ก่อนการเลือกตั้ง แม้จะหวั่นใจอยู่บ้างว่าเลือกแล้วจะจบไหม เหตุการณ์ในบ้านเมืองจะดีหรือไม่ สถานการณ์การเมืองจะคลายความตึงเครียดหรือไม่ และทุกคน ทุกพรรค ทุกฝ่าย จะยอมรับผลการเลือกตั้งหรือไม่
เหล่านี้คือคำถามที่วกวนกวนหัวใจอยู่ไม่น้อย ทั้งๆ ที่รู้ว่าแม้ว่าคำตอบทั้งหมดจะคือ "ไม่" ก็ยังต้องไปเลือกตั้งอยู่ดี แต่ก็อดตั้งคำถามให้หวั่นใจไม่ได้
คำถามที่ทำให้หวั่นใจมากที่สุดก็คือ หากเลือกตั้งแล้วผลออกมาไม่เป็นที่พอใจ ไม่เป็นไปตามความต้องการของผู้มีอำนาจทั้งนอกรัฐธรรมนูญและในรัฐธรรมนูญแล้วจะเป็นอย่างไร
"ปฏิวัติอีกครั้ง" เชื่อว่ามีคนไม่น้อยที่ถูกภาพในอดีตตามหลอกหลอน จนต้องคิดเหมือนผม
"เลือกตั้งเป็นโมฆะ" เชื่อว่ามีคนจำนวนมากก็อุตริคิดพิเรนทร์เหมือนกับผม เพราะภาพในอดีตที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยสั่งให้การเลือกตั้งโมฆะ ตามมาหลอกหลอนเช่นเดียวกัน
"ยุบพรรคพลังประชาชน" เชื่อว่าผู้คนครึ่งค่อนประเทศก็หวั่นใจกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย เพราะความพยายามที่จะหาเหตุยุบพรรคพลังประชาชนมีมาตั้งแต่ก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะชนะเลือกตั้งหรือไม่ และมาเร่งโหมกระแสกันในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนวันลงคะแนนจนผิดปกติ อีกทั้งเคยมีการยุบพรรคการเมืองโชว์ให้เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้วว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก
เหล่านี้คือภาพในจินตนาการที่เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง แต่ก็ยังหวังและเชื่อมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย แม้จะถูกฉีกบ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งหลังถูกฉีก ประชาธิปไตยก็จะกลับคืนสู่ประเทศไทย และเคารพการตัดสินใจของประชาชนเสมอ จึงเชื่อว่าความคิดในทางร้ายทั้ง 3 ทาง ที่ทำให้หวั่นใจว่าหากผลการเลือกตั้งออกมาไม่เป็นไปตามที่ผู้มีอำนาจต้องการ จะบังเกิดขึ้น หรือแม้แต่แนวโน้มว่าจะเกิดขึ้น ก็ไม่ควรจะมี เพราะเหตุที่ว่า เรากำลังจะก้าวเข้าสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย ท่ามกลางการจับตาดูของคนทั้งโลกว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่
วันลงคะแนนเลือกตั้ง ก็ยังหวั่นใจไม่หายว่า หากผลการเลือกตั้งออกมาสวนทางกับภาพฝันที่ผู้มีอำนาจคิดไว้ ประเทศไทยจะเป็นเช่นไร
วันนี้ ผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว ความหวั่นใจที่ควรจะลดน้อยถอยลง กลับยิ่งทบเท่าทวีคูณ เพราะดูเหมือนว่ามีความพยายามที่จะไม่ยอมรับ และปฏิเสธการตัดสินใจของประชาชนอย่างเป็นขบวนการ และทำกันทุกวิถีทางที่จะไม่ให้พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งมากที่สุดได้เป็นรัฐบาล
ภาพในจินตนาการที่เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งหวนกลับมาอีกครั้ง และทำให้หวั่นใจมากขึ้น เพราะพอจะเห็นเค้าลางความโน้มเอียงที่จะเป็นจริงอยู่รำไร ไม่ไกลเกินกว่าสายตาจะแลเห็นแล้ว
"ปฏิวัติอีกครั้ง" แม้จะไม่มั่นใจนัก แต่ก็เชื่อว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก คงไม่กลืนน้ำลายตัวเอง และคงไม่อยากเห็นประเทศไทยล่มจมไปมากกว่านี้อีกแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ เพราะไม่เคยมีทหารคนใดประกาศล่วงหน้าว่าจะปฏิวัติ มีแต่บอกว่า "ไม่ปฏิวัติ" ทั้งนั้น แต่สุดท้ายก็ "ปฏิวัติ" เมื่อมีโอกาส โดยอ้างเงื่อนไขที่ผู้อื่นเป็นผู้ก่อขึ้น และทหารต้องเข้ามาแก้ไขทั้งสิ้น
แต่แท้จริงแล้ว ผู้ก่อการรัฐประหารนั่นล่ะ เป็นผู้สร้างเงื่อนไขให้เกิดการยึดอำนาจ และเงื่อนไขที่สร้างเกือบทั้งหมด คือ "เรื่องเท็จ" และ "เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้"
"เลือกตั้งเป็นโมฆะ" ขณะนี้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง รับฟ้องคดีที่มีผู้ฟ้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะแล้วถึง 3 คดี ด้วยเหตุเดียวกันคือ การจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า วันที่ 15-16 ธันวาคม 2550 เป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ และ กกต. ไม่มีอำนาจจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า
การที่ศาลฎีการับฟ้องคดีไว้ แม้จะไม่ให้ความคุ้มครองฉุกเฉิน และระงับการประกาศผลการเลือกตั้งไว้ก่อน แต่ก็ ทำให้ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 แขวนอยู่บนเส้นด้ายทันที และทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการเลือกครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้สมัคร ผู้ได้รับเลือกตั้ง ผู้จัดการเลือกตั้ง พรรคการเมือง ต่างหายใจไม่ทั่วท้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีการจัดตั้งรัฐบาลเข้าบริหารประเทศไปแล้ว ปรากฏว่าศาลฎีกาพิพากษาว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะ จะยุ่งยากกันขนาดไหน ไม่กล้านึกต่อจริงๆ
"ยุบพรรคพลังประชาชน" ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้รับฟ้องคดีที่มีผู้ฟ้องว่าพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย และ นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนอมินี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงไม่มีสิทธิส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง และวีซีดี พ.ต.ท.ทักษิณ คือหลักฐานว่าพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย
เพียงแค่ศาลฎีการับฟ้อง และเจ้าหน้าที่ศาลมาปิดหมายศาลที่ที่ทำการพรรคพลังประชาชน ก็ทำให้ข่าวแพร่สะพัดไปล่วงหน้าว่า "ยุบแน่" ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มการพิจารณาคดี ทั้งนี้ก็เนื่องจากตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาและผู้พิพากษาศาลปกครองสูงสุด เคยสั่งยุบพรรคไทยรักไทยมาแล้ว
ทั้ง 3 แนวทางนี้ หากพิจารณากันแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสที่เปิดให้ แต่แนวทางที่ 3 คือ "การยุบพรรคพลังประชาชน" น่าจะเป็นหนทางที่ผู้มีอำนาจพึงพอใจมากที่สุด เพราะสามารถจำกัดวงความเสียหายได้ตามที่กำหนด
แต่ถ้าประเมินแล้วมีแรงต่อต้านมาก เพราะเป็นการเลือกปฏิบัติ เป็นการจองล้างจองผลาญกันเกินกว่าที่ประชาชนจะรับได้ ก็อาจจะเป็นแนวทางที่ 2 คือ "เลือกตั้งเป็นโมฆะ" ให้ไปเลือกตั้งกันใหม่ ยืดอายุการถือครองอำนาจรัฐไว้ในมือไปก่อน และขอแก้มือใหม่ ทำทุกอย่างให้ผลการเลือกตั้งใหม่ออกมาแตกต่างจากครั้งนี้
แต่ถ้า 2 แนวทางนี้ ยังหยุดไม่อยู่ และมีแนวโน้มว่าเลือกตั้งใหม่ก็ไม่แตกต่างจากเดิม แนวทางที่ 3 คือ "ปฏิวัติอีกครั้ง" ก็เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้
แม้ว่าจะยืนยันกันหลายคน หลายเสียงว่า "ไม่" แต่อาการในขณะนี้พอจับความรู้สึกได้ไม่ยากนักว่า ยังรับไม่ได้กับผลการเลือกตั้งที่ออกมา และกำลังหาทางที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้
เปลี่ยนผลการเลือกตั้งไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนพรรคการเมืองที่จะเป็นรัฐบาล และเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี จากคนที่ประชาชนเลือกมาเป็นคนที่ผู้มีอำนาจเลือกให้
นี่คือระบอบ "ประชาธิปไตยในกำมือของเผด็จการ" ที่คนไทยจะต้องเผชิญไปอีกนานเท่าไร ไม่มีใครบอกได้
ฤๅว่าบางทีประชาธิปไตยอาจจะต้องอยู่ในกำมือของเผด็จการไปชั่วชีวิตก็เป็นได้
.....นายกอ....
////////////////////////////////
คอลัมน์:ละครชีวิต...
จากหนังสือพิมพ์รายวันประชาทรรศน์ 8/01/08