“ทรงให้กำลังใจนายกฯ” “ในหลวงให้กำลังใจรัฐบาลทำงาน” วัดจากพาดหัวข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันที่ 23 กรกฎาคม น่าจะทำให้หัวใจที่กำลังห่อเหี่ยวของ “ลุงหมัก” นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี พองโตขึ้นมาเป็นกอง ใบหน้าที่เครียดจนซีดเซียว กลับมาบานฉ่ำมีน้ำมีนวล ภายหลังจากข่าวในพระราชสำนักทางสถานีโทรทัศน์ช่วงค่ำวันที่ 22 กรกฎาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายสมัคร และคณะกรรมการดำเนินโครงการจัดทำเข็มที่ระลึกตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 เข้าเฝ้าฯ ณ วังไกลกังวล หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และทรงมีพระราชดำรัสต่อคณะผู้เข้าเฝ้าฯความว่า “ขอขอบใจที่นายกรัฐมนตรีพาคณะกรรมการที่จะนำเงินมาให้ในโอกาสวันเกิด ซึ่งท่านอุตส่าห์มาถึงหัวหินด้วย เป็นการให้กำลังใจเพื่อจะได้ทำงานต่อไป และขอให้ ท่านมีกำลังใจที่จะทำงานการให้สำเร็จเรียบร้อย การที่มาให้กำลังใจที่ดีสำหรับข้าพเจ้าและคนอื่นเพื่อให้มีกำลังใจในการทำงานด้วย ขอให้ท่านมีกำลังใจในงานการที่ทำ รวมทั้งรัฐบาลและนายกฯทำงานให้สำเร็จเรียบร้อย ขอขอบใจที่ท่านอุตส่าห์มา และขอขอบใจที่ท่านตั้งใจจะทำงานเพื่อให้กิจการต่างๆก้าวหน้าด้วยดี และขอให้มีความสำเร็จในการงานทุกอย่าง เพื่อให้กิจการต่างๆ ก้าวหน้า ขอให้ท่านทำได้ มีผลสำเร็จในการงาน เพื่อที่จะได้ตั้งใจทำงาน กิจการต่างๆให้สำเร็จต่อการงานอย่างดี เพื่อที่จะให้ผลของท่านเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมด้วย ชาติบ้านเมืองก็จะเจริญก้าวหน้า ไม่เกิดความวุ่นวาย มีแต่ความสำเร็จก้าวหน้าต่อไป” “ลุงหมัก” ได้ยาหลวงขนานเอกเลย แต่ไม่แน่ว่าจะช่วยพยุงอาการช้ำในได้นานแค่ไหน ในสมรภูมิแนวรบขั้นสุดท้าย โดยเกมที่ลากมาจากคิวที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย มติคณะรัฐมนตรีรับรองแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เข้าข่ายสนธิสัญญาต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และก็เป็น “ลุงหมัก” ที่ออกมาโวยวาย ถือเป็นความอับอายที่ในคณะรัฐมนตรีไม่มีคนกล้ารับเป็นตัวแทนไปเจรจาความกับต่างชาติ เพราะกลัวโดนโทษถอดถอน สูญเสียเกียรติภูมิกระทรวงการต่างประเทศของไทย ล่าสุด นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน กรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้ เพื่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เปิดเกมย้อนศร ตั้งท่ารวบรวมรายชื่อ ส.ส.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการจัดซื้อเครื่องบินกริพเพน โดยไม่ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทั้งที่ รัฐธรรมนูญ 2550 มีผลบังคับใช้แล้ว พร้อมคาดการณ์ล่วงหน้าด้วยว่า หากศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่าขัดต่อ มาตรา 190 วรรค 2 จะส่งผลให้กองทัพเสียหาย สัญญาระหว่างไทยกับสวีเดนจะเป็นโมฆะ เงินที่เสียไปแล้วงวดแรกจะไม่ได้รับคืน รื้อมาล่อเป้าโดยเฉพาะ แน่นอนคิวนี้คนที่ต้องเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ก็คือ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ อดีตรักษาการประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เจ้าของต้นเรื่องจัดซื้อเครื่องบินกริพเพนสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกฯ ในฐานะบิ๊กกองทัพคนแรกในทีมอดีต คมช.ที่ออกมาส่งเสียงเข้มๆ ให้กำลังใจองค์กรอิสระที่ คมช.ทำคลอดออกมา แสดงตนสะท้อนจุดยืนอยู่ขั้วตรงข้ามกับรัฐบาล และก็รับมุกกันอย่างเป็นทางการ นายสามารถ แก้วมีชัย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ยืนยัน ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ จะรวบรวมรายชื่อ ส.ส.จำนวน 1 ใน 6 ของสภา เพื่อยื่น ศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ ที่ใช้งบประมาณผูกพัน 5 ปี ที่ดำเนินการตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรค 5 หรือไม่ เพื่อเป็นการสร้างบรรทัดฐาน และเพื่อให้ทราบว่าเรื่องนี้ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา อย่างไรต่อไป และก็เป็นอะไรที่ย้อนกลับไปอ่านประวัติศาสตร์ ถ้าการเมืองแตะกองทัพเมื่อไหร่ เข้าเงื่อนไข กลิ่นปฏิวัติโชยมาทุกที.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน