บทความ โดย ลูกชาวนาไทย |
ข่าวการปะทะกันของกลุ่มพันธมิตร กับชาวบ้านในจังหวัดต่างๆ ไม่ว่าเชียงใหม่ อุบลฯ หรือล่าสุดที่จังหวัดศรีสะเกษ ถึงกับบาดเจ็บกันไปหลายคน ผมถือว่าสภาพเช่นนี้มันคือ "สงครามกลางเมืองนั่นเอง"
พัฒนาการต่อไปก็คงมีการบาดเจ็บล้มตาย การรุมประชาทัณฑ์ การลากศพประจาน แขวนคอศพเป็นต้น
มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะ "ความเกลียดชัง" ได้ถูกปลุกขึ้นมาแล้วมันยากที่จะมีใครไปควบคุมมันได้ อย่าว่าแต่ คนที่คิดว่าตัวเองมีบารมีสยบใครต่อใครได้เลย ตอนนี้ความเกลียดชังไประบาดทับถมไปทุกหัวใจของคนในประเทศนี้แล้ว
ไม่มีใครเคารพใคร หรือกลัวใครกันอีกต่อไปแล้ว
เมื่อ เล่นกันไม่ยอมจบ มันก็ต้องพังกันทุกฝ่ายอย่างที่เห็น และผมไม่เสียดายอะไรกับ สภาพบ้านเมืองในยุคที่บ้าคลั่งนี้แล้ว อะไรจะล่มสลายไป ก็เป็นกรรมของมันเอง ไม่ได้มีใครเป็นคนทำ สถาบันใดจะล่มสลายไป ก็เป็นเรื่องของกรรมของพวกเขาที่กระทำขึ้นมาเอง
เชื่อผมเถอะว่า "ศพแรก" จากการปะทะกันจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ หากยังมีการยั่วยุักันเรื่อยๆ
ตอน นี้ผมปลงเสียแล้ว เมื่ออยากฆ่ากันไม่ยอมเลิก ก็ต้องปล่อยมันไป ผมไม่ได้ภูมิใจกับแผ่นดินบ้าๆ นี้แล้วละ ไม่ได้คิดว่ามันเป็นสยามเมืองยิ้ม เมืองพุทธ ที่ผู้คนมีสติปัญญา ใช้ปัญญามากกว่าความโง่เขลา แต่ทำอย่างไรได้ ผมเกิดมาแล้ว สิทธิจากการเกิดย่อมมีเท่าคนอื่น ไม่ได้มีใครอยู่เหนือใคร
เมื่อไฟสงครามโดนจุดขึ้น มันจะจบจุดไหน ไม่มีทางที่ใครจะทราบได้
ตอนนี้ผมไม่กล้วแล้วว่า "ความรุนแรงจะนำไปสู่รัฐประหาร" เพราะใครทำรัฐประหาร ก็ไปไม่รอดในสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งอำนาจเด็ดขาดไม่ว่าของใคร ก็ไม่มีทางยุติปัญหาได้ แต่มันจะนำไปสู่ความ เคียดแค้นชิงชังกันมากขึ้น และมันก็ปะทุได้เสมอ
มันเลยจุดที่จะใช้อำนาจไปตัดสินแล้วว่า ข้อยุติมันจะเป็นอย่างไร
มีปืนก็ไม่มีทางยุติสงครามกลางเมืองได้อย่างแน่นอน
อำนาจตุลาการ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงการมีธงตั้งไว้อย่างชัดเจน สร้างความ อยุติธรรม ยิ่งนำไปสู่ความชิงชัง ไม่ยอมรับ และไม่มีทางที่จะนำไปสู่ข้อยุติ หรือความสงบกลับมาได้อย่างแน่นอน ยิ่งทำยิ่งไปกวนสถานการณ์ให้ขุ่นมากยิ่งขึ้น
ตอนนี้จะ "ยุบพรรค" ให้หมดทุกพรรคก็ทำไป แต่บ้านเมืองไม่สงบแน่นอน ยุบพรรคเขาก็ตั้งพรรคใหม่กันได้ เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่พรรค แต่ปัญหาอยู่ที่ "ประชาชนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มแล้ว"
จะเิอานายสมัคร สุนทรเวช ออกจากนายกฯ แล้ว "ดันอภิสิทธิ์ขึ้นเป็นนายกฯแทน" มันก็ไม่มีทางนำความสงบมาให้บ้านเมืองนี้ได้ มันยิ่งวุ่นวายไม่รู้จบมากยิ่งขึ้น เพราะมันฝืนใจมติของมหาชน ที่ไม่ยอมเป็น “ไพร่ฟ้าให้จูงจมูกได้อีกต่อไปแล้ว”
ตอนนี้คนกลางก็ไม่มีใครเชื่อว่า จะมีคนที่เป็นกลางอีกแล้ว
สถานการณ์ทางการเมืองตอนนี้เราจะเรียกว่า “ยุคอนาธิปไตยไ ก็ว่าได้ มีการเคลื่อนพลเข้าปะทะกันทุกวัน ไม่มีปัญญาชนคนไหน จะมีความน่าเชื่อถือพอที่จะให้สติแก่สังคมได้ ดังนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ ในส่วนตัวผมคิดว่า ใครอยากต่อสู้ด้วยวิธีการอย่างไรก็ทำไปเถอะครับตามกำลังของตน เพราะสภาพสังคมตอนนี้มันกลายเป็นสังคม "อนาธิปไตย" ค่อนข้างมากแล้ว
ใครจะเคลื่อนพลเข้าปะทะกับฝ่ายพันธมิตร ผมก็ไม่ห้าม เพราะมันก็คือวิธีการต่อสู้แบบหนึ่ง หากคิดจะทำ ก็คงทำไป เพราะตอนนี้ผมว่าต่อให้มีการฆ่ากันตายสักสองสามร้อยศพ ก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงไปจากทิศทางใหญ่สักเท่าใด สังคมก็ยังคงแตกแยกออกเป็นสองเสี่ยงอยู่เหมือนเดิม
ต่อให้เอาเป็น ข้ออ้างทำรัฐประหาร สังคมก็ไม่สงบหรอกครับ ทำรัฐประหารได้ ก็ปกครองไม่ได้เหมือนเดิม เพราะถึงอย่างไร เงื่อนไข "การเลือกตั้ง" ก็ยังเป็นข้อบังคับที่สุดท้ายก็ต้องมี "เลือกตั้ง"
และเมื่อมีเลือกตั้ง "เสียงของคนส่วนใหญ่" มันก็จะแสดงออกมาในทิศทางเดิม
ต่อ ให้ร่างรัฐธรรมนูญ 70/30 ขึ้นมาได้ ก็ไม่อาจนำความสงบมาสู่สังคมได้ เพราะคนจำนวนมาก ก็จะต่อสู้เพื่อให้ได้ "ประชาธิปไตย" ที่สมบูรณ์ต่อไป
และ "เงื่อนไขการพัฒนาเศรษฐกิจ" ก็จะเป็นแรงบีบรัฐบาลไม่ว่าใครจะขึ้นมาก็ต้อง "สร้างความกินดีอยู่ดี" ให้กับประชาชน คงใช้ "แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง" โดยที่รายได้ประชาชาติไม่เพิ่ม คนตกงาน ประชาชนไม่มีงานทำ คงไม่ได้
และ สุดท้าย การบริหารเศรษฐกิจ ก็ต้องใช้ "ประชานิยม" หรือจะพูดให้ถึงที่สุดคือ "รัฐสวัสดิการ" อยู่ดี เพราะเมื่อประเทศเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ "คนจำนวนมากมีสิทธิเลือกตั้ง และคนมีสิทธิเลือกตั้ง กว่าร้อยละ 70 เป็นคนยากจน นโยบาย "โปรคนจน" ย่อมชนะวันยังค่ำ
ระบอบทักษิณ ย่อมชนะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม คงไม่มีใคร "ลงคะแนนให้พรรคคนรวยปกครอง" เพื่อให้ตัวเองจนอีกต่อไป
ดัง นั้นสุดท้าย รัฐธรรมนูญมันก็ต้องเป็นประชาธิปไตยแบบ "ประชานิยม" หรือ "รัฐสวัสดิการ" อย่างแน่นอน ระบบมันไม่มีทางหลีกเลี่ยงไปจากนี้ได้ "ผิดจากนี้" มันต้องเป็นระบอบสังคมนิยม แบบคอมมิวนิสต์แหละครับ คนส่วนใหญ่ที่ยากจนถึงจะสงบ แต่ระบอบคอมมิวนิสต์ก็พิสูจน์แล้วว่าไปไม่รอด
ผมคิดว่าตอนนี้ ต่อให้นองเลือด พวก "เผด็จการศํกดินาอำมาตยาธิปไตย" ก็ไม่ชนะ และไม่มีทางใช้เป็นเงื่อนไขเพื่ออยู่ในอำนาจได้อย่างแน่นอน
พวก เผด็จการศํกดินาอำมาตยาธิปไตย จะอยู่ในอำนาจได้ "ก็ต้องทำแบบทักษิณ" ครับ คือทำให้เศรษฐกิจรุ่งเรือง และมีนโยบาย "ประชานิยม" สุดท้ายก็คือ "ทักษิณจำแลง" นั่นแหละ
เพื่อให้พวกบ้าสงบ บางทีปล่อยให้ปะทะกัน แกนนำไปป้าช้าเสียบ้าง บางทีมันอาจจะกระตุกได้เหมือนกัน
"ยั่วยุ" สร้างความเกลียดชังปะทะกันไปทั่วประเทศแล้ว มันต้องโดนประชาทัณฑ์ เข้าสักวัน ผมไม่ได้ยั่วยุ แต่ผมเบื่อเต็มทน
สรุปแล้ว ต่อให้สร้างสถานการณ์อย่างไร มันก็ไม่มีวันย้อนกลับคืนไปสู่วันคืนเก่าๆ ที่ประชาชน ยอมอยู่แค่ "พอเพียง" ยากจนเหมือนเดิมแล้วครับ เขาเคยมีชีวิตที่ดีกว่านั้นในยุคทักษิณ
สาเหตุที่ประชาชนทำอย่างนั้นได้เพราะ "พวกเขาออกเสียงกันเป็นกลุ่มก้อน" ทำให้มีอำนาจต่อรองสูง"
ดังนั้นการเมืองไทยจึงไม่มีทางพ้นระบบพรรคใหญ่ไปได้อย่างแน่นอน ไม่มีทางที่จะเกิดพรรคเล็กพรรคน้อยจำนวนมาก ให้พวกอำมาตย์ใช้อำนาจแทรกแซงได้อีกค่อไป
ถึงจะล้มพรรคพลังประชาชนได้ มันก็เกิดพรรคระบอบทักษิณ ชื่ออื่นขึ้นมาแทนที่ไม่มีวันจบสิ้น
ประชาชนแพ้ได้ และลุกขึ้นสู้ใหม่ได้เสมอ "พวกเผด็จการศักดินาอำมาตยาธิปไตย" แพ้ครั้งเดียวก็ไปเลยอย่างแน่นอน