เวทีวิชาการรุมฉะ “สันติอโศก” พวกหลงเพศ ยังสับสนบทบาทตัวเอง “มหาโชว์” ฉะทำตัวไร้วินัย เปรียบเหมือน “ควายไม่มีคอก” อยากแสดงบทบาทเป็นนักบวช แต่กลับออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ใช้สิทธิเลือกตั้ง ระบุไม่ได้สร้างความเสียหายเฉพาะศาสนา แต่ยังเป็นการทำลายชาติ สร้างความเสียหายต่อประเทศไทยในสายตาชาวโลก จ่อยื่นหนังสือถึงรัฐบาล 22 ก.ค.นี้ ผลักดันให้สำนักพระพุทธศาสนา ดำเนินการขั้นเด็ดขาด ก่อนจะเสียหายไปมากกว่านี้
เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา องค์กรชาวพุทธแห่งประเทศไทย และเครือข่ายชาวพุทธในยุโรป ได้จตัดงานเสวนาทางวิชาการ “สันติอโศกกับความมั่นคงของพระพุทธศาสนา” โดยมีนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิทางศานาร่วมการเสวนาอย่างคับคั่ง ท่ามกลางประชาชนนับพัน ที่แห่ร่วมรับฟังการเสวนา จนล้นห้องประชุม
ดร.มหาโชว์ ทัสสนีโย ผู้อำนวยการส่วนธรรมนิเทศ กล่าวว่า ลัทธิสันติอโศกกำลังสับสนทางเพศ เพราะว่าไม่รู้ว่าเป็นฆราวาสหรือสงฆ์ เมื่อขึ้นเวทีพันธมิตรแทนตัวเองว่าอาตมา แต่ก่อนหน้านั้นพวกสันติอโศกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญได้กำหนดข้อห้ามไม่ให้พระสงฆ์หรือนักบวชยุ่งเกี่ยวทางการเมือง
ลัทธิสันติอโศกส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนา เพราะเวลานี้ไม่มีพระรูปใดเข้าไปเตือน มีแต่พระพยอมเท่านั้นที่กล้าพูด ส่วน ผอ. สำนักพุทธ เถรสมาคมคุ้มครอง ก็ไม่ได้ให้ความชัดเจน บอกว่าสันติอโศกเป็นนักบวชประเภทหนึ่ง จึงอยากเรียกร้องให้พระผู้ใหญ่ออกมาจัดการให้ชัด
“อีกทั้งตัวบทกฎหมายก็ไม่ได้รองรับลัทธิสันติอโสก สิ่งที่ทำเวลานี้ เป็นการเลียนแบบพฤติกรรมสงฆ์ ตนมองว่าสันติอโศกไม่เข้าใจ ความหมาย ของพระพุทธศาสนาอย่างท่องแท้ ดูได้จากคำศัพท์ที่นำมาพูดบนเวทีพันธมิตร คำว่า อารยะขัดขืน การชุมนุมอย่างอหิงสาที่ใช้ไม่เบสบอลเป็นอาวุธ ทั้งที่คำว่าอหิงสา แปลว่าไม่เบียดเบียนด้วยกาย วาจา แต่บนเวทีกลับมีคำพูดส่อเสียด เช่น คณะท่านหอกหัก – พ่อไอ้ปื้ด”
เวลานี้เมื่อบ้านเมือง แยกฝ่าย สันติอโศกจึงอาศัยกระแสการเมืองทำการเคลื่อนไหวต่างๆ เหมือนพวกไม่มีวินัย “คนไม่มีวินัยก็เหมือนควายไม่มีคอก” เวลานี้ผลกระทบที่เกิดไม่ได้เกิดกับพระพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดผลกระทบต่อบ้านเมืองและประเทศชาติด้วย
ผศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม หัวหน้าภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ กล่าวถึงการแต่งกายของพระโพธิรักษ์ว่า ในทางกฎหมายจะเรียกโพธิรักษ์ว่าเป็นพระ เพราะมหาเถรสมาคมได้ตัดสินและตัดขาดจากการเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาแล้ว ตั้งแต่ปี 2531 การกระทำต่างๆที่เกิดขึ้นเวลานี้จึงเป็นการกระทำผิดซ้ำสอง หากมีการรวบรวมพยานหลักฐานก็น่าจะดำเนินคดีเอาผิดกับ โพธิรักษ์ได้ เพราะทางกฎหมายไม่มีมาตราไหนรับรองความเป็นพระ
ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดเราจึงควรลุกขึ้นมาสะสางและสังคายนาสันติอโศกอีกครั้งเพื่อให้เกิดความชัดเจนและโปร่งใสอีกครั้ง เราไม่ควารปล่อยปละละเลย
รศ.ดร.วรพล พรหมิกบุตร กล่าวถึงองค์ประกอบของลัทธิสันติอโศกว่าประกอบด้วยคน 2 ประเภท ประเภทที่หนึ่งคือ นักเคลื่อนไหวทางสังคม เช่น มหาจำลอง นายชัยวัฒน์ ประเภทที่สอง คือคนที่เคยบวชในศาสนามาก่อน อย่างนายรักษ์ รักษ์พงษ์ ซึ่งเคยเป็นพระแต่มีวิธีปฏิบัติตนที่ผิดแปลกจากพระสงฆ์ทั่วไป เถรสมาคมผลักออกจากการเป็นพระ และถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่นายรักษ์ก็ยังคง แต่งกายและมีพฤติกรรมเลียนแบบสงฆ์อยู่ ส่วนตัวมองว่าเป็นการรวมตัวของผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันมากว่า
ด้านพระครูสังฆพินัย เปิดเผยว่าการที่ร่วมกันจัดงานครั้งนี้เพื่อจะชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบว่า ลัทธิสันติอโศกที่มีสมณะโพธิรักษ์ เป็นผู้ก่อตั้งนั้น ไม่ได้ถูกบรรจุให้เป็นพระพุทธศาสนาตามคำพิพากษาของศาลฏีกา และให้พ้นจากความเป็นพระ ฉะนั้นการที่แต่งกายเลียบแบบพระ ใช้วิธีการเลียนแบบพระนั้น และถือว่าได้พ้นจากการปกครองของมหาเถรสมาคม ดังนั้นการที่จะออกมาเคลื่อนไหวต่างๆ ก็เป็นสิทธิแต่ว่าต้องห้ามแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ และทำอาการคล้ายสงฆ์ ถือเป็นการเสื่อมเสียภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ในสายตาประชาคมโลก
พร้อมกันนี้พระครูสังฆพินัย เปิดเผยด้วยว่า ในอังคารที่ 22 ก.ค.นี้ จะยื่นหนังสือต่อนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้สั่งการมายังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อดำเนินการต่อไป หากในเวลา 7 วันไม่ดำเนินการอย่างไร ก็ต้องแจ้งความในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
นพ.รัศมี วรรณิสสร กล่าวเพิ่มเติมว่าคำพิพากษาของศาลฏีกา ได้ลงความเห็นแล้วว่า ลัทธิสันติอโศกและคณะไม่ได้อยู่ในพระพุทธศาสนา แต่ลัทธิดังกล่าวยังก่อความวุ่นวายให้เกิดในสังคม
“เราดำเนินการเช่นนี้ ถือว่าเป็นการจี้ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาฯดำเนินการให้เร็วขึ้น เพราะที่ผ่านมาไม่ได้ดำเนินการอย่างไรกับลัทธินี้” นพ.รัศมีกล่าว
นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างเข้มข้นอีกหลายท่าน อาทิ พล.อ.ธงไช เกื้อสกุล ผศ.เสถียร วิพรมหา เลขาธิการองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์