯ เห็นพอดี แล้วบอกว่า “ช่องนี้ขึ้นได้นี่หว่า มึงอย่าปิดนะมึง” พี่เขารีบพาน้องเอ้วิ่งไปแอบที่ห้องตัดต่อ แล้วสักพักค่อยๆ ผสมไปกับพวกกลุ่มพันธมิตรฯ เรื่อยๆ เพื่อออกมา เพราะเขาไม่ได้ใส่เสื้อ NBT
สิ่งที่บุ๋มเจอในสถานการณ์นั้นมันหลากหลาย นั่นคือ “ความกลัว” บุ๋มเห็นสีหน้าความกลัวของคนบางคน อย่างบุ๋มเองฮึกเหิมจะสู้ ไม่ชอบการใช้กำลังกัน จะฉุนมาก แต่เขามีอาวุธ เราเองมีลูก เราต้องคิดอะไรให้หนักกว่าเดิม อารมณ์คนบางคนยืนงง บางคนอยากดูเฉยๆ และเห็นน้ำใจของคนไทย บุ๋มไม่มีมือถือ ไม่มีตังค์ มีคนหนึ่งซึ่งไม่รู้จักกันมาก่อนเลยนะ ยื่นเงินให้บุ๋มหนึ่งพันบาท ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งใน NBT นี่แหละที่วิ่งหนีกันมา เขาบอกว่าเอานี่...หนีไปก่อนนะบุ๋ม มันชัด ถ้าหนีได้ หนีไปก่อน บุ๋มบอกว่าไม่หนี จะดูสถานการณ์ไปก่อน น้องเลขาฯ บุ๋มอยู่ที่นั่น
เราห่วงอะไรหลายอย่าง แต่นี่...คือสิ่งที่เรียกว่าน้ำใจคนไทย ท่ามกลางอะไรหลายๆ อย่าง แล้วพี่สรยุทธ (นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา) โทรศัพท์สัมภาษณ์พี่จิรายุ ตรงนั้นพอดี และพี่เขาวิ่งไปด้านหน้า และพี่เขาให้สัมภาษณ์ว่า “เราปีนหนีออกมาทางช่องลม คุณบุ๋ม ปนัดดา ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย ซึ่งตอนนั้นเขาครูดกับกำแพงตอนปีนลง” และบอกว่า “ตอนนี้ผมหาคุณบุ๋มไม่เจอ ตอนนั้นชุลมุนวิ่งหันซ้ายหันขวา ยังไม่เจอกันเลย” เท่านั้นแหละมีโทรศัพท์เป็นร้อยกว่าสาย พร้อม Massage เข้ามือถือบุ๋ม 3–4 เครื่อง โทร.มาเป็นห่วงว่าเราอยู่ไหน เป็นอะไรหรือเปล่า
แต่เรื่องที่คิดอยู่สิ่งหนึ่งคือ อยากทำอะไรก็ทำ แต่ก่อนหน้านั้น 1 วัน บุ๋มไปยืนรอรับนักกีฬาโอลิมปิกที่สยาม บุ๋มเห็นสีหน้าของคนไทยยิ้มแย้ม แจ่มใส ดีใจ มีเสียงของการโห่ร้องอีกแบบหนึ่ง มีเสียงแห่งความเป็นปลื้มมากที่ได้เจอฮีโร่ของเมืองไทย แต่อีกวันหนึ่งเจอเสียงโห่ร้องอีกแบบหนึ่ง แต่รูปแบบและความหมายแตกต่างกัน มีเสียงโห่ร้องเหมือนกัน แต่เป็นอีกแบบหนึ่ง มันยังรู้สึกดีใจสุดๆ กับเศร้าสุดๆ ทำไมคนไทยไม่เป็นเหมือนเมื่อวาน เมื่อวานฉันยังดีใจสุดๆ แต่ทำไมวันนี้ถึงเจอเรื่องเศร้าสุดๆ ต้องถึงขนาดจะฆ่าจะแกงกันเลยเหรอ เราเรียนประวัติศาสตร์มานาน เราเสียกรุงศรีเพราะคนไทยเราเอง ไม่ใช่ใครอื่น ภาวะเศรษฐกิจเมื่อก่อนเราเป็น 5 เสือแห่งเอเชีย ตอนนี้เราเป็นลำดับสุดท้ายแล้ว เพราะสิ่งที่เรากำลังทะเลาะกันอยู่ ประเทศชาติไม่พัฒนาเลย คุณเคยใส่ใจตัวเลขตรงนี้บ้างไหม
ในฐานะที่ดิฉันเคยเป็นทูตวัฒนธรรม บอกได้เลยว่าพยายามประชาสัมพันธ์ให้กับประเทศไทย และทุกวันนี้ยังทำอยู่ เมื่อเวลาเดินทางไปต่างประเทศ เคยทำงานในผู้ชำนาญการ คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ พาณิชย์ และอุตสาหกรรม วุฒิสมาชิก ก่อนที่จะมีการปฏิรูป ได้เห็นความพยายามและไม่พยายามของคนอีกหลายคน เลยรู้สึกว่าเมืองไทยจะไปในรูปแบบไหน ถ้าเหตุการณ์ร้ายยังเกิดขึ้นได้ มีการบุกยึดสถานีและสถานที่ราชการ แต่วัตถุประสงค์จริงๆ คืออะไร หากต้องการล้มรัฐบาล หรือต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลง นี่...คือ...ทางออกจริงๆ หรือ? จะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นไหม?
พอบุ๋มถึงสนามบิน จำได้ว่า Gate 38 ซึ่งอยู่ข้างในสุด สายตาทุกคู่ที่มองบุ๋มเป็นตาเดียวว่า นี่เพิ่งหนีจากพันธมิตรฯ มานี่...ท่ามกลางสายตาเหล่านั้น เห็นหลายอารมณ์ หมายถึง สายตาที่ 1 คือ ตกใจวิ่งมาถึงนี่เลยหรือ สายตาที่ 2 เป็นห่วง และอีกสายตาคือ สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น บุ๋มเชื่อว่าหลายคนยังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีประชาชนคนไทยเป็นผู้หญิงคนหนึ่งถามบุ๋มว่า ถ้าทะเลาะกันเอง ทำไมไม่มาคุยกันเองไปเลย คนไทยตาดำๆ จะตายกันอยู่แล้ว ทะเลาะกันอยู่ได้ คำพูดนี้ทำให้คิดอะไรได้หลายอย่าง ทำไมผู้นำรัฐบาล ผู้นำฝ่ายค้าน และพันธมิตรฯ คุณมานั่งคุยกันเลย ทะเลาะกันต่อยกันในนั้น จบ...
แต่ ณ วันนี้ คุณเอาคนที่รู้บ้างไม่รู้บ้างมา การทำหน้าที่เป็นสื่อทำให้รู้ว่า ความเป็นกลางไม่ใช่จะทำได้ทุกสิ่ง ไม่รู้ว่าพูดไปจะโดนอะไรหรือเปล่า แต่เชื่อว่าเป็นความจริง แต่สื่อคือฟันเฟืองที่จะทำให้ขับเคลื่อนไป แต่ประชาชนต้องใช้วิจารณญาณให้เยอะที่สุด ในการรับรู้ข่าวในช่วงสถานการณ์อย่างนี้ เราต้องรับและกรอง และทำใจบ้างว่าดูละครที่ตบไปตบมาสักเรื่องหนึ่งแล้วทำใจ คงจะสบายใจมากยิ่งขึ้น พอมาอยู่ตรงนี้ ทำให้เห็นว่าทำไมต้องมีประชาชนตาดำๆ บาดเจ็บ ต้องมานั่งทรมานร่างกาย เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นใจเหรอ มันไม่ใช่อ่ะ
** วันนั้นมีการออนแอร์กันข้างนอก มีหลายคนสงสัยว่าทำไมมันดับแล้วยังติด ออนแอร์ต่อได้อีก
ต้องบอกว่ารับสัญญาณของ NBT จะไม่เหมือนช่องอื่นๆ ถ้าพันธมิตรฯ บุกช่อง 3, 5, 7, 9 อาจไม่เป็นอย่างนี้ เพราะเหล่านั้นเป็นสัญญาณดิจิตัลแบบ ASTV มันจั๊มพ์สายกันได้ แต่ช่อง 11 เป็นระบบเก่า “อนาล็อก” เวลาที่เราออนแอร์ 06.00-08.00 น. เป็นข่าวเช้า 08.00–09.00 น. เป็นนิวส์ไลน์ มีเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่ส่วนภูมิภาคอื่นเป็นข่าวภูมิภาคตามจุดศูนย์ข่าวต่างๆ ของช่อง 11 ต่อให้ที่กรุงเทพฯ ถูกยึดสัญญาณ ที่มีการยิงสัญญาณที่ตึกใบหยก ต่อให้ยึดตึก NBT เราสามารถยิงสัญญาณจากรถโอบีได้ เพราะเรายิงสัญญาณที่ตึกใบหยก ดังนั้นแม้เราจะแอบตามมุมไหนของกรุงเทพฯ แต่ถ้ามีรถโอบีเราสามารถออนแอร์ได้
** มีความพยายามของพันธมิตรฯ ที่จะยิงสัญญาณ ASTV จริงหรือไม่
มีค่ะ มีประมาณ 15 นาทีได้ มีความพยายามที่จะลิงก์อยู่แต่ไม่สำเร็จ ระบบคนละระบบ แล้วมีน้องคนหนึ่งไม่รู้คนไหน ดึงคีย์การ์ดในการเชื่อมสัญญาณออก ขณะที่มีเรื่อง เป็นความฉลาดของน้องคนนั้น ซึ่งต่อให้ยึด NBT ได้ ตึกใบหยกได้ เราสามารถยิงสัญญาณจากเชียงใหม่ มหาสารคาม เลย ปัตตานี ฯลฯ ได้ ดังนั้นไม่สามารถทำลายช่อง 11 ได้ ช่อง 11 มีศักยภาพในการถ่ายทอดสดที่ดีที่สุดในประเทศไทย เพียงแต่ยังใช้ไม่คุ้ม...พูดได้แค่นี้
** มีคำถามชี้นำจากสื่อสารมวลชนบางช่อง พยายามชี้นำข่าวสาร โดยตั้งข้อสงสัยว่า NBT มีการจัดฉากหรือเปล่า รู้สึกอย่างไร
มันคือเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ที่มันมีภาพชัดและเร็วขนาดนั้น และอีกอย่างหนึ่ง ทำไมตำรวจไม่ทำอะไรเลย คือมันต้องมาอยู่ตรงนั้น ถึงจะรู้ว่าตำรวจยังงงอยู่เลย (หัวเราะ) นึกว่าจะมาเป็นเสื้อเหลือง ไม่คิดว่าจะเป็นนักรบศรีวิชัย ถามว่าจัดฉากหรือเปล่า คงไม่ เพราะเราไม่เอาอะไรที่อันตรายมาเล่นอย่างนั้น และพี่นักข่าวคนนั้นกล้าออกมาบอกว่า ผมเป็นคนถ่ายเอง มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะจัดฉาก เราอยู่ตรงนั้น เห็นสถานการณ์มาโดยตลอด มันเป็นกลุ่มเดียวกัน
มันเป็นเรื่องยากหากจะจัดฉากจริง คงมีอะไรมากกว่านั้นอีกเยอะ คงไม่จบง่ายๆ อย่างนี้ ถ้าจะถามว่ากลุ่มแรกเนี่ย เป็นกลุ่มของพันธมิตรฯ หรือเปล่า ซึ่งคุณสุริยะใส (นายสุริยะใส กตะศิลา) ออกมาปฏิเสธ เราไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า แต่จากการแต่งตัวพร้อมกับมีผ้าคาดศีรษะเขียนว่า “กู้ชาติ” ไม่รู้ว่าจะมาจากกลุ่มไหนเหมือนกัน...(หัวเราะ) คือไม่ใช่ว่าทุกคนแต่งแบบเดียวกันหมด มีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ที่แตกต่าง แต่มีการใช้ผ้าสีเหลืองคาด บางคนใส่สีดำหมดเลย เรายังรู้ว่าพวกไหนพวกไหน อย่างน้อยไม่ใช่พวกของ NBT ซึ่งเป็นเรื่องที่ปกติเวลามีประเด็นอะไรเกิดขึ้นในสังคม ก็ตั้งข้อสังเกตได้ว่ามีการจัดฉากหรือเปล่า สื่อสามารถจะหาข้อพิสูจน์ได้ว่าใช่หรือไม่ใช่ ดีแล้วละที่เขาถาม ที่เขาใส่ใจ ดีกว่าที่จะไม่นำเสนอ
** ไม่คิดว่าเขาจงใจบิดเบือนข่าวสาร
ถ้าหากว่าบิดเบือนข่าวสารและการชี้นำประเด็นคืออีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องจรรยาบรรณ ช่วยไม่ได้...!!! หากเขามีความเชื่อที่จะคัดค้าน คนเรามีอคติอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว จะไปเปลี่ยนตรงนั้นมันยาก ดังนั้นคิดว่าดีแล้ว ให้สังคมพิจารณาเอง ถ้าหากว่าเป็นการจัดฉากดิฉันจะไม่หนีหรอกค่ะ จะนั่งสวยๆ ให้มีคนมาดึงออกจากเก้าอี้ แล้วจะเดินเชิดอย่างภูมิใจออกไปทางประตูหน้าเลย ถูกไหม...ให้เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
** ส.ส. ประชาธิปัตย์มีการอภิปรายในที่ประชุมสภาว่ามีการออกอากาศเยอะเกินทั้งวี่ทั้งวัน สำหรับภาพเหตุการณ์นักรบศรีวิชัย การออกมาพูดจาลักษณะนี้มองว่าเป็นการคุกคามสื่อไหม เพราะพรรคนี้ชอบกล่าวหาคนอื่นว่าคุกคามสื่อ
ช่วยไม่ได้ค่ะ คือมีช่องเราช่องเดียวที่ถ่ายได้ มันคือเรื่องที่เกิดกับช่อง และไม่มีข่าวอื่นแรงไปกว่านี้อีกแล้ว ในความรู้สึกของเราที่เราเจอแบบสดๆ ร้อนๆ มันช่วยไม่ได้ แต่ละคนอยากเสนอความคิดเห็นในแต่ละมุมว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการอย่างไร มันคือความคืบหน้าของคดี ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะมีการตามข่าวหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ตัวของเจ้าของควรจะต้องตามข่าวว่า 82 คนจะถูกอะไรบ้างที่ทำอย่างนี้ อยากให้เป็นบทเรียน แต่จะเยอะหรือน้อยขึ้นอยู่กับความรู้สึกของแต่ละคน แน่นอนถ้าเขารู้สึกให้พันธมิตรฯ มันอาจจะมากไป คนที่ไม่ชอบรัฐบาลต้องบอกว่าเยอะไปหรือเปล่า ทำไมไม่มีข่าวเราบ้าง...แค่นั้นแหละ
** เรื่องเวิลด์เทรดของสหรัฐอเมริกา สื่อสารมวลชนของเขายิงชอตนี้ตลอดทั้งวัน กว่า 2 สัปดาห์ เขายังไม่มีคนเดือดร้อนเลย ทำไมพรรคประชาธิปัตย์เดือดร้อนเสียเหลือเกิน วิเคราะห์กันไหม
ยิงทั้งวันแหละคุณ เวิลด์เทรดมันหนักกว่านี้เยอะ มันพวกก่อการร้าย ถ้าเกิดข่าวไหนใหญ่เราให้ความสำคัญกับข่าวนั้น ถ้าเกิดที่พรรคคุณ คุณเองต้องนำเสนอเหมือนกันแหละ
** เหตุการณ์คุกคามสื่อมันลามไปยังช่องต่างๆ หนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับ คิดว่ามันจะบานปลายไหม
คือเป็นการมองสื่อมวลชนในแง่ร้าย และเหมารวม นั่นคือการคุกคามสื่ออย่างแท้จริง สื่อเองพยายามทำหน้าที่ การนำเสนอในแง่ข้อเท็จจริง ต้องการนำภาพจริงมาเสนอ ต้องลงในสถานที่จริง ถ้าสื่อทำงานแล้ว เรารู้ว่าการก้าวเข้ามาทำงานในที่แบบนี้ย่อมไม่ปลอดภัยทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง ข่าวสังคม อาจจะไปกระทบต่อความรู้สึกใครหลายๆ คนเขาไม่อยากให้เกิด การต่อต้านมันออกมาหลายรูปแบบ การด่าทอ ร้ายสุด!!! คือ การทำร้ายร่างกาย
ดังนั้นคนทำหน้าที่สื่อต้องระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น เมื่อรู้ว่าสถานการณ์ทางบ้านเมืองมันไม่มั่นคง และไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางด้านจิตใจของแต่ละคนเป็นอย่างไร กลุ่มพันธมิตรฯ เขานั่งประท้วงมานาน เขาเกิดแรงดันในตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน เขาใกล้ถึงขีดสุดเหมือนกัน ยังค้นหาตัวเองว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่ที่แน่ๆ คือล้มล้างรัฐบาล ในเมื่อเป็นคำตอบที่สุดโต่ง สุดขีด และขีดเส้นตายขนาดนั้น ดังนั้น ความกดดันเขาต้องมีเยอะ ดังนั้นจึงอาจจะมีปฏิกิริยาตอบโต้กับสื่อ...ช่วยไม่ได้ อีกด้านหนึ่ง NBT ฉายภาพวนไปมา และคุณสุริยะใสปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่ตอนบ่ายคุณจำลอง (พล.ต.จำลอง ศรีเมือง) บอกให้ปล่อยตัว ซึ่งใช่หรือไม่ กรุณาบอกเราด้วยแล้วกัน กรุณาเตี๊ยมกันมาก่อนได้ไหม? แล้วตอบมาเลยทีเดียว
เท่าที่สังเกตดู ณ ตอนนี้ มันคือความระแวงกันไปหมด ใครคือพวกเรา ใครคือไม่ใช่ นายกรัฐมนตรีขีดเส้นแรงที่บอกว่า คุณต้องเลือกข้าง อย่าทำเป็นไม่รู้ไม่ได้ ในความรู้สึกของบุ๋มคือ มันแรงไปแล้ว มันต้องตีกัน
** คุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เคยเสนอให้สื่อมีการเลือกข้าง ไม่เห็นมีใครด่าเลย
เหตุผลที่เขาพูดต่อจากนั้นคืออะไรมากกว่า ถ้าหากว่าคุณอานันท์ มีเหตุผลที่พูดต่อจากนั้นและดีพอ และเป็นที่ยอมรับ คือคนส่วนใหญ่รับฟังเหตุผลผู้ใหญ่อยู่แล้วล่ะ เพียงแต่คุณอานันท์ มักมีเหตุผลตามมา ไม่ใช่การด่ากลับ ส่วนคุณสมัคร คือมีคนให้อคติในการพูดจาอยู่แล้ว คนจะแอนตี้ท่านไปก่อน ความจริงท่านเป็นผู้ใหญ่ธรรมดา ที่ขี้บ่น...ไม่มีอะไร
** ดาราอย่าง ศรราม เทพพิทักษ์ ถูกตอบโต้เช่นกัน
อย่างว่า...พวกใคร...ใครก็รัก แตะนิดหนึ่งเขาดิ้น ถามว่าวันนั้นศรรามพูดแรงไหม ไม่แรง เทียบกับนักการเมืองแล้ว นักการเมืองแรงกว่าตั้งเยอะ เพียงแต่ไปแตะเท่านั้น ยังโดนซะขนาดนั้น มันพูดลำบากนะ กลายเป็นแตะต้องไม่ได้ และยากต่อการนำเสนอว่าจะแรงไปไหม แง่ลบหรือไม่ บางคนเป็นแกนนำแต่บอกว่าเป็นคนของพรรคนี้ เราไม่กล้าแตะอะไรกันสุดฤทธิ์ สรุปความเป็นกลางไม่มีเลยเหรอ ถ้าคุณต้องการอยากให้ว่ารัฐบาล คุณต้องยอมให้ว่าคุณได้เหมือนกัน
** ส่วนของ ส.ว. ที่บอกว่ามีการตั้งข้อหากบฏ เป็นข้อหาเกินจริงสำหรับกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะมีอาวุธเพียงไม้กอล์ฟ
ท่านได้ดูข่าวไหมคะ นี่มันมีทั้งมีด ปืน ท่านควรจะดูรายงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมากกว่าว่ามีอะไรบ้าง ก่อนที่จะออกมาให้สัมภาษณ์ ถ้าพูดอะไรมากอาจจะทำให้เกิดความบิดเบือน ถ้าเป็นกรณีนั้นอยากให้ท่านระมัดระวัง เพราะท่านเป็นผู้หญิงเก่งและกล้า อยากให้ท่านระวังในข้อมูล เพราะบางทีทีมงานอาจให้ไม่ครบ ท่านต้องระวัง
** มองบทบาทของวิชาชีพสื่อสารมวลชนอย่างไรบ้าง ว่ามีการนำเสนอที่ทันท่วงทีไหม
ทันอยู่แล้วค่ะ เพราะมีการถ่ายทอดสด แต่ทันแล้วตัวผู้สื่อข่าวเองจะมีการควบคุมสถานการณ์ สติอารมณ์ และจะมีการวางทัศนคติ และจรรยาบรรณของตนเองได้มากน้อยแค่ไหน ตอนนี้การรายงานมันมีหมด แต่ว่ามันมีการบิดเบือนหรือเปล่า นั่นแหละคือสิ่งที่ต้องมานั่งใส่ใจว่ามากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าจะกลุ่มรัฐบาลหรือพันธมิตรฯ ส.ส. ส.ว. ที่พูดเพียงแต่ต้องการให้รู้ว่า มันสามารถเกิดขึ้นได้ในสังคม เหมือนกับวงการบันเทิง “ข่าวร้ายขายได้ ข่าวดีขายไม่ได้” เราทำดีแทบตาย แต่ข่าวจริงหรือไม่จริง ลงเป็นข่าวหน้า 1 ไปแล้ว มีคนสนใจอยากรับที่จะเสพข่าวสารแบบนี้อยู่ ต้องมีการขายข่าวแบบนี้อยู่ ในเมื่อมีวัฏจักรแบบนี้ มันหนีไม่ได้ ต้องมีตัวรอดในการแข่งขัน สื่อเองยังมีการแข่งขันแบบนี้อยู่ ประชาชนเลือกที่จะรับสื่อ หากเรายังตัดวงจรนี้ไม่ได้ เราไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
** ต่อจากนี้ NBT จะยืนในมุมที่ล่อแหลมหรือไม่
ผู้อำนวยการสถานี ท่าน ผอ. คงต้องออกมาพิจารณาแล้วละค่ะว่า ด้วยเหตุผลที่ทางพันธมิตรฯ เหตุผลเรื่องของรายการ “ความจริงวันนี้” ถ้าเหตุผลแบบนี้ การวางจุดยืนจะเป็นกระบอกเสียงรัฐบาล ต่อต้าน ASTV แบบวันต่อวันแบบนี้ แล้วมันเกิดผลเสียอะไร ต้องพิจารณาว่ามากันถูกทางหรือเปล่า เชื่อว่าต้องมีการปรับผังกันบ้างแล้วละ รวมทั้งผู้จัดรายการคงจะต้องระมัดระวังตัวมากกว่านี้ ว่าต่อไปจะทำแล้วจะออกมารูปแบบไหน การใช้สื่อแน่นอนว่ามีโทษและคุณ หากจะไม่ให้นำเสนอเลย...ไม่ใช่ ถ้าทำโดนด่า ถ้าไม่พูดก็เข้าใจผิด มันอึดอัดมาก
ถ้ามีรายการหนึ่งให้รัฐบาลด่า ASTV มันคงจะมัน และเกิดความแฟร์ขึ้น เมื่อมีการแบ่งข้างกันชัดเจน ช่วยไม่ได้ที่จะหาทางออก แต่การต่อสู้มันออกมาแบบรุนแรง เพราะไม่มีใครยอมถอย และไม่มีใครสามารถขีดเส้นแบ่งของปัญหาได้ชัดเจน ถ้าพันธมิตรฯ บอกได้ว่าคุณสามารถล้มล้างรัฐบาลได้ แล้วมีการเลือกตั้งใหม่ และพรรคพลังประชาชนเข้ามาเป็นรัฐบาลได้อีก ทั้งๆ ที่เป็นต่อจากรัฐบาล คมช. เนี่ย ต้องยอมรับว่าเขาฝ่าฟันอะไรมาเยอะ ในเมื่อประชาชนยอมรับเขา และคุณไม่ยอมรับเขา ถ้าล้มล้างและเขากลับมาได้อีก คุณจะต่อต้านเขาอีกไหม ต้องถามตัวเองว่า ตกลงคุณต่อต้านอะไร
** พันธมิตรฯ ดูท่าจะไม่ฟังอะไรเลยแม้แต่คำสั่งศาล
ตอนแรกเห็นบอกว่าฟังแล้วเราดีใจ คือเขาได้ยืนบนหลังเสือใหญ่ ล้มล้างรัฐบาล ตอนแรกหลายคนคิดว่าศาลเข้าข้างพันธมิตรฯ คุ้มครอง ASTV แต่นั่นคือกระบวนการยุติธรรม วันนี้ที่ยึดทำเนียบรัฐบาล เพราะต้องการให้ภาพลักษณ์ดูแย่แล้วละ ในเมื่อเขามีความต้องการแบบนี้ เขาคงไม่ถอย ถ้ามีคำสั่งศาลแบบนี้เขาคงไม่ถอยแล้วละ ทำเนียบเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เหมาะสำหรับเขา วันนี้เขาถอยไม่ได้แล้ว ภาพเขาเปลี่ยนไปเลย ตั้งแต่บุก NBT สื่อต่างประเทศไม่เข้าข้างเขาอีกต่อไป คำว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับชาวต่างชาติ หากคุณไม่ยอมรับการเลือกตั้งที่จะมีใครใหม่
หากพรรคพลังประชาชนได้กลับเข้ามา ยังต่อสู้ต่อไป ต่อไปสื่อไทยและต่างประเทศต้องถามพันธมิตรฯ แล้วว่า จุดยืนของคุณต้องการอะไร แค่เกลียดทักษิณ (พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) ใช่ไหม ถ้าแค่นั้นต้องล้มล้างทักษิณและกลุ่มของเขาออกไป แต่มันยาก ต้องล้มล้างกันครึ่งประเทศ แล้วมันจะอยู่อย่างไร มันอยู่กันไม่ได้ พันธมิตรฯ ต้องตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาต่อสู้ ถ้าคุณคิดว่าคุณจะดูแลประเทศได้ดีกว่า หรือว่าเป็นประชาธิปัตย์แล้วคุณถึงจะพอใจ อะไรอย่างนี้ ถ้าคุณมีคำตอบให้มากกว่านี้ การประท้วงของกลุ่มพันธมิตรฯ จะมีเหตุมีผลมากกว่านี้
** พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี บอกว่า ถ้ามีการจับแกนนำ เขาจะขึ้นมาแล้วใช้เวลา 3 วัน
มันช่วยไม่ได้ จปร. รุ่น 7 เหมือนกัน เขาพวกกัน
** กลัวว่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นหรือไม่
คุณสนธิ (นายสนธิ ลิ้มทองกุล) กับคุณจำลอง (พล.ต.จำลอง ศรีเมือง) ขีดเส้นใต้ดีเดย์ไปแล้ว รัฐบาล ศาล ตำรวจ ทำอะไรเขาไม่ได้ เขาจะถือว่าเป็นผู้ชนะ อะไรคือเกณฑ์ว่าเขาจะชนะ จะ 3 วันหรือว่าอะไรก็แล้วแต่...แต่ดูเหมือนตอนนี้สถานการณ์มันจะจบตรงที่ความรุนแรง แต่จะมากแค่ไหน แล้วทหารออกมาปราบกันอีกทีหนึ่ง ไม่อยากให้มีภาพแบบนั้นเลย แค่คราวที่แล้ว มีการปฏิรูปการปกครอง ประเทศไทยถอยหลังไป 10 ปี สภาวะเศรษฐกิจเกิดขึ้น เราจะแย่ ถ้ามีเหตุภัยธรรมชาติอะไรเกิดขึ้น เราจะเป็นประเทศที่ 3 ที่รอความช่วยเหลือจากประเทศอื่น และเราไม่มีเงินที่จะไปช่วยเหลือใคร ภาพโดยรวมคือจบแล้ว แต่ทุกคนพยายามที่จะดันให้ถึงจุดนั้น คือจุดของความรุนแรง
** NBT อาจจะถูกบุกอีกรอบไหม
มีสิทธิ์ ถ้าหากมีการนำเสนอที่ ถ้ายังมีการนำเสนอข่าวที่เขารู้สึกว่าไม่ใช่สำหรับเขา
** มีการเตรียมการอย่างไรบ้าง เช่น ทำทางหนีเพิ่มเติม
คงวิ่งหนีออกทางเดิมมั้ง...เพราะทำอะไรไม่ได้ สถานที่ราชการทุกวันนี้กระจกยังแตกอยู่เลย สถานที่ราชการอย่างไรต้องรองบ แต่ถ้ามาคราวหน้าต้องดูก่อนว่าจะสู้เพื่อใคร ถ้าสู้ในนามสื่อบุ๋มอาจจะสู้ไม่ถอย!!! เพราะเรานำเสนอข่าว ทุกวันนี้บุ๋มยืนยันว่าบุ๋มเป็นกลาง เห็นใจพันธมิตรฯ เหมือนกัน มีเพื่อนอยู่ที่นั่น แต่เดี๋ยวนี้ใครที่ไม่ใช่พวกพันธมิตรฯ จะมีการลงเว็บด่าว่า อย่างพี่จิรายุโดนเยอะ บุ๋มยืนยันเหมือนกันว่าต้องการเห็นบ้านเมืองสงบ เห็นผู้ชุมนุมนอนอยู่ที่บ้าน มีโอกาสเที่ยวที่โน่น...ที่นี่...ในเมืองไทย ไม่ใช่วันๆ เอาแต่มานั่งประท้วง
บุ๋มอยากเห็นรัฐบาลคืบหน้าไปมากกว่านี้ ดูเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร เกษตรกร สตรอมเซิร์จ ที่อาจจะเข้ามา ว่าเราจะมีการรับมืออย่างไร ถ้ายังเป็นอย่างนั้นประเทศไทยเราไม่ไปไหน เชื่อว่ายังมีประชาชนต้องการเห็นบ้านเมืองสงบสุขกว่านี้อีกเยอะ แต่ไม่มีอำนาจหน้าที่เลยว่าจะทำอะไรได้ บุ๋มเองยังโชคดี มีคนมาสัมภาษณ์ เสียงดังกว่าคนอื่น แต่ไม่รู้ว่าพูดไปแล้วจะถูกพันธมิตรฯ ตีหัวหรือไม่ หรือว่าโดนรัฐบาลตีหัวหรือเปล่า
คงจะยืนยันว่า ยังมีคนอีกหลายคนที่อยากเห็นบ้านเมืองสงบ โดยเฉพาะคนมีลูกอย่างบุ๋ม ที่อยากให้ลูกเกิดมาในบ้านเมืองที่ดีๆ ไม่ใช่มีแต่คนตีกัน ด่ากัน ยืนยันว่าบุ๋มก็แค่แม่ลูกอ่อนคนหนึ่งที่อยากเห็นบ้านเมืองสงบเท่านั้นเอง