คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ
อลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เคยอ้างเอาไว้ว่า พรรคประชาธิปัตย์เปิดทางให้สมาชิกไปขึ้นเวทีแสดงความคิดความเห็นร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ได้โดยเสรี
แต่ทั้งหลายทั้งปวงนั้น จะต้องเป็นไปด้วยความสุภาพเรียบร้อย
เป็นคำอ้างข้างๆ คูๆ ที่ใช้โต้แย้งเมื่อคราว สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ไปขึ้นเวทีพรรคประชาธิปัตย์ ที่นครศรีธรรมราช แต่กลับไปปลุกระดมนักรบศรีวิชัย และเรียกคนมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ
เป็นการใช้ทั้งบทบาท ส.ส. และบทบาทแกนนำม็อบ ผสมปนเปอย่างไม่เหมาะสม
แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ปล่อยให้สมเกียรติแสดงบทบาทบนเวทีข้างถนนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่อีกด้านหนึ่งต้องทำหน้าที่สมาชิกผู้ทรงเกียรติในสภาผู้แทนราษฎร
แม้แต่เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา สมเกียรติหนีการประชุมรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2552 ซึ่งเป็นภารกิจพื้นฐานของ ส.ส. ที่จะต้องดูแลปากท้องของพี่น้องประชาชน เพื่อไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯ พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังนิ่งเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อน
ทำเสมือนว่า พรรคประชาธิปัตย์กับกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
และยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อของผู้คน ถึงความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงมาตั้งแต่การปฏิวัติรัฐประหาร ไปจนถึงเจตนารมณ์ในการล้มล้างรัฐบาลเพื่อประโยชน์ร่วมกัน
ที่เริ่มฉายภาพชัดมาตั้งแต่ครั้ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำคณะอันประกอบด้วย องอาจ คล้ามไพบูลย์ ศิริโชค โสภา ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ฯลฯ เข้าคารวะ สนธิ ลิ้มทองกุล ถึงบ้านพระอาทิตย์ เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2550
จนถึงวันนี้ ปรากฏเป็นหลักฐานชัดแจ้งว่า สมเกียรติได้ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ พูดจาจาบจ้วงเบื้องสูง ชวนให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเสียหายต่อสถาบันอันเป็นที่รักและเทิดทูน
มีการแจ้งความดำเนินคดีในความผิดอาญา ตามมาตรา 112
พนักงานสอบสวนมีการพิจารณาต่อเนื่องถึง 17 วัน และที่สุดได้ขอดุลพินิจศาลออกหมายจับกุม
นั่นแสดงให้เห็นว่า การพูดจาดังกล่าวมีมูลความผิดชัดเจน...
ที่ผ่านมา มีเสียงเรียกร้องให้ประชาธิปัตย์หยุดเดิมเกมนอกสภา หยุดให้สมาชิกพรรคร่วมเวทีพันธมิตรฯ ทั้งในทางลับและทางแจ้ง และหันกลับมาเคารพในหลักการรัฐสภา
ให้กลับมาเป็นพรรคที่ยึดมั่นในหลักการ และมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เหมือนอย่างผู้บริหารพรรคในอดีตได้สั่งสมคุณงามความดีเอาไว้
แต่การนิ่งเฉย ไม่ตอบสนอง ก็ยังเข้าใจได้เพียงว่า พรรคประชาธิปัตย์ละทิ้งแล้วซึ่งหลักการ
พรรคประชาธิปัตย์ แม้จะเป็นพรรคการเมือง แต่ก็อาจนิยมชมชอบวิธีการข้างถนน
ที่สำคัญอาจเหมือนดังที่หลายคนสงสัย ก็คือ การมีเป้าหมาย และรับใช้คนคนเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม บนเงื่อนไขของวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์คงไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่นิ่งเฉยต่อไป
เพราะพฤติกรรมของ ส.ส.สมเกียรติ มิใช่เพียงชวนให้เข้าใจผิดในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพวกข้างถนน หรือเป็นเพียงการทำตัวไม่เหมาะสม ไม่เคารพกติกาประชาธิปไตยเท่านั้น
แต่เป็นการ “หมิ่นสถาบันเบื้องสูง”
หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่คนไทยทั้งประเทศรัก เทิดทูน และมีหน้าที่ปกป้อง
แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังสู้อุตส่าห์ตะแบงว่า เป็นเพียงแค่เรื่องส่วนตัว
หากเป็นเช่นนี้ นายอภิสิทธิ์คงต้องตอบคำถามสังคมให้ชัด
ว่าให้น้ำหนักกับการปกป้องสมาชิกพรรค มากกว่าคิดจะออกมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ หรืออย่างไรกัน?
การอ้างว่าไม่เคยสนับสนุนสมเกียรติในฐานะผู้นำม็อบ แต่ไม่เคยห้ามปราม จะถือเป็นความบกพร่อง หรือจงใจปล่อยปละละเลยของผู้บริหารพรรคหรือไม่?
พรรคประชาธิปัตย์คิดว่าการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงเป็นความผิดหรือเปล่า? ถ้าคิดเช่นนั้นจริง เหตุใดจึงไม่คิดจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดกับคนของตัวเอง ที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น?
ท่าทีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เฉยเมยจนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นท่าทีที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
พรรคประชาธิปัตย์ต้องรีบออกมาแสดงจุดยืนต่อสิ่งที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว อาจจะชวนให้คิดได้ว่า
พรรคประชาธิปัตย์ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์