ที่มา บางกอกทูเดย์ ดึงเกมเขาพระวิหารสำเร็จ!! ทั้งหมดควรที่จะต้องปรบมือให้กับนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) มากกว่าที่บรรดาคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะมาเหมารวมเอาเป็นชัยชนะของรัฐบาลอย่างที่พยายามทำๆ กันอยู่ การที่ส่งคนรอบข้างออกมากล่าวอ้างว่า จริงๆ แล้ว นายอภิสิทธิ์ ให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ก่อนที่นายสุวิทย์ จะเดินทางไปประชุมที่บราซิล นายอภิสิทธิ์ ก็ได้ปรึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ได้ปรากฏเป็นข่าวเท่านั้น การที่เมื่อรู้ผลแล้วว่า เลื่อนการพิจารณาแผนของกัมพูชาออกไป เป็นปี 2554 จะพูดอย่างไรก็ได้ เพียงแต่ก็มีคำถามกันทั่วเช่นกันว่า หากไม่มีการเลื่อนการพิจารณาออกไป บรรดานักการเมืองขั้วรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ และคนรอบข้าง จะพูดเช่นนี้อีกหรือไม่ ที่สำคัญเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือการล็อบบี้ของกระทรวงการต่างประเทศแน่นอน เพราะประเด็นจริงๆ ก็คือ เอกสารที่ทางกัมพูชา ส่งไปให้คณะกรรมการมรดกโลกนั้น ได้ถูกส่งไปที่ เวิลด์ เฮอริเทจ เซ็นเตอร์ (World Heritage Center) ไม่ได้ส่งมาที่ เวิลด์ เฮอริเทจ คอมมิตี้ (World heritage committee) ทำให้เกิดช่องโหว่ นั่นทำให้นายสุวิทย์ ใช้จุดนี้เป็นโอกาสในการเจรจา จนกระทั่งประสบความสำเร็จในที่สุด “ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่เป็นกำลังใจให้ รวมถึงเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายกฯ ก็ได้โทรศัพท์มาแสดงความยินดีเช่นกัน” “บรรยากาศที่การเจรจาจริงๆ แล้วเครียดมาก ในการเจรจาต่อรองเอาข้อเสนอความเห็นของไทย ไปยังคณะกรรมการมรดกโลกไม่ง่าย บางกระแสบอกว่า เหมือนไทยเป็นผู้ร้ายในเวทีนี้ ก็ต้องยืนยันว่า ไม่ใช่ เราทำแบบการทูตเชิงสร้างสรรค์ เราก็พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และเป็นทางออกที่ดีในเวลานี้ เพื่อเตรียมพร้อมไปสู่การประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในปีหน้า” เพราะมีรายงานข่าวยืนยันออกมาจากที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ประเทศบราซิล แจ้งว่า นายสุวิทย์ นอกจากจะพยายามเจรจาให้คณะกรรมการมรดกโลกดึงวาระการพิจารณาแผนการจัดการบริหารมรดกโลกของกัมพูชาออกแล้ว จนท้ายที่สุดแม้ว่าไทยจะไม่ชนะ แต่ก็ยังไม่แพ้ แต่สิ่งที่รัฐบาล สิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศของไทย เลือกและพยายามที่จะทำก็คือ คิดจะถอนตัวออกจากการเป็นภาคีสมาชิกยูเนสโก รวมไปถึงจะให้นายกษิต แจ้งจุดยืนท่าทีของไทยที่ไม่เห็นด้วยนี้ไปยังประธานยูเนสโก ที่สำนักงานใหญ่ที่ฝรั่งเศส และ ประธานที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่บราซิล หากเปลี่ยนเป็นนายกษิตไป ป่านนี้คงแตกหักไปแล้ว เพราะแน่นอนว่า ทางกัมพูชาก็คงไม่คุยด้วยกับนายกษิต ซึ่งมักจะเล่นบทก้าวร้าว มากกว่าบทของนักการทูตระหว่างประเทศ แต่ที่แน่ๆ ผลงานของนายสุวิทย์ ครั้งนี้ ทำให้โดดเด่น ถึงขนาดมีบางคนในแวดวงการเมืองบอกว่า นายสุวิทย์ สามารถจะขึ้นชั้นเป็นนายกรัฐมนตรีก็ยังได้เลย เพราะไม่มีอะไรด้อยกว่านายอภิสิทธิ์ เลย
ผลงานต้องมาจากการทุ่มเททำงาน ไม่ใช่มาจากการพูดเก่ง พูดพล่าม หรือพูดหาเรื่องไปวันๆ
ดังนั้นเมื่อคณะกรรมการมรดกโลก ที่ประเทศบราซิล มีมติให้เลื่อนการพิจารณาแผนการบริหารจัดการ พื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร เป็นมรดกโลกของกัมพูชาออกไป เป็นปี 2554 ที่ประเทศบาห์เรน เพราะเห็นว่าไทย-เขมรยังขัดแย้งกันอยู่นั้น
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง รัฐบาลต้องยอมรับว่า เสียเปรียบและเชื่องช้ากว่ารัฐบาลกัมพูชา หลายต่อหลายครั้ง
แถมยังอ้างอีกว่า แม้แต่กระทรวงต่างประเทศก็ได้พยายามประสานงาน ในเชิงล็อบบี้กับหลายประเทศที่เป็นภาคีกับคณะกรรมการมรดกโลก
ฉะนั้นแม้ว่านายสุวิทย์ จะถ่อมตัวว่า เรื่องนี้ต้องขอขอบคุณคนไทยทุกคน จากทุกภาค ทุกหน่วยงาน นักวิชาการ รวมถึงทีมงานทุกคน ที่ร่วมกันต่อสู้เพื่อไม่ให้ ทางคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร
ซึ่งนายสุวิทย์ ยืนยันว่า สำหรับมติดังกล่าวเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก และต่อจากนี้ ทางทีมงานก็จะได้เตรียมหลักฐานและเอกสารเพื่อดำเนินการในการต่อสู้เพื่อไม่ให้ประเทศไทยเสียอธิปไต
ในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหารต่อไปอย่างที่ทำกันมาตลอด ทั้งนี้ ในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ต่างก็เริ่มเข้าใจประเทศไทยได้ดีขึ้นว่า เราเป็นประเทศรักสันติ รวมถึงประธาน
คกก. มรดกโลก ก็สนับสนุนการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อให้ความขัดแแย้งได้รับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย
ดังนั้น ผลจากการทำงานครั้งนี้ ได้ทำให้ราศีจับนายสุวิทย์ ให้โดดเด่นขึ้นมาเป็นอย่างมาก
นายสุวิทย์ ยังได้มีการเจรจานอกรอบกับนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และหารือเกี่ยวกับแผนบริหารการจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหาร ซึ่งเอกอัครราชทูตบราซิลเป็นผู้ดำเนินการให้เจรจาอีกด้วย
ทั้งๆ ที่เรื่องการเจรจาควรที่จะเป็นหน้าที่หลักของกระทรวงการต่างประเทศ ที่มีนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการฯ เสียมากกว่า
เช่นกันกับ ที่ประชุม ครม. ซึ่งได้มีมติว่าให้ดำเนินการคัดค้านแผนการบริหารจัดการปราสาทพระวิหารที่กัมพูชาเสนอ โดยถ้ามีแนวโน้มว่าจะโหวตแล้วแพ้ ก็จะให้นายสุวิทย์ ในฐานะตัวแทนฝ่ายไทยแสดงจุดยืนให้ชัดเจนว่า ไทยคัดค้าน และอาจต้องวอล์กเอาท์ไม่ร่วมลงมติด้วย
ดังนั้น ต้องถือว่าโชคดีที่ รัฐบาลไทยได้นายสุวิทย์ ซึ่งเป็นคนที่มีความสามารถในด้านการเจรจา และช่วงชิงจังหวะเป็น มีลูกล่อลูกชน รวมทั้งอ่านเกมและหาช่องโหว่ได้ ทำให้ประเทศไทยมีระยะเวลาที่จะหายใจโล่งขึ้นมาได้อีก 1 ปี
แบบนี้ต่อให้ไม่มีนายกษิต ในรัฐบาลชุดนี้ ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร!!!
ปัญหาจากนี้ไปก็คือ MOU ระหว่างไทยกับกัมพูชา ปี 2543 ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลไทยหรือไม่??? และจะแก้เกมกันอย่างไร???
แบบนี้ราศีจับก็จริง แต่ระวังแรงริษยาจาก ปชป. เอาไว้บ้างก็จะดี ... เดี๋ยวจะว่าไม่เตือน