คอลัมน์ : โต๊ะข่าวประชาทรรศน์
การแต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ของ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง และเป็นไปในทางลบเสียเป็นส่วนใหญ่
แม้ว่านายทหารหลายคนจะไม่ออกมาติติงอย่างเต็มปากเต็มคำ ด้วยความที่ พล.อ.ปฐมพงษ์ ก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ สมควรที่จะมีความคิดและสำนึกได้เอง
แต่ก็เชื่อว่าหลายคนมองเห็นถึงความไม่เหมาะสม
ขนาดคนของประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. หรือ ส.ส.สอบตก ที่มาป้วนเปี้ยนขึ้นเวทีม็อบอยู่หลายคน จนผู้คนรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงกัน ก็ยังรู้จักเหนียมอาย ออกมาบอกกล่าวว่าเป็นการขึ้นเวทีในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรคการเมือง
นั่นหมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์ เองก็รู้ว่าการออกมาเคลื่อนไหวบนเวทีข้างถนนไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม โดยเฉพาะคนที่มีบทบาทที่จะต้องวางตัวอย่างเป็นกลาง และเป็นคนที่อยู่ในสายตาของคนทั้งประเทศ
แต่ทำไม พล.อ.ปฐมพงษ์ จึงคิดไม่ได้แบบเดียวกัน
จะเป็นเพราะมีวิธีคิดแบบทหารโบราณ ที่นิยมใช้กำลังมากกว่าการใช้สมอง อย่างนั้นหรือเปล่า
เพราะไม่ว่าจะพิจารณาด้วยเหตุผลกลใด ไม่ว่า พล.อ.ปฐมพงษ์ จะมีความปรารถนาในการเคลื่อนไหวอย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่เล็งเห็นว่าเป็นความชาญฉลาด ที่ออกมาเปิดตัว พร้อมกับเปิดเปลือยขบวนการที่เกี่ยวข้องเช่นนี้
เพราะการออกมาขับเคลื่อน ทำให้ผู้คนได้รู้ได้เห็นภาพชัดมากขึ้นถึงขบวนการการขับเคลื่อนล้มล้างรัฐบาล ที่มีเวทีพันธมิตรฯ เป็นฉากหน้า
ความสัมพันธ์แรกที่ไม่อาจปฏิเสธ คือการเป็นสามีที่แม้จะไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย แต่สังคมก็รับรู้ถึงการอยู่กินกันมาอย่างยาวนาน กับ คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช และรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์หลายสมัย
เป็นการคอนเฟิร์มถึงบทบาทและท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีคนสงสัยมาอย่างต่อเนื่อง
ความสัมพันธ์ต่อมา การที่ พล.อ.ปฐมพงษ์ เลือกเสนอความคิดความเห็นผ่านเวทีพันธมิตรฯ ที่รู้กันดีว่ามีเจตนาล้มล้างรัฐบาล นั่นหมายถึงความคิดอ่านที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือพูด
ง่ายๆ ว่ามีความเป็นพวกเดียวกัน
ทั้งยังเป็นเรื่องน่าตลกที่นายทหารยศพลเอก อัตราจอมพล ต้องทำหนังสือขออนุญาตแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 6 คน เพื่อขอออกมาระบายความเห็นเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร
แต่ขณะเดียวกันทั้งที่กินเงินเดือนข้าราชการจากภาษีประชาชน กลับไม่เสนอความเห็นเป็นขั้นเป็นตอนให้กับรัฐบาล เพื่อประกอบการทำงานบ้านเมือง ให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน
ซึ่งหาก พล.อ.ปฐมพงษ์ ไม่เชื่อมั่น ไม่ศรัทธาในระบบ ไม่เห็นคล้องกับการทำงานที่ต้องมีลำดับชั้นการบังคับบัญชา ที่นายทหารทั้งหลายยึดถือกันแน่นหนา ก็สมควรเอาตัวเองออกไปจากระบบ ไปเคลื่อนไหวในวิถีที่ตัวเองเชื่อมั่น
ส่วนอีกความสัมพันธ์หนึ่ง ก็คือการมีหนังสือขอเคลื่อนไหวเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร ถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะประธานองคมนตรี ที่มีการเกษียนหนังสือกลับมาว่า “เป็นการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินอย่างหนึ่ง”
การกระทำดังกล่าวย่อมบอกเล่าชัดเจนว่าคนทั้งคู่มีความสัมพันธ์กัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะจดหมายของ พล.อ.ปฐมพงษ์ ขอคำปรึกษาไปถึงประธานองคมนตรี ทั้งที่องคมนตรีนั้นมีหน้าที่ถวายคำปรึกษาพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
หากจะเป็นการกระทำที่คำนึงถึงความรู้ในกาลเทศะ ก็สมควรที่จะหารือและตอบรับกันอย่างเป็นส่วนตัว มิใช่โดยตำแหน่งและเอกสารทางราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นประเด็นที่อยู่นอกเหนือการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะข้าราชการ
และที่สำคัญเรื่องราวทั้งหมดยังเป็นการบอกเล่าถึงความเชื่อมโยงของคนกลุ่มหนึ่ง ที่อย่างน้อยก็มี พล.อ.ปฐมพงษ์ เป็นเบื้องต้น และมีตัวละครอื่นๆ ประกอบเข้าด้วยกันทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และมีพรรคประชาธิปัตย์ ที่เสมือนเป็นหนึ่งใจเดียวกัน
ทั้งยังรวมถึง นายคำนูณ สิทธิสมาน ที่ใช้ตำแหน่ง ส.ว.(ลากตั้ง) ไปประกันตัว สนธิ ลิ้มทองกุล ก็ยังเป็นการบอกเล่าถึงความเชื่อมโยงถึง ส.ว. ที่มาโดยกรรมการสรรหา 7 คนในยุคปฏิวัติรัฐประหาร
เป็นการบอกเล่าว่าเครือข่ายเผด็จการยังคงแทรกซึมอยู่ทุกหลืบมุมของบ้านเมือง โดยมีพันธมิตรฯ เป็นหน่วยกล้าตาย และมีหน่วยสนับสนุนปะปนอยู่ในที่ต่างๆ
รวมทั้งมี รธน.50 เป็นเครื่องมืออันสำคัญในการทำลายล้างรัฐบาล และสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับการบริหารบ้านเมือง...!!
บิ๊กโบ๊ต