WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Sunday, July 20, 2008

70:30ถอยหลังเข้าคลอง!

เอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริหารเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ ระบุแนวคิดการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ พาประเทศถอยหลังเข้าคลอง ตั้งข้อสังเกตผู้เสนอ ใช้ทางลัดเข้ามามีตำแหน่งทางการเมือง เผยเบื้องหลัง "ประสงค์-บิ๊กทหาร" ไม่เอาแนวคิดตรวจสอบทรัพย์สินย้อนหลังนักการเมือง 5 ปี ผ่านการเสียภาษี อ้างว่าอยากให้หิมะตกเมืองไทยหรืออย่างไร? ติง "สมัคร" ไม่เด็ดขาดจัดการม็อบ สร้างความเดือดร้อนให้สังคม รัฐบาลยังไม่มีผลงานด้านการพัฒนาประเทศ ทีมเศรษฐกิจยังสอบตก เพราะผลกระทบทางการเมือง

***มองเรื่องแนวคิดการเมืองใหม่ของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เสนอว่าให้ ส.ส. มาจากการเลือกตั้ง 30% และมาจากการแต่งตั้งหรือสรรหา 70% เรื่องนี้คุณเอกยุทธมีความเห็นว่าอย่างไร

อย่างที่เคยให้ความเห็นไว้ก่อนหน้านี้นะครับว่า ถ้าการเมืองหรือการชุมนุมที่กลุ่มพันธมิตรฯ ที่เขากำลังเคลื่อนไหวอยู่ แล้วยกระดับขึ้นมาตลอดเวลา จากการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กรณี คุณจักรภพ (นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) จนไปถึงไล่รัฐบาลคุณสมัคร (นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี) ตอนนี้มาถึงต้องการเปลี่ยนการเมืองแบบใหม่ แต่ในความคิดเห็นของผม ผมมองว่ามันไม่ใช่การเมืองใหม่ มันน่าจะเป็นการถอยหลังเข้าคลองมากกว่า เพราะว่าการนำเสนอ 70% มาจากการแต่งตั้ง 30% มาจากการเลือกตั้ง หรือจะเป็นช่องทางที่เปิดให้มีการปฏิวัติ เขาอาจจะเรียกว่า เป็นการปฏิวัติโดยประชาชน อะไรก็แล้วแต่นะครับ

แต่ผมว่าขณะนี้มันยังไม่เหมาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า พันธมิตรฯ 5 คนนั้น ถ้าถามถึงว่ามีอะไรหรือเปล่าในการที่จะออกมาทำเรื่องนี้ ตรงนี้สิเป็นปัญหาใหญ่ อย่างกรณีของนายสนธิ (นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) เองเมื่อก่อนเคยชื่นชมคุณทักษิณ (พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) เชียร์แบบสุดๆ เลย แล้วมาแตกกับคุณทักษิณ กลายเป็นมาขับไล่คุณทักษิณ

จากนั้นมาถึงช่วงหลัง 19 กันยายน 2549 จากที่เคยเชียร์ให้ทหารปฏิวัติ เชียร์ พล.อ.สุรยุทธ์ (พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี) เชียร์ พล.อ.สพรั่ง (พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม) แล้วกลายเป็นมาด่ากัน แล้วหาว่าเขาอย่างนั้นอย่างนี้ มาครั้งนี้บอกว่าต้องการสร้างการเมืองใหม่ โดยที่เสนออย่างที่พูดมา แต่สิ่งที่เราเป็นห่วงคือ คนที่อยู่รอบตัวของพันธมิตรฯ หลายคนผ่านเรื่องการเป็นคอมมิวนิสต์

ซึ่งเคยหนีเข้าไปอยู่ในป่ามาก่อนหลายคนเลย อีกประการหนึ่งคือว่า คนส่วนใหญ่ที่ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ที่อ้างว่ามาทำเพื่อประเทศชาติ อะไรก็แล้วแต่ เป็นประเภทที่อยากเป็น ส.ส. แต่สอบตกทั้งนั้น ส่วนใหญ่เป็นแค่ ส.ต. ไม่ใช่ ส.ส. แล้วเป็นอดีตข้าราชการ บ้างเป็นนักวิชาการที่หมดชื่อไปแล้ว ออกมาพยายามที่จะสร้างกระแสบนเวทีนี้เท่านั้นเอง

ทีนี้ถ้าจะมาพูดถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จะมาเปลี่ยนแปลงกันข้างถนนแบบนี้ผมว่ามันไม่ถูก เขาใช้ชื่อว่า "มหาวิทยาลัยราชดำเนิน" แต่ผมอยากจะเรียกว่าเป็น "พรรคข้างถนน" มากกว่า เพราะว่าการประกาศนโยบายอย่างนี้ โดยใช้มวลชนบริสุทธิ์ส่วนหนึ่ง จัดตั้งมาส่วนหนึ่ง แล้วมาเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง ผมว่ามันไม่ถูกต้อง

สิ่งที่น่าทำที่สุดคือเรื่องที่ผมเคยพูด เกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบที่ดี เพราะว่าจริงๆ แล้วระบบของเมืองไทยนั้น กฎหมายรัฐธรรมนูญที่เรามีอยู่นั้นมันพอแล้ว แต่ว่ามันอยู่ที่ตัวบุคคลที่ใช้มากกว่า เพราะฉะนั้น กระบวนการการสรรหา กระบวนการที่จะรับคนเข้าไปในแวดวงการเมือง มีความสำคัญมากกว่าการที่จะมาเปลี่ยนระบบ ไม่ว่าจะเป็น 70-30 เพราะว่ามันไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่า แต่งตั้งมา 70% จะเป็นคนดี ไม่มีหลักประกันอะไรเลย แล้วกระบวนการสรรหาที่อ้างถึง ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่หลังการปฏิวัติ การสรรหา สสร. สนช. แต่ละคนที่เข้ามา "หน้าเก่าๆ"

ทั้งนั้น แล้วไม่ใช่มาจากประชาชนจริงๆ มาจากการจัดตั้ง คือผ่านกระบวนการที่เตรียมกันมาแล้ว ในการที่จะเลือกบุคคลเหล่านี้เข้ามา เพราะฉะนั้นแล้ว ตามที่เขาประกาศแนวคิดการเมืองใหม่ ก็คือการเอาพรรคพวกตัวเองเข้ามาทั้งนั้น ไม่ใช่การกระจายอำนาจไปสู่ประชาชนอย่างแท้จริง สิ่งที่ผมพยายามจะบอกอีกเรื่องคือ กระบวนการคัดสรรตรวจสอบให้คนเข้ามานั้นสำคัญกว่า

เรื่องนี้ผมเคยเสนอไปเมื่อตอนคุณประสงค์ (น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550) เข้ามาเป็นประธานร่างฯ แถมยังเคยเข้าไปพูดคุยกับรัฐบาลทหาร ในเรื่องของการวางมาตรการการตรวจสอบบุคคล ก่อนที่จะเข้ามาเล่นการเมือง เพราะเวลานี้ นักการเมือง ข้าราชการผู้ใหญ่ ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. คือแสดงทรัพย์สินอย่างเดียว แต่ไม่ต้องแสดงที่มาของทรัพย์สิน

ส่วนที่ผมเสนอนั้นควรจะใส่ลงไปในกฎหมายรัฐธรรมนูญด้วยว่า "ผู้ที่จะมาลงการเมือง หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ยื่นแจ้งแสดงทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. จะต้องยื่นแสดงแหล่งที่มาของทรัพย์สินด้วยว่าได้มาจากไหน หรือแสดงการเสียภาษีย้อนหลัง 5 ปี" ตรงนี้จะทำให้เห็นเลยว่า สมมติคนคนนั้นมีรายได้ มีทรัพย์สิน 5 พันล้านบาท แต่ 5 ปีที่ผ่านมาไม่เคยเสียภาษีเลย แล้วเงิน 5 พันล้านบาทนั้นได้มาจากไหน อันนี้ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ก็จะลงมาเล่นการเมืองไม่ได้ มันน่าจะเป็นการเมืองที่เปิดเผย เปิดโอกาสให้กับสังคมได้ตรวจสอบ อันนี้ผมมองตรงนี้มากกว่า ถ้าจะเอาการเมืองแบบแต่งตั้ง ผมว่ามันยังน้ำเน่าเหมือนเดิม นักการเมืองหน้าเก่าจะกลับมาเหมือนเดิม ผมไม่เชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไร

***บทบาทการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ เริ่มแรกที่บอกว่ากลียุค มาไล่รัฐบาล จนมาบอกว่าจะต้องเปลี่ยนการเมืองใหม่ เลือกตั้ง 30% สรรหา 70% คุณเอกยุทธมองว่าการเคลื่อนไหวของเขาบริสุทธิ์แค่ไหน

ผมเชื่อว่า สำหรับแกนนำนั้นมีเป้าหมายมาตั้งแต่ต้นแล้ว ในการออกมาเคลื่อนไหว แต่ในส่วนของประชาชนที่มาเข้าร่วมนั้น อาจจะไม่รับทราบ อาจจะไปตามกระแส แล้วเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ แต่ว่าสำหรับแกนนำแล้ว ผมเชื่อว่าหลายๆ คนมีเป้าหมายที่ต้องการจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหาร จะสังเกตได้ว่า หลายคนในเวทีพันธมิตรฯ ตั้งแต่รุ่นแรกก่อน 19 กันยายน 2549 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น สนช. หลายคน อาศัยชื่อเสียงเข้ามาเป็น ส.ว. บ้าง คนที่อ้างว่าเป็นเอ็นจีโอ ขึ้นเวที เข้าไปเป็น ส.ส. ก็มีหลายคน

เพราะฉะนั้นตรงนี้ มันเป็นบันไดของการหาเสียงรูปแบบใหม่ ผมมองอย่างนี้ดีกว่า คือใช้พลังของมวลชน และก็ข้อเสียของฝ่ายตรงข้าม มาปลุกความนิยมของตัวเองในการหาเสียง แต่คำถามที่ว่ามีเจตนาบริสุทธิ์หรือไม่ ผมมองว่าไม่น่าจะมีเจตนาที่บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในการที่ออกมาเรียกร้อง เพราะคนที่จะออกมาเรียกร้อง พอได้สิ่งที่เรียกร้องแล้วจะต้องหยุด ไม่ใช่ได้คืบแล้วจะเอาศอก แต่จริงๆ แล้วผมคิดว่า เขามีธงอยู่แล้วว่าเขาต้องการอะไร เพียงแต่สถานการณ์ต่างๆ มันทำให้เขาขยับขึ้นมาได้ทีละขั้นเท่านั้นเอง

*** แกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 คน ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสนใจกับตำแหน่งทางการเมือง

ผมไม่เชื่ออย่างนั้น

*** เพราะเท่าที่ดูหลังจากการปฏิวัติ ก็ไม่มีใครเข้าไปมีตำแหน่งอะไร

เขาไม่ให้สิ ลองถ้าให้สิ บอกให้นายสนธิเป็นนายกฯ เขาเอาไหม เขาคงไม่อยากจะไปเป็นแค่ระดับ ส.ส. ธรรมดา ส่วน พล.ต.จำลอง (พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) อาจจะพ้นวัยที่จะไปเป็นอย่างนั้น แต่ว่าการออกมาเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ แล้วบอกว่าไม่ต้องการตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง แล้วทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์จริงๆ คงจะไม่มี ยิ่งการรับบริจาคอย่างที่ทำกัน และต้องเปิดเผยว่าเงินเอาไปใช้อะไร ได้เงินมาจากไหน

คุณบอกว่ามีสิทธิที่จะประท้วง เรียกร้องตามรัฐธรรมนูญ แต่ในการเรียกร้องของคุณกลับเรียกร้องในสิ่งที่ผิดรัฐธรรมนูญ เพราะว่าการที่คุณบอกว่าจะมาเปลี่ยนการเมืองใหม่ ขอแก้รัฐธรรมนูญอย่างที่ว่า ทีแรกไม่ได้บอกอย่างนี้ บอกว่าต้องการเมืองใหม่ที่ปฏิวัติโดยประชาชน ซึ่งรูปแบบมันไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง แล้วมาเปลี่ยนคำพูดให้แก้รัฐธรรมนูญ เลือกตั้ง 30% สรรหา 70% เพิ่งจะมารู้ว่าที่พูดไปตอนแรกมันผิดกฎหมาย แบบนี้มันไม่ใช่ ตรงนี้เองที่จะเป็นสิ่งบ่งบอกเลยว่า กระบวนการที่เขาออกมาทำกัน แล้วบอกว่าไม่หวังตำแหน่ง ไม่ต้องการตำแหน่งทางการเมือง ผมไม่เชื่อ! ผมไม่เชื่อ!

***ในส่วนของรัฐธรรมนูญ 2550 นั้น คุณเอกยุทธมองว่ามันยังมีข้อบกพร่อง หรือมีอะไรที่จะต้องแก้ไขอีกไหม

เยอะเลย! ผมว่ากระบวนการ และรัฐธรรมนูญปี 2550 ถึงแม้จะใช้คำว่าผ่านประชามติ แต่ว่ากระบวนการการทำประชามติบ้านเรานั้น ผมเชื่อว่าประชาชนที่ไปลงประชามติ 80% ไม่เข้าใจรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แล้วไม่รู้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนอะไรไว้บ้าง ไม่มีความเข้าใจเนื้อหาของรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง แม้แต่นักการเมืองที่นั่งอยู่ในถนนการเมืองทุกวันนี้ ก็ยังไม่ได้แตกฉาน ไม่อย่างนั้นจะมีการทำผิดรัฐธรรมนูญกันเยอะขนาดนี้หรือ รัฐมนตรียังผิดเลย เป็นนายกรัฐมนตรียังผิดเลย เพราะฉะนั้นตรงนี้แสดงให้เห็นว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ผ่านประชามติมานั้น ประชาชนไม่ได้มีความเข้าใจเลย ผ่านประชามติมาด้วยกระแสมากกว่า

จริงๆ แล้วถ้าถามว่า ข้อผิดพลาดมันคืออะไร กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมากว่า 10 ฉบับ มีกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนที่ทำ เพราะฉะนั้น สังเกตดูว่ารูปแบบจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่จะปรับไปตามกระแส เพียงแค่ว่าใครเป็นศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามในขณะนั้นเท่านั้นเอง เพื่อที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียเปรียบ ผมมองว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 ถึงแม้จะเป็นรัฐธรรมนูญที่ดูแล้วทำให้พวกนายทุน หรือว่ากลุ่มการเมืองมีพลังขึ้นมาได้ แต่ว่าข้อเสียของรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือว่า กระบวนการการตรวจสอบคัดสรรคนที่จะมาลงสนามการเมืองยังไม่ดีพอ อันนี้ผมพูดตรงๆ แต่รัฐธรรมนูญปี 2550 นั้นมันหยุมหยิมเกินไป มีกฎหมายลูกมากเกินไป จนทุกวันนี้ตีความอย่างเดียว ไม่จบ ใครเข้ามาไม่มีจบ เพราะว่าทุกคนอ้างรัฐธรรมนูญ แล้วมันไม่มีความชัดเจน และมีข้อปลีกย่อยมากเกินไป อย่างนี้แหละครับ ตีความกันทุกวัน ใครบอกอะไรมาผิดไหม ไม่ผิด ศาลตัดสินแล้ว จำคุก บอกหลุดไหม หลุด แต่ขอส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อน คือไม่มีอะไรที่มันเป็นรูปแบบที่แน่นอน อันนี้คือข้อเสียของรัฐธรรมนูญ ที่ยิ่งแก้ยิ่งพันตัวเอง แล้วจะกลายเป็นวัวพันหลักมากขึ้น

***เปรียบเทียบระหว่างการเรียกร้องของแต่ละฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น คปพร. ที่ต้องการให้นำรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้ พันธมิตรฯ ต้องการการเมืองใหม่ ในที่สุดแล้วทางออกของปัญหาสังคมตรงนี้ คุณเอกยุทธมองว่าจะต้องทำอย่างไร

คือความขัดแย้งของทั้ง 2 ฝ่ายวันนี้ ผมมองว่าที่มันเกิดขึ้นเพราะว่า กระบวนการยุติธรรมยังไม่ถูกนำมาใช้จริงๆ ซึ่ง ณ วันนี้จะมองเห็นได้ว่า กระบวนการยุติธรรมได้เริ่มนำออกมาใช้แล้ว ทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทักษิณ หรือว่าฝ่ายพันธมิตรฯ หรือว่าใครก็แล้วแต่ ณ วันนี้กระบวนการยุติธรรมได้ถูกนำมาใช้ แล้วค่อนข้างที่จะใช้ได้อย่างดี ในอดีตที่ผ่านมา ปัญหาที่มันเกิดขึ้นเนื่องจากอะไร เนื่องจากรัฐบาลที่ขึ้นมาทำหน้าที่บริหารประเทศคิดกุมอำนาจไว้ในมือ ไม่ได้ใช้อำนาจอย่างถูกต้อง เมื่อมีการเรียกร้อง โอเคผมจะยกตัวอย่าง ตั้งแต่สมัยคุณทักษิณ จะจัดการกับฝั่งตรงข้าม แต่ฝั่งตัวเองจะไม่ทำ หรือว่าทำช้าหน่อย

พอมายุคทหาร ทหารจัดการกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเดียว คือฝ่ายของตัวเองไม่มีการตรวจสอบ ซึ่งมันก็ไม่ถูกต้อง ณ วันนี้เช่นกัน กฎหมายยังไม่ถูกใช้อย่างเต็มที่ ผมถามหน่อยว่า ทำไมเราต้องเอากำลังตำรวจเป็นพันๆ คน ไปเฝ้าพวกที่มาประท้วง เป็นพันคนหมื่นคน อะไรก็แล้วแต่ ประท้วงเรื่องอะไร เรื่องต่อรองอำนาจ เรื่องการเมืองทั้งนั้น มันไม่ใช่เรื่องปากท้องว่าผมจะอดข้าวตายพรุ่งนี้ มีการต่อรองอำนาจ บอกว่ารัฐบาลชุดนี้ต้องออกไป กูไม่เอามึง แล้วยังไง ไม่เอาแล้วยังไง ไม่เอาแล้วใครจะมาเป็น ผมยังมองไม่เห็นทางออก

เพราะฉะนั้น ถ้ากฎหมายยังไม่ถูกใช้ไปในทางที่ถูกต้อง ใครขึ้นมาก็อยู่ไม่ได้ ให้อภิสิทธิ์ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) เป็นนายกรัฐมนตรีวันนี้ แล้วพวกคนรักทักษิณหรือใครก็แล้วแต่ "เป่านกหวีด" ปุ๊บ เขามี ส.ส. อยู่กว่า 200 คน หาคนมาคนละ 500-1,000 คน มาตั้งม็อบ แล้วบอกว่าไม่เอาประชาธิปัตย์ แล้วคุณจะอยู่ได้ยังไงประเทศนี้

คือกระบวนการการตรวจสอบนักการเมืองมันไม่ถูกต้อง ถึงได้มีผู้มีอำนาจที่ไม่มีจริยธรรมเข้ามาเยอะมากเกินไป เลยทำให้กระบวนการมันเสียหมด พอนักการเมืองซึ่งเป็นคนที่ใช้อำนาจไม่ถูกต้องเนี่ย พวกข้าราชการก็ไม่กล้า แล้วข้าราชการไทยส่วนมากไม่กล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้อยู่สบาย ถูกย้ายบ้างอะไรบ้าง กลัวไปหมด มันเป็นกระบวนการที่มันเป็นลูกโซ่มาเลย นี่ไงครับผมถึงบอกว่า กฎหมายอะไร รัฐธรรมนูญฉบับไหน จะไปงัดเอามาใช้ได้ แต่ผมขอเติมลงไปข้อเดียว เรื่องกฎหมายกระบวนการการคัดสรร หรือตรวจสอบคนที่จะเข้ามาเล่นการเมือง ถ้าไม่ผ่านเกณฑ์นี้ก็ไม่ให้ลงเลือกตั้ง มันจะหมดไปเลยพวกเจ้าพ่อ-เจ้าแม่ ที่บอกว่ารวยมา 8 พันล้าน หมื่นล้าน คนพวกนี้ก็ไม่สามารถเข้ามาได้ เพราะไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาของเงินได้ เพื่อตัดปัญหาของการไม่เอาผิดย้อนหลังกัน โอเคเป็นที่ยอมรับกันว่า เมื่อตรวจสอบเงินที่มาไม่ได้ คุณก็ลงเล่นการเมืองไม่ได้

***เห็นบอกว่าเคยเสนอ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ไปแล้ว ท่านบอกว่าอย่างไร

ท่านบอกว่า ดีแล้ว แต่ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย แล้วผมได้พูดเรื่องนี้กับทหารระดับผู้ใหญ่ ว่าให้ทำเรื่องนี้ เขาถามผมว่า "คุณเอกยุทธ จะให้หิมะตกเมืองไทยหรือ?" คือว่าเราดูคนที่อยู่ในแวดวงการเมืองจริงๆ ไม่กล้า แล้วไม่ต้องการให้เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงจริง เป็นเพราะว่าอะไร เป็นเพราะว่าอาจจะกลัวพวกตัวเองจะไม่สามารถชี้แจงได้ คือไม่บริสุทธิ์พอ เป็นการสร้างภาพโกหกไปวันๆ ว่าเป็นคนดี ผมถึงได้บอกว่า นักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชาชน พรรคนายบรรหาร (นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย) นายสนั่น (พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ปรึกษาพรรคชาติไทย) กล้าบอกไหมว่ารวยมาจากไหน มีเงินมาอย่างไร เรื่องนี้ทำได้ง่ายมาก เพราะวันนี้ทรัพย์สินทุกคนแจ้งเข้ามาที่ ป.ป.ช. หมดแล้ว เอาข้อมูลที่ ป.ป.ช. มาดู แล้วขอดูว่าเงินที่ได้มานั้น ได้มาจากไหน

ฉะนั้นดูใบเสียภาษีย้อนหลัง 5 ปีง่ายที่สุด เพราะทุกคนมีรายได้มาก็ต้องเสียภาษี ถ้าไม่เสียภาษีคุณจะมีเงินมาได้อย่างไร คุณบอกคุณมีพันล้าน 5 ปี ไหนบอกเอาใบเสียภาษีย้อนหลังมาดูสิ ถ้าไม่มีแล้วคุณได้เงินมาจากไหนล่ะ ถ้าตอบได้ สรรเสริญกันไปเลย ถ้าตอบไม่ได้ ออกไปจากการเมือง จบ ตรงนี้ผมมองว่าจะเป็นการล้างสังคมครั้งใหญ่ คนพวกนี้จะไม่มีสิทธิเข้ามาเล่นการเมืองแล้ว อย่างปลัดกระทรวงบ้าง เป็นพลเอกบ้าง เป็นข้าราชการอยู่ๆ จะเอาเงินมาจากไหนร้อยล้านสองร้อยล้าน อย่าง พล.อ.สุรยุทธ์ บ้านหลังเบ้อเริ่ม ผมถามเลยว่า เอาเงินมาจากไหน ไม่เห็นตอบได้เลย พูดกันตรงๆ

ถ้าคุณจะมาตรวจสอบสังคม คุณจะมาบอกว่า ต้องการเปลี่ยนแปลงการเมือง ไม่ว่าจะเป็น สนธิ ลิ้มทองกุล จำลอง ศรีเมือง ดูสิครับทรัพย์สินมีอะไรบ้าง บอกเป็นคนล้มละลาย ดูสิครับ ใส่นาฬิกาเรือนเป็นแสนเป็นล้าน แบบนี้ไปเอามาจากไหนครับ? อันนี้ถ้าสังคมไม่มีกระบวนการ และไม่มีกฎหมายให้ตรวจสอบได้ คุณไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้เลย คุณจะมาทำในรูปแบบอะไร จะมาในแบบสภาประชาชน จะมา 70-30 จะเปลี่ยนอีก 10 ครั้ง 100 ครั้ง ก็ไม่ได้ผล เพราะว่ายังได้คนชั่วเข้ามาเหมือนเดิม พวกที่เคลียร์ตัวเองไม่ได้ เราต้องบอกว่าพวกชั่ว คือไม่ควรให้เข้ามา

***ปัญหาการเมืองตอนนี้ คุณเอกยุทธมองว่ากระทบกับเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน

กระทบมาก หนักมาก คือจริงๆ แล้วเรื่องเศรษฐกิจนี้เราเคยพูดกันมาแล้วเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วว่า ปี 2550 มันน่าจะเป็นปีที่เกิดภาวะฟองสบู่แตก และมันเริ่มเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วจริงๆ จากปัญหาซับไพรม์ในต่างประเทศ แต่ในเมืองไทยไปโดนซ้ำหนัก ไม่ใช่เรื่องซับไพรม์ต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องวิกฤติน้ำมันเพียงอย่างเดียว ซึ่งเราเตือนมาก่อนหน้านี้แล้วว่า น้ำมันจะขึ้นเกิน 150 ดอลลาร์สหรัฐ ตอนนี้ผมมองถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐ ปัญหาหนักคือเรื่องการเมือง อย่างนี้ใครจะกล้าทำธุรกิจ อย่าว่าแต่นักลงทุนต่างชาติเลย นักลงทุนในประเทศไทยเองยังไม่กล้าที่จะลงทุน เพราะว่ายังไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้อะไรจะเกิดขึ้น รัฐบาลที่ขึ้นมาไม่ได้ขึ้นมาเพื่อพัฒนาประเทศ ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา

คุณสังเกตทุกพรรคที่เข้ามา บอกว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาประเทศชาติ ไม่ได้บอกว่าจะเข้ามาพัฒนาประเทศชาติเลย แสดงว่ามันหมักหมม ไม่มีการพัฒนาเลย แล้วการเมืองแบบนี้ ปิดถนน ด่ากัน นายกรัฐมนตรีบอกจะเอาตำรวจไปปราบม็อบ คือเป็นการใช้ปากถล่มกันเอง ต่างคนต่างได้ประโยชน์ในทางการเมือง แต่ประชาชนไม่มีใครได้ประโยชน์เลย ทั้งฝ่ายรัฐบาล ทั้งฝ่ายต่อต้าน เขาได้ทั้งคู่ ได้อะไรอันนี้ไม่ต้องพูดถึงนะ ม็อบเงินบริจาคมหาศาล ได้พลังต่อรอง ได้อะไรหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ รัฐบาลได้แต่ขู่ไปขู่มา และยังอยู่ในหน้าที่ ยังอยู่ในตำแหน่ง อันนี้คือข้อเสีย คือทุกฝ่ายไม่มีคุณธรรม คนที่ถูกกล่าวหาในรัฐบาล ถ้าเป็นในต่างประเทศเขาลาออกไปแล้ว เขาไม่หน้าด้านหรอก

อย่างที่เกาหลี รัฐมนตรีเขาถูกประท้วงเรื่องเนื้อวัวนำเข้า รัฐมนตรีเขาลาออกเลย ของเรานายกรัฐมนตรีทะเลาะกับประชาชน แถมยังมีพรรคข้างถนนออกมาอีก ทะเลาะกับทุกคน ไม่มีใครถูกเลย ดูสิครับพันธมิตรฯ ด่าทหาร ด่าตำรวจ ด่าพระ ด่าทุกคน กระทั่งดาราเด็กๆ อย่างศรราม (นายศรราม เทพพิทักษ์) ให้ความเห็นหน่อย ยังโดนเลย ผมว่าสังคมที่มีการจัดตั้ง เอาคนไปด่าไปอะไรแบบนี้ วันหนึ่งมันต้องแตกหัก จะต้องมีการปะทะกันแน่นอน ถ้าผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองนี้ไม่ต้องการที่จะเห็นเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ผมว่าต้องรีบจัดการ จัดการที่ตัวปัญหา

ปัญหาวันนี้เกิดขึ้นจากใครบ้าง? ถ้าคุณเห็นปัญหาอยู่ที่คุณทักษิณ จัดการคุณทักษิณ ถ้าคุณเห็นปัญหาอยู่ที่ สนธิ ลิ้ม ประท้วง จัดการที่นี่! จัดการไปเลย เพราะว่าเขาผิดกฎหมายแล้ว จัดการไปเลย ไม่ใช่มารอ มันไม่ใช่!

จริงๆ แล้วผมไม่ชอบรัฐบาล เพราะคุณไม่ทำตามหน้าที่ จริงๆ แล้วคุณผิดกฎหมาย คุณเป็นเจ้าหน้าที่แล้วคุณมายืนดูคนทำผิดกฎหมายได้อย่างไร

***หมายความว่าให้เข้าไปปราบเลย

อย่าไปพูดว่าเข้าไปปราบ แต่มันต้องมีทางออก ไม่ใช่ปล่อยให้ยืดเยื้อแบบนี้ โอเค! ถ้าจะเอาความผิดกัน ใช้กระบวนการทางกฎหมาย รัฐบาลฟ้องไปสิ อย่างที่ทำนี้ถูกต้อง แต่ว่ามันช้าไป

***แต่ทางพันธมิตรฯ ก็ยังไม่ยอมไปยื่นคัดค้านคำสั่งศาล แถมจะยื่นถอดถอนผู้พิพากษาศาลแพ่งอีก

อันนี้ไปกันใหญ่ ในเมื่อศาลตัดสินแล้ว ต้องยอมรับ ผมถึงพูดตั้งแต่ต้นไงครับว่า ตอนนี้คนที่หวังจะเข้ามามีอำนาจทางการเมืองใช้กฎหมายมาตีความ อ้างรัฐธรรมนูญ แล้วใช้กันอย่างพร่ำเพรื่อ ไม่รู้ขอบเขต ขนาดศาลตัดสินมายังจะไปถอดถอนศาลเลย ผมว่ามันเลอะเทอะไปใหญ่แล้ว ตกลงให้ 5 คนนั้นตัดสินไปเลยว่า ประเทศนี้ใครอยู่ได้ ทุกคนผิดทั่วประเทศ ฟังแค่ 5 คนนี้ เพ้อเจ้อครับ! อันนี้เพ้อเจ้อแล้ว!

***กลับมาที่เรื่องเศรษฐกิจ คุณเอกยุทธมองว่ารัฐบาลจะต้องแก้ปัญหาอย่างไร ในภาวะที่ปัญหาการเมืองรุมเร้าแบบนี้

จริงๆ แล้วมันแยกกันไม่ออกระหว่างการเมืองกับเศรษฐกิจในบ้านเรา ตัวหลักที่ถ่วงเศรษฐกิจคือการเมือง แต่ว่าในอีกทางหนึ่ง ในเมื่อการเมืองเป็นแบบนี้ นักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศชาติควรจะมีวิสัยทัศน์ ผมยังมองไม่เห็นวิสัยทัศน์ของรัฐบาลชุดนี้เลย ไม่ว่ารัฐมนตรีคลัง รัฐมนตรีพาณิชย์ รัฐมนตรีพลังงาน ทุกคนพูดเพื่อให้เกิดกระแส อย่างรัฐมนตรีคลังพูดเรื่องจีดีพี แต่ว่าในความเป็นจริง เงินเฟ้อมันขึ้นมาถึง 7-8% แต่จีดีพี 5% มันยังติดลบอยู่ เรื่องนี้ถ้าไปพูดทั่วไป ประชาชนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงเศรษฐกิจจะไม่เข้าใจ อาจจะมองว่าจีดีพีไปได้ แต่จริงๆ มันติดลบไปแล้ว

เรื่องค่าเงินมีส่วน การควบคุมค่าเงินระหว่างธนาคารชาติกับกระทรวงการคลัง จริงๆ แล้วในแบงก์ชาติควรจะเป็นอิสระ แต่บ้านเราดูเหมือนว่าจะถูกอิทธิพลการเมืองครอบงำอยู่ทุกขณะ ตั้งแต่สมัยที่ทหารอยู่ มาตรการกันสำรอง 30% ทำให้คนเจ๊งไปเยอะ แบงก์ชาติเสียไป 4 แสน 5 แสนล้านบาท แต่มีบางคนรวย เป็นคนที่รู้ข้อมูลก่อน เช่นกัน มาถึงรัฐบาลนี้ แบงก์ชาติทำอะไรไป โปร่งใสขนาดไหน ตอนนี้มีคำถามเยอะไปหมด รัฐมนตรีพาณิชย์ทำอะไรได้บ้าง ข้าวราคาขึ้นไปถึงกว่าพันดอลลาร์ ชาวนายังขายได้ราคาถูกอยู่ ข้าวราคาตกมาชาวนาตาย คือตอนราคาดีประชาชนไม่ได้ประโยชน์ พ่อค้ารวย ราคาไม่ดีคนจน จนต่อไป พ่อค้าไม่เดือดร้อนมาก

ส่วนรัฐมนตรีพลังงานทำอะไร เข้ามาศึกษางานอย่างเดียว พูดหวาน พูดจาไพเราะ เพราะเป็นผู้หญิง ถึงเวลาน้ำมันขึ้น ทุกอย่างเป็นภาพลวงตาหมดนะครับ แก๊สที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ LPG ต่างประเทศขายกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน แต่ราคาขายเมืองไทยกว่า 350 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน บวกพรีเมี่ยม คือประมาณ 400 ดอลลาร์สหรัฐ คุณจะเอาเงินภาษีของคนทั้งประเทศมาอุดหนุนเรื่องนี้มันไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะไม่ยอมปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาด ทุกวันนี้ที่แก๊สขาดแคลนเพราะว่าอะไร ซื้อถูกไง เมืองไทย 400 ดอลลาร์สหรัฐ ไปชาติต่างประเทศกำไร 400 ดอลลาร์สหรัฐ สบายๆ ใครเก็บไว้ล้านตัน 400 ล้านดอลลาร์เลย เป็นช่องว่างให้หาเงินกัน จะถามว่าเขาโง่กันหรือเปล่า ผมว่าไม่น่าโง่นะ มันมี 2 อย่างคือ ถ้าไม่โง่ ก็โกง มันพูดอย่างอื่นไม่ได้ คุณเป็นรัฐมนตรี ถูกไหมครับ คือถ้าไม่โกงแสดงว่าโง่ ปล่อยให้เขาทำอย่างนี้ได้

กระทรวงการคลังค่าเงินอยู่ที่ 30 บาทต้นๆ ก่อนที่หมอเลี้ยบจะเข้ามา แต่ตอนนี้ 33.60 ขึ้นไป 10% และใครได้ ใครเสีย ทำไมช่วงก่อนพวกพ่อค้าส่งออกโวยวายกันจังว่าค่าเงินบาทแข็ง แต่วันนี้เงียบเพราะอะไร เพราะไปได้เงินกันหมด รู้ข้อมูลภายในหรือเปล่า เราไม่รู้ เราเป็นประชาชนคนธรรมดา แต่คนที่รู้ก่อนเขารู้ว่าเงินบาทมันจะอ่อน 2-3 เดือน ผมไปซื้อดอลลาร์ไว้ก่อน 30 บาท 2-3 เดือน ขายได้ 33.60 บาทแล้ว อันนี้คือสิ่งที่ผมพยายามพูดว่ารัฐบาลไม่มีวิสัยทัศน์พอ โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีเอง อันนี้ต้องพูดกันตรงๆ

เพราะปัญหาของประเทศชาติมันเยอะ เราไม่ได้ต้องการรัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหาอย่างเดียว เราต้องการคนมาพัฒนา มันต้องมองสิครับว่าปีนี้ ปีหน้า มันจะเป็นอย่างไร มันถึงจะพัฒนาประเทศได้ แต่ทุกรัฐบาลขึ้นมาจะฟาดอย่างเดียวคือ รถไฟฟ้า ไม่ว่ารัฐบาลไหนมีปัญญาคิดได้แค่นี้ จะเอารถไฟฟ้า 5-6 สาย

อันนี้คือสิ่งที่บอกว่ามันคือปัญหาเศรษฐกิจ ถ้ายังตกอยู่ในมือของกลุ่มคนที่ไม่มีวิสัยทัศน์ เราไม่ได้ดูถูกนะ อย่างเอาหมอมาเป็นรัฐมนตรีคลัง เอาผู้รับเหมามาเป็นรัฐมนตรีคมนาคม อะไรต่ออะไรไม่รู้ ซึ่งไม่ได้ว่าใครจะทำอาชีพอะไร การศึกษาเป็นอย่างไร ผมว่าผมไม่สนใจนะ แต่มีวิสัยทัศน์พอไหมที่จะทำได้ ถ้าเก่งพอ ยอมรับ แต่เท่าที่มองผม ยังไม่เห็น รัฐมนตรีบางคนที่มองบางทีดูแล้วไม่รู้ว่าใช่รัฐมนตรีหรือเปล่า อันนี้คือความแปลกของการเมืองบ้านเรา ที่มีอำนาจจากการมีฐานเสียงมาก แต่ว่าวิสัยทัศน์ที่จะมาบริหารประเทศยังน้อยมาก

***ดูเหมือนว่ารัฐบาลกำลังแย่ ทั้งศาล ฝ่ายค้าน และพันธมิตรฯ ปัญหาต่างๆ รุมเข้ามา คุณเอกยุทธมองว่าความไม่มั่นคงทางเสถียรภาพตรงนี้มีผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจของประเทศไหม

มากเลย ตรงนี้ชัดเจนเลย เพราะว่าคนไทยที่มีเงิน ผมจะไม่พูดถึงต่างชาติเลย เพราะผมอยู่ในแวดวงผมรู้เลยว่า นักลงทุนต่างชาติเขาไม่มาแน่ เพราะว่าถ้าเขามาต้องได้ประโยชน์ สถานการณ์เช่นนี้มันถึงไม่มีใครเข้ามา การลงทุนนั้นในระยะยาว บนพื้นฐานเศรษฐกิจของเรายังโอเค ยังไปได้ แต่เขางงกับเรื่องนโยบายรัฐมากกว่า อย่างเรื่องพลังงานที่ผมพูด การเข้าไปแทรกแซง ปตท. หลายครั้งในเรื่องค่าแก๊ส เรื่องการกลั่น อันนี้เป็นเรื่องที่ผิด ถึงแม้ว่า ปตท. รัฐบาลจะถือหุ้นใหญ่ แต่เป็นบริษัทมหาชน เรื่องนี้ถือว่าเป็นการดำเนินการที่ผิดเลย เพราะว่าต่างชาติเขาจะมองถึงการแทรกแซงของรัฐบาลไปสู่เอกชน อย่างเอกชนทำธุรกิจ อยู่ๆ โดนรัฐบาลแทรกแซงตลอด เขาอยู่ไม่ได้ เลยไม่มีใครกล้าเข้ามาลงทุน

***คุณสนธิเสนอแนวคิดเรื่องที่จะให้ค่าน้ำมันถูกลง ให้รัฐบาลซึ่งถือหุ้นอยู่ 51% ประกาศไม่ต้องจ่ายเงินปันผล 5 ปี แล้วเอาเงินกำไร 2 แสนล้านบาทในตลาดมาอุดหนุนราคาน้ำมัน

ในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ คือว่าถ้า คุณเสนอนโยบายมาเหมือนกับรัฐบาลทักษิณ คุณไปด่าเขาประชานิยม แต่ความคิดของคุณนี้ "โคตรประชานิยม" ยิ่งกว่าอีก คุณจะไปเอาเงินกำไรซึ่งบริษัทมีอยู่ ทุกบริษัททำธุรกิจต้องหวังผลกำไร อย่าลืมนะครับว่า การที่จะเอาเงินออกมา จะเอาออกมาได้เฉยๆ บริษัทเขาต้องเอาเงินจากกำไรส่วนหนึ่งไว้พัฒนา แต่คุณจะเอากำไรของเขามาทั้งหมดแสนล้าน แล้วอีกหน่อยท่อตันจะเอาเงินที่ไหนมาซ่อมละครับ โรงกลั่นไม่ขยายแล้วจะเอากำไรมาจากที่ไหน การไม่หาแหล่งน้ำมันใหม่ๆ แล้วจะเอาน้ำมันจากไหนในอนาคต พูดแบบไม่คิด

คุณไม่ลงทุนแล้วคุณจะเอาแหล่งน้ำมันที่ไหนมาใช้ ปตท. เขาต้องไปลงทุนต่างประเทศ เขาต้องออกไปหาแหล่งน้ำมันใหม่ ต้องไปขุดเจาะใหม่ ต้องไปเดินท่อมาทำทีเป็นแสนล้าน ปรับปรุงเทคโนโลยีใหม่ทุกอย่างมันใช้เงิน แต่นี่บอกว่าเอากำไรหมดเลย แล้วบริษัทจะเอาทุนที่ไหนไปทำต่อ มันไม่ใช่! คุณมาพูดเรื่องประชานิยม จะมาเอาเงินง่ายๆ มันไม่ถูกต้อง ถ้าจะมาพูดเรื่องประชานิยม ผมว่าถ้าจะหาเงินแบบง่ายๆ เอาวิธีนี้ดีกว่า คุณจัดการพวกโกงให้ได้ดีกว่า งบประมาณของชาติ 2 ล้านล้านนะ แล้วมีงบนอกงบประมาณอีก 2-3 ล้านล้าน ตีซะ 4-5 ล้านล้าน ถ้าโกงกันแค่ 10-20% มากกว่านั้นอีก จะมาเอาอะไรกับเงิน ปตท. เพ้อเจ้อ

แล้วราคาน้ำมัน คุณจะมาบอกว่ารัฐอุดหนุนตลอด คนไทยจะเป็นอย่างนี้ตลอด โทษนะครับ ขี้ขอตลอดชาติ ต่างประเทศเขาใช้กัน ผมอยู่ที่อังกฤษยังใช้ลิตรละกว่า 100 บาทเลย คุณข้ามไปที่มาเลเซียวันนี้ เขายังขึ้นไปลิตรละ 30-40 บาทเลย ทั้งๆ ที่ประเทศเขามีน้ำมัน ที่สิงคโปร์ 60-70 บาท แล้วคุณใช้แค่กว่า 40 บาท จะมาบ่นอะไรในเมื่อตลาดโลกมันแพง คุณต้องปรับตัว จะมาแบมือขออย่างเดียว ความคิดแบบนี้ถือเป็นความคิดที่อันตราย

คือคิดแบบว่ามองภาพด้านเดียว คิดที่จะไม่ทำอะไรเลย ถ้าทุกอย่างไม่คิดที่จะทำอะไรเลย ผมถามหน่อยว่า คุณจะเอาเงินที่ไหนมาทำ ประเทศชาติ ภาษีเกิดจากอะไร เกิดจากเงินกำไรของคน ของทุกคน คุณทำงานก็ได้เงินเดือน ก็ถือเป็นกำไร ทุกบริษัทได้กำไรมาก็ต้องเสียภาษี ก็ต้องเอาเงินภาษีนี้มาพัฒนา แต่เวลานี้เราไม่ได้เอาเงินมาพัฒนา แต่เราเอามาแก้ปัญหาอย่างเดียว นี่แหละ ตรงนี้คือปัญหา คือสิ่งที่เขาคิดว่าเอาเงิน ปตท. มาแล้วจะแก้ปัญหา มันจะแก้ได้อย่างไรล่ะ ถ้าน้ำมันขึ้นเป็น 200 ดอลลาร์สหรัฐ แล้วเอาเงินมาอุดหนุนไว้ แล้วเมื่อไรคนไทยถึงจะรู้ล่ะ หลับไปตื่นมาอีก ตายละ น้ำมันขึ้นไปลิตรละ 300 บาทแล้ว เมื่อวานยังจ่ายอยู่ 50 บาท แล้วคนจะปรับตัวได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ แนวความคิดนี้ผมว่าตื้นไป ไม่รู้จักหลักเศรษฐศาสตร์ เป็นไปไม่ได้เลย

***เท่าที่ฟังมา พันธมิตรฯ ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง รัฐบาลเองยังขาดผลงานที่ชัดเจน หลายคนอาจจะสงสัยว่าคุณเอกยุทธจะเอาแนวทางไหนกันแน่ หรือว่าพรรคประชาธิปัตย์

ถ้าถามถึงตัวบุคคล ผมมองไม่เห็น คนดีๆ ในสังคมมีเยอะ แต่คงไม่มีโอกาส แต่คงไม่เห็น เพราะเมืองไทยถูกระบบทับซ้อนกันอยู่ คนดีๆ คนเก่งเราจึงไม่เห็น และไม่มีโอกาสเกิดขึ้นมา ถ้าถามว่า เอาพรรคประชาธิปัตย์ไหม จะเอามาทำอะไร? มีอะไรมานำเสนอให้น่าฟังบ้าง แม้เราจะชอบเพราะเป็นพรรคเดียวที่เหลืออยู่ ที่ยังไม่โดนยุบพรรค ผมยังสงสัยพรรคอื่นโดนกันหมด ทำไมพรรคนี้ไม่โดน ถ้าพูดถึงพรรคพลังประชาชน มาจากพรรคไทยรักไทย ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่อยู่ กลุ่ม 111 คนไม่อยู่ เหมือนไม่มีเรี่ยวแรงทำงาน เพราะคนทำงานจริงๆ ไม่อยู่เสียแล้ว

ส่วนจะเอาฝ่ายสนธิ บริษัทตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย เจ๊ง! ล้มละลายไม่รู้กี่รอบแล้ว คุณจำลอง อาจเป็นคนดีในสายตาประชาชน แต่ไม่ได้ผ่านงานบริหารประเทศชาติในขนาดที่เรียกว่า ยุคนี้มันยุคเศรษฐกิจ มันไม่ใช่ยุคที่ใครเป็นทหารมีมวลชนมากคุณชนะแล้ว คุณต้องตอบคำถามให้ได้ แล้วเราจะเอาอะไรกินกัน จะเอา นายสมศักดิ์ โกศัยสุข เครายาวเฟื้อย จะเอามาเป็นผู้บริหารประเทศ คุณพิภพ (นายพิภพ ธงไชย) มีจุกอยู่ข้างหลัง แล้วจะเอามาทำอะไร อยากจะถามหน่อย
ถามผมว่า

กลุ่มนี้ไม่ชอบอย่างนั้นอย่างนี้ ความไม่ชอบของผมไม่ได้หมายความว่าจะปิดกั้น ประชาชนเอาเขา แต่ถ้าผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเรา หรือคนมีอำนาจเปิดโอกาสให้สังคม ให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมาได้ พวกนี้ต้องถูกให้ออกไปเลยนะ คือถ้าเขาผ่านระบบตรวจสอบได้ ลงมาเลย ยอมรับ แต่ถ้าไม่มี คุณลงได้ ใครก็ได้ จะเป็นข้าราชการซี 5 ซี 6 อยากจะเป็นนักการเมือง หรือคนที่อยู่ต่างจังหวัดที่เขานับหน้าถือตา แต่ตอนนี้ลงไม่ได้ ไม่มีปัญญาลง ติดขัด ต้องสังกัดพรรคการเมือง 90 วัน ฯลฯ

กฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายบ้านเรา หยุมหยิม ทำให้นักการเมืองเปรียบเสมือนโจร แย่ยิ่งกว่าโจร ถ้าโจรนี่กฎหมายมาตราเดียว ถ้าปล้นคือปล้น ข่มขืนคือข่มขืน ฉ้อโกงคือฉ้อโกง มาตราเดียว แต่นักการเมือง ไม่รู้ ไม่รู้ว่าอะไรผิดบ้าง ขนาดนายกฯ สมัคร ไปออกรายการยังบอกว่าผิดเลย ตัวเองมีเงินอยู่ ยังบอกว่าผิดเลย อยากจะลงสมัครพรรคการเมืองยังไม่ให้ผมลง เพราะผลประโยชน์ไม่ถูกกัน อย่างนี้เรียกประชาธิปไตยใช่ไหม?...มันไม่ใช่! มันต้องเปลี่ยน ผมถึงบอกว่ารัฐธรรมนูญอย่างนี้มันใช้ไม่ได้แล้ว คุณเอาคนมาเขียนรัฐธรรมนูญ

ซึ่งเป็นคนในแวดวงการเมืองที่มีอคติส่วนตัว กูชนะ กูต้องเขียนอย่างนี้ เพื่อไม่ให้มึงมา เศรษฐีเขียนคือปี 2540 คนจนไม่ต้องมา คนรวยอย่างเดียวมาได้ มาได้อย่างเดียว คือยุคทักษิณ ส่วนยุคทหาร คนรวยกูไม่ให้มึงมา ต้องมีพรรคข้างถนน อย่างนี้ไม่จบ แต่แล้วคนที่ปกครองบ้านเมืองอยู่ ที่มีอำนาจเด็ดขาด ที่เคยหรือกำลังมีอำนาจอยู่ ถ้าไม่ขยับ ปฏิบัติการแก้ไข และคิดว่าตัวเองแน่อยู่นะ ประเทศไทยยังเป็นอย่างนี้ไปอีกนาน แก้ไม่ได้

**** คุณเอกยุทธมองเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ ที่จะเป็นอีกทางออกของประเทศอย่างไร

พูดถึงรัฐบาลแห่งชาติ ในความเป็นไปได้ผมยังมองไม่เห็นว่า ในที่สุดแล้ว ประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างไร รัฐบาลแห่งชาติในความหมายของพรรคการเมือง น่าจะเป็นการผสมผสาน คือแบ่งอำนาจของนักการเมือง โดยประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร จะให้นายบรรหาร ศิลปอาชา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ นายเสนาะ เทียนทอง หรือให้ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล นั่งร่วมด้วย ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม คือไม่มีการเปลี่ยนแปลง เปรียบกับเวลานี้เราตีกันเอง กำลังชกอยู่ในวัด พวกมวยวัดทั้งหลาย เมื่อมีกรรมการคือพระมาห้าม บอกให้เข้ามานั่งในกุฏิทุกคน และคนดูข้างนอกได้อะไร ไม่ได้อะไรเลย ซึ่งน่ากลัวกว่า เพราะถ้านักการเมือง หรือพวกโจรทางการเมือง ผสานกันได้เมื่อไร ประเทศชาติย่อยยับ นี่ขนาดผสานกันไม่ได้ยังย่อยยับขนาดนี้เลย เพราะตอนนี้ต่างฝ่ายต่างอยากใหญ่ ถ้ามารวมตัวกันได้นะคุณเอ๋ย...ฉิบหาย

**** แล้วทางออกควรเป็นอย่างไร

อย่างที่ผมเสนอ มันเหมือนไก่กับไข่ สิ่งที่ผมเสนอคือสิ่งที่ง่ายๆ และคิดว่าทุกคนรับได้ แต่โจรไม่รับ ผมเสนอมาหลายรัฐบาลแล้วไม่รับ ถ้าคุณสูญเสียอะไรในการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 คุณจะเขียนเสนอรัฐธรรมนูญร้อยแปดพันเก้าอะไร ผมไม่สนใจ ผมเสนอแค่ข้อเดียว ถ้าทำได้ทุกคนก็จบ ถามหน่อยมันยุติธรรมไหม ถ้าคุณเป็นนักการเมือง ที่ถูกรัฐบาลบอกว่า...คุณทักษิณที่มีเงินอยู่แสนล้านจะมาเล่นการเมือง ถ้าคุณทักษิณชี้แจงได้ว่าเงินแสนล้านนี้มาจากไหน โอ้โห...ตบมือให้เลย แต่ถ้าให้บอกว่า คุณมีเงินมาแปดหมื่นล้าน พันล้าน รวยมาแล้ว ไม่โกง นั่นเป็นคนยิ่งใหญ่หมด นั่นบรรหาร นี่เสนาะ มีบ้านเป็นสิบๆ ล้าน เอาเงินมาจากไหน ไม่เห็นบอกเลย บอกอย่างเดียวรวย ตรงนี้คือปัญหา คุณได้คนพวกนี้มา แล้วคนพวกนี้มากำหนดเกณฑ์การเมือง แล้วคุณจะได้สิทธิบริสุทธิ์แก่ประชาชนได้อย่างไร ไม่มีทาง กับการที่จะเกิดตรงนี้ได้ ต้องมีคนทุบโต๊ะ แล้วเขียนแก้ไขใหม่ จะเอาฉบับไหนมา ผมไม่สนใจ จะ 40 หรือ 50 จบ ทุกคนแฟร์

***** คุณเอกยุทธเชื่อว่าจะมีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีกไหม

ผมเชื่อว่าในช่วงนี้ไม่มี ทหารที่จะออกมาทำรัฐประหารในช่วงนี้เงื่อนไขมันเยอะ 1.เงื่อนไขทางการเมืองมีความขัดแย้งสูง 2.ผลประโยชน์ของทหารจะถูกกระทบ ผมพูดได้เลยตอนนี้ ทหารจะเกลียดผมไม่สนใจ คือเวลานี้ทหารยังสมประโยชน์กับรัฐบาลอยู่ ของบไป นายกฯ สมัคร ให้หมด งบภาคใต้ งบทุกอย่าง ทหารไม่เสียประโยชน์ ผมบอกได้เลย ถ้าประชาชนมีปัญหาตีกันอย่างไร ไม่มีการปฏิวัติเกิดขึ้น และยังมีเงื่อนไขที่สูงสุด ซึ่งมิบังควรกล่าวในที่นี้

อาจจะอีก 2 เดือน ที่จะมีการย้ายทหาร แต่ผมเชื่อว่าลงตัว ไม่มีปัญหา เชื่อว่าความพยายามที่อยากจะทำการปฏิวัติมีแน่นอน โดยที่เป็น 2 กลุ่ม คือ 1.นายทหารกลุ่มที่สูญเสียอำนาจไปแล้ว ที่อยากจะกลับมามีอำนาจ ซึ่งกำลังโดนภาคยุติธรรมไล่บี้อยู่ คือกลุ่มที่สนิทกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนจะเป็นใคร เราไม่ทราบ นอกจากมีความพยายาม 2.คือกลุ่มใกล้เกษียณ หรือเกษียณไปแล้ว กลัวโดนเช็กบิล เพราะการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 นี้มีความไม่ชอบมาพากล ที่อาจจะมีเยอะแยะ ที่เราไม่ทราบ

แต่ทั้ง 2 กลุ่มนี้ เหตุผลยังไม่พอที่จะทำการปฏิวัติรัฐประหาร จะมาอ้างให้กลุ่มพันธมิตรฯ หรือพรรคข้างถนนมาตีกัน ผมเชื่อว่ากระบวนการของศาลในตอนนี้น่าจะมีผู้หลักผู้ใหญ่จริงๆ นั่งมองดูว่า อำนาจศาลจะดีที่สุด เรื่องปฏิวัติผมเชื่อว่าไม่มี

***** เงื่อนไขตุลาการภิวัตน์ที่หลายฝ่ายเขามองกันว่า ศาลจะเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง ยังมีความน่าเป็นห่วง คุณเอกยุทธมองว่าจะยังมีต่อไปไหม

มันมีแน่นอน จนกว่าจะปะทุ ผมเชื่อว่ากระบวนการศาลที่นำออกมาใช้ในตอนนี้เป็นสิ่งที่ดี ใครไม่ชอบรัฐบาลฟ้องเอา แต่การตัดสินของศาลจะยากขึ้น เพราะมองเหมือนการแทรกแซงทางการเมือง แต่ที่จริงแล้วเป็นกฎหมาย ที่ไม่เคยถูกนำมาใช้ ซึ่งเขียนในรัฐธรรมนูญมานานแล้ว ซึ่งศาลปกครองตั้งแต่ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ว่าของเราใช้พร่ำเพรื่อนิดหนึ่ง แต่ผมเชื่อว่าถ้าใช้กระบวนการศาล ประคองไปอย่างนี้อีกปีสองปี ผมเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ขอร้องว่ากระบวนการที่ก่อนจะไปถึงศาลนี่ ขอให้ดีหน่อย เชื่อว่าศาลส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อถือได้ ผมไม่เชื่อที่คุณสมัครพูดว่า ศาลปกครองแทรกแซงฝ่ายบริหาร เป็นคำพูดซึ่งไม่สมควรออกมาจากผู้นำฝ่ายบริหาร ถ้าไม่มีเรื่อง ใครจะไปฟ้องศาลได้ ไม่ใช่ศาลเจ้านะ มันต้องมีกระบวนการตามหลักกฎหมาย ศาลเขาถึงจะรับพิจารณา

ประชาทรรศน์รายสัปดาห์

จาก thai-grassroots