คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว
ขณะเขียนคอลัมน์นี้อยู่ ผลการวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อกรณีการทำรายการ “ชิมไปบ่นไป” กับรายการ “ยกโขยงหกโมงเช้า” ของนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ยังไม่ปรากฏผลออกมา ซึ่งแน่นอนว่าประชาชนทั่วทั้งแผ่นดินย่อมต้องจดจ้อง จะออกหัวหรือออกก้อย...
จะออกมาที่มีคำว่า “เชื่อว่า” หรือ “อาจจะ” อย่างที่ขัดต่อความรู้สึกของประชาชนเหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อคราวตัดสิน “ยุบพรรคไทยรักไทย” ในยุค คมช. ครองเมือง และล่าสุดก็ “กรณีปราสาทเขาพระวิหาร” หรือไม่ ...???
นั่นก็คงต้องติดตาม และต้องเคารพต่อการวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะผู้คนที่อยู่ในฟากฝั่งประชาธิปไตยย่อมต้องเคารพต่อการตัดสินดังกล่าว เพื่อให้กระบวนการประชาธิปไตยตามความที่ว่า เป็น “นิติรัฐ” ดำเนินต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องจากนี้ก็คือ หากผลออกมาในทางที่นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ต้องพ้นหน้าที่ไปพร้อมกับคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่ก็คงเลือก นายสมัคร สุนทรเวช กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งอย่างแน่นอน และก็ไม่ผิดเงื่อนไขตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้...
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ โอกาสของการพัฒนาประเทศจะต้องสะดุดลงชั่วขณะ ประมาณกันว่าเฉียด 1 เดือน เพราะต้องแถลงนโยบายใหม่ จัดตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นใหม่ ก่อนเดินหน้าทำงานได้อย่างจริงจังอีกครั้ง
แต่หากคำวินิจฉัยออกมาว่า ไม่เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทุกอย่างก็เดินหน้าต่อไป คนทั้งประเทศก็จะหายใจหายคอโล่งไปอีกเปลาะ ซึ่งก็คงต้องรอฟังคำวินิจฉัย
แต่ก็เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่งว่า แล้วเพราะเหตุใดเล่า ผู้คนค่อนบ้านค่อนเมืองถึงได้กังวลกันมากมายขนาดนั้น...???
คำตอบก็คือ...ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยยังไม่ยอมลดละที่จะเข้ามามีอำนาจ เข้ามาใช้อำนาจ โดยไม่สนใจว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศได้ตัดสินใจแล้วที่จะให้ฝ่ายใดเข้ามาบริหารประเทศ หลังการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ...
นั่นคือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างออกมาอย่างเด่นชัดเป็นระยะๆ เริ่มตั้งแต่พรรคพลังประชาชนได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แค่เพียงเท่านี้ ปฏิบัติการจากกลุ่มพันธมิตรฯ ก็เริ่มสำแดงเดชในทันที
และเป็นการสำแดงที่ต้องดำเนินการไม่ให้ฝ่ายประชาธิปไตยตั้งตัวติด สอดรับกันอย่างแนบแน่นกับพลพรรคฝ่ายค้าน
ด้านหนึ่งใช้ ส.ส. สอบตก เข้าร่วมแก๊งกลุ่มพันธมิตรฯ เปิดแนวรุกนอกสภา อีกด้านหนึ่งในสภาก็คอยเขย่าตอกลิ่มปัญหาที่แก๊งข้างถนนสร้างเรื่องขึ้นให้กลายเป็นประเด็นการเมืองกดดันรัฐบาล
อีกด้าน แน่นอนย่อมต้องมาจากสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. ที่มาจากสายการลากตั้ง ที่สืบทอดอำนาจมาจาก คมช. คอยเปิดเกมทิ่มตำ คุ้ย แคะ จ้องเอาเรื่องรัฐบาลในทุกกรณี เพื่อชงเรื่องเข้าสู่กลุ่มตุลาการภิวัตน์ ใช้อำนาจตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ร่างไว้กดหัวพรรคการเมืองฝั่งตรงข้าม เป็นอาวุธทำลายล้าง
ทั้งหมดที่กล่าวคือยุทธศาสตร์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้กุล่มพลพรรคอำมาตยาธิปไตยเข้ามามีอำนาจ เหนืออำนาจของพรรคการเมืองที่ประชาชนมอบความไว้วางใจให้
ที่สำคัญคือ ทั้งหมดจะมีอำนาจเหนืออำนาจของปวงชนชาวไทย ที่พวกเขาตั้งแง่ว่า เป็นคนไร้สติปัญญา ...
จะเห็นได้ว่า ทุกอย่างดำเนินมาเช่นนี้ตลอด แต่แล้วคนที่ชื่อ สมัคร สุนทรเวช ไม่หลงกล ไม่หลงทางตกหลุมที่วางเอาไว้
การลุแก่อำนาจของพันธมิตรฯ จึงเกิดขึ้นอย่างไร้ขอบเขต ทั้งการบุกยึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ยึดกระทรวง ทบวง กรม ไว้หลายแห่ง รวมทั้งการบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ขณะเดียวกับที่ในวันนั้นบัญชีโยกย้ายนายทหารทุกเหล่าทัพจะต้องชัดเจน ...!!!
อาการสำแดงของพันธมิตรฯ จึงเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากมีนัยบีบรัฐบาลและก่อกระแสให้นายทหารกลุ่มหนึ่งไม่พอใจรัฐบาล และพร้อมเคลื่อนกำลังเข้ายึดอำนาจ
แต่ก็ไม่เป็นไปดังที่พันธมิตรฯ คาดหวัง เพราะนายกรัฐมนตรีรู้ทัน แกนนำพันธมิตรฯ จำนวนถึง 9 คน จึงต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีก่อการกบฏ ถูกตรึงให้อยู่กับที่ เคลื่อนไหวไม่คล่องตัวเหมือนเช่นที่เคยปฏิบัติการมา ...
อย่างไรก็ตาม อาการที่ต้องดิ้นให้หลุดของกลุ่มกบฏ ยังคงต้องดำเนินการต่อไป เพราะข้อหาดังกล่าวจะว่าแรงก็ไม่ผิด แต่ทั้งหมดการกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ ดูจะเข้าข่ายอย่างยากจะหลุดพ้น
เราจึงได้เห็น ได้ยินนักวิชาการกลุ่มหนึ่งที่หนุนหลังอยู่ ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลถอนข้อกล่าวหากบฏออกไป เพื่อลดการตอบโต้ที่รุนแรง ซึ่งก็เป็นเพียงข้อกล่าวอ้างที่พยายามช่วยเหลือกลุ่มกบฏอย่างมีนัยอยู่ข้างเดียวกัน ...
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เชื่อว่าแกนนำกลุ่มกบฏรู้ดีว่า อย่างเดียวเท่านั้นที่จะปลดข้อหาร้ายแรงนี้ได้ก็คือ ต้องสร้าง ต้องปลุกปั่นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระดับใหญ่ ที่อาจเรียกได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ ตามนัยที่กลุ่มกบฏกล่าวอ้างการเมืองใหม่ ลากตั้ง 70 เลือกตั้ง 30
ประชาชนคนไทยจึงได้เห็นฤทธิ์เดชของแกนนำสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ที่ออกมาขู่ตัดน้ำ ตัดไฟ หยุดเดินรถไฟ หรือแม้กระทั่งปิดสนามบิน ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นเพียงแกนนำสหภาพบางคนเท่านั้นที่ดำเนินการ ไม่ใช่มติของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจทั้งประเทศ
การทำเช่นนี้ก็เพื่อให้กองทัพ หรือกลุ่มนายทหารบางกลุ่ม ใช้เป็นข้ออ้างเคลื่อนกำลังพลเข้าทำการยึดอำนาจนั่นเอง แต่ท้ายสุดฤทธิ์เดชของสหภาพแรงงาน ก็ยังไร้ผล ซ้ำร้ายประชาชนค่อนประเทศก็ก่นด่าพันธมิตรฯ กันถ้วนหน้า คือผู้ทำลายประเทศ เพื่อหวังแต่เพียงประโยชน์ของตัวเองทั้งสิ้น
เป็นการทำลายการพัฒนาของประเทศที่กลุ่มพันธมิตรฯ กระหน่ำซ้ำเติมตลอด 2 ปีที่ผ่านมา คนไทยทั้งประเทศต้องมารับกรรมจากการกระทำอย่างไร้เหตุผลสิ้นดี ...???
แต่ก็ใช่ว่ากลุ่มกบฏจะหยุดนิ่ง กระบวนการที่ต้องทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง ยังคงเป็นยุทธศาสตร์ของกลุ่มเผด็จการ นั่นก็คือบีบให้นายกรัฐมนตรีลาออก หรือยุบสภา เพื่อให้กลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาอาละวาดให้หนักขึ้น เพื่อเป้าหมายของการยึดอำนาจในท้ายสุด
ถึงวันนี้ เชื่อว่า กองทัพเองก็ยากต่อการออกปฏิบัติการ ไม่ว่าจะอยู่ในฟากฝั่งใด เพราะความเป็นจริง อนาคตของประเทศคงไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ตามความต้องการของกลุ่มพันธมิตรฯ ...
อยากจะบอกผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองดังๆ สักครั้งว่า มองเห็นเครือข่ายของกลุ่มกบฏหรือยัง หากปล่อยให้กลุ่มกบฏพวกนี้สร้างเครือข่ายได้เข้มแข็งมากขึ้น ...
อนาคตคงไม่ใช่เพียงรัฐบาล หรือฝ่ายประชาธิปไตยจะถูกล้มล้างเท่านั้น ไม่ว่าอะไรที่กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องการก็จะกระทำได้ ด้วยเครือข่ายเขย่าประเทศพร้อมอาวุธติดตัว คิดแล้วก็ได้แต่หนาว
คิดแล้วก็ไม้รู้ว่า กลุ่มคนที่ร่วมกันยึดอำนาจการปกครองเมื่อ 19 กันยายน 2549 จะรู้สึกรู้สา หรือรู้หรือยังว่าอำนาจที่ได้มานั้นก็เป็นเพียงขนมหวานที่กลุ่มกบฏหลอกล่อให้กินเพื่อความอร่อย แก่พวกกระหายอำนาจ ณ วันนั้นจนถึงวันนี้เท่านั้น
ทางที่ดี ช่วยกันตัดไฟเสียแต่ต้นลมเป็นดีที่สุด หรือจะปล่อยให้กบฏขี่คอไปตลอดชาติ ...
พร ภัทร