ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว
โดย *อัฐศิริ*
ได้เห็นฤทธิ์เดชของรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการกันมาแล้ว การบริหารงานบ้านเมืองมีปัญหา พรรคการเมืองถูกยุบเอาง่ายๆ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็น ขวากหนามของเผด็จการ จึงต้องทำลายกลไกของรัฐธรรมนูญไปให้หมด เพื่อสร้าง “การเมือง” ใหม่ขึ้นมาแทน
คนที่รักประชาธิปไตยเห็นตรงกันว่า ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ 2550 ให้เป็นประชาธิปไตย หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ เอารัฐธรรมนูญ 50 คืนไป เอารัฐธรรมนูญปี 40 กลับมา
เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีการพูดกันมาตลอด มีการอธิบายความว่าได้เกิดผลกระทบอย่างไร และจะต้องแก้อย่างไร
ตั้งท่ากันมานานแล้วครับ สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนกระทั่งมีการล่ารายชื่อประชาชนเพื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้มาอย่างท่วมท้นและได้ส่งร่างไปพิจารณาที่สภาแล้ว
แต่ท่าทีของ “ม็อบพันธมาร” ชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้แก้ไขโดยเด็ดขาด
ถ้ามีการเคลื่อนไหวเมื่อไรก็พร้อมจะต่อต้านคัดค้านจนถึงที่สุด ถึงขนาดจะเป็น “สงคราม” รอบใหม่
เห็นไหมครับ การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย มันไม่ง่ายเลย เพราะฝ่ายที่คัดค้านต่อต้านนั้น มีผู้หนุนหลังที่ไม่ธรรมดา ยังเหนียวแน่น
ปัญหามีไว้ให้แก้ อยู่ที่เราจะคิดแก้ปัญหา หรือ จะตัดปัญหา
ผมมีโอกาสพูดคุยกับคอการเมือง ระดับที่มีความรอบรู้เรื่องการเมือง เห็นการเมืองมาหลายยุคหลายสมัย มีประเด็นที่น่าสนใจ น่าสนใจมากเสียด้วย สำหรับทางออกหนึ่งในเรื่องนี้
เขาย้ำว่า การเมืองก็คือการเมือง เป็นเรื่องที่มองกันยาวๆ และต้องมองให้เห็น “แก่น” ไม่ใช่เห็นแค่ “กระพี้”อย่างฉาบฉวย แล้วมาทึกทักเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต โดยไม่ได้พินิจพิจารณาอย่างรอบด้าน
เพราะสิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่อย่างที่เห็นก็ได้ หรือสิ่งที่คิดว่าจะเป็น อาจไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้
การเมืองเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์ ต้องมีข้อมูล ถ้าเพียงแค่ฟังเขาเล่าว่าหรือ เขาบอกมา แล้วมาคิดเอาเอง ออกมาพูดเป็นตุเป็นตะ ตีโพยตีพาย ใส่อารมณ์โกรธแค้นฉุนเฉียว โดยที่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วคืออะไร มีความมุ่งหมายอย่างไร
ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับวัวควาย ที่ยินยอมพร้อมใจให้เขาจูงจมูก
เรื่องนี้ต้องระวังให้ดี ต้องสำนึก และพึงสำเหนียกให้ดี
ที่ผมพูดคุยกับผู้รู้ทางการเมืองนี้ ขอสรุปคร่าวๆ มาบอกเล่ากัน ดังนี้
ถามว่า วันนี้ พรรคเพื่อไทย จะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ไหม คำตอบคือ ขอได้ครับ แต่จะสำเร็จหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างยาก เพราะต้องเผชิญหน้ากับ “กลุ่มพันธมาร” ที่มีกองโจรอยู่ในมือ และพร้อมจะทำในสิ่งที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้นได้
คนพวกนี้ทำได้ทั้งนั้นครับ แม้ว่าทำไปแล้ว ประเทศชาติต้องพบกับความหายนะป่นปี้มากมายมหาศาล ก็เคยทำมาแล้ว ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ทำมาแล้ว
จะเป็นไปได้ไหม ถ้ามาคิดในทางกลับกันว่า เมื่อมีความจำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญให้ได้ทางพรรคเพื่อไทยแก้ไม่ได้ ก็ให้อีกฝ่ายหนึ่งแก้ได้ไหม
คำตอบคือได้ และ มีทางสำเร็จด้วย
เพราะพรรคประชาธิปัตย์ กระสันหมายมั่นจะเป็นรัฐบาล ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ ถึงขนาดวิ่งราวตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ในสภาก็เคยทำมาแล้ว
ก็ให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นหัวหอกเป็นเจ้าภาพในการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ไหม
คำตอบคือ ได้ แต่นั่นต้องให้พรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาลเต็มตัว
ถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นรัฐบาลเต็มตัวได้อย่างไร เพราะเสียงมี 160 กว่าเสียงคำตอบคือ ต้องมีเสียงไปเพิ่ม เพื่อทำให้พรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่า สามารถเป็นรัฐบาลได้ โดยมีความเสี่ยงน้อยที่สุด
เมื่อจะให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ เป็นหัวหอกในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อมาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ต้องมีพรรคการเมืองอื่นมาร่วมด้วย ซึ่งก็มีพรรคร่วมรัฐบาลเก่า กลับลำไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ อย่างที่ทราบกันอยู่แล้ว
แต่จำนวนเสียงยังไม่น่าไว้ใจ จะต้องเอาเข้าไปเพิ่มอีก จนเกินไป แต่ให้มีจำนวนมากพอ ที่จะมีกำลังต่อรองได้ ตัวเลขจะอยู่ที่ 30-40 เสียง
ถามว่ามีกลุ่มไหน ก๊วนไหนที่จะไปร่วมชะตากรรมกับพรรคประชาธิปัตย์ได้ ที่สำคัญ ใครจะเป็นคนนำเสียงเหล่านี้เข้าไป ซึ่งคนคนนี้ต้องไม่ธรรมดา
คนคนนี้ต้องมีศักยภาพ มีความสามารถ เป็นที่ยอมรับ ตลอดจนมีชั้นเชิงลูกเล่น รู้ทันเล่เหลี่ยมรู้ทันการเมือง ต้องมองเกมการเมืองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ที่ผ่านมา พรรคพลังประชาชน กับพรรคประชาธิปัตย์ ยืนกันคนละมุม การจะยกโขยงกันไปร่วม เพื่อจัดตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” นั้น เป็นการผิดหลักการประชาธิปไตย เพราะจะไม่มีฝ่ายที่จะมาทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล เป็นหูเป็นตาแทนประชาชนที่เลือกมาได้เลย
ยิ่งกว่านี้ การมีรัฐบาลแบบนี้ไม่แตกต่างไปจากรัฐบาลเผด็จการ จะแตกต่างกันก็เพียงเป็นเผด็จการของคนกลุ่มที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อข่าวปรากฏออกมาว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการสนับสนุนจาก “กลุ่มเพื่อนเนวิน” จึงก่อให้เกิดความแปลกประหลาดใจแก่คอการเมืองทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทุกท่านคงจะเข้าใจได้ ถ้าย้อนไปนึกถึงสัจธรรมทางการเมือง ถึงมิตร และศัตรูทางการเมือง ในตอนนี้พรรคเพื่อไทย จะมีใครบ้างที่สามารถจะ “เอา” คนในพรรคประชาธิปัตย์ให้อยู่ได้
เพราะรู้กันดีว่าคนในพรรคประชาธิปัตย์นี้ไม่ธรรมดา และยิ่งมีคนที่เคยเป็นระดับผู้จัดการตั้งรัฐบาลไปร่วมด้วย ยิ่งต้องคิดหนัก
เมื่อเข้าไปแล้ว ทำอย่างไร ไม่ให้คนในพรรคประชาธิปัตย์ขี่คอเอาได้ง่ายๆ
มีใครในพรรคเพื่อไทย ที่จะทำงานนี้ได้สำเร็จบ้าง ยิ่งพวกประเภทชอบทำตัวเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ เจ้ากี้เจ้าการ จนพรรคถูกยุบ จะรับมือไหวไหม
แน่นอนเหลือเกินว่า ใครก็ตามที่รับงานนี้ ต้องบอกว่า “งานเข้า” ทันที
คนคนนั้นจะต้องถูกสับอย่างไม่มีชิ้นดี ถูกดุด่าว่ากล่าวอย่างเสียๆ หายๆ ชนิดไม่มีความดีอะไรหลงเหลืออยู่เลย
เพราะฉะนั้นคนที่จะ ”จัดการ” ในเรื่องนี้ได้ ต้องมีความจริงใจ ประเภท ใจถึง พึ่งได้ ยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องประสบกับอะไรบ้าง
เพราะเรื่องบางเรื่องพูดไม่ได้ บางเรื่องไม่มีความจำเป็นต้องบอกต้องอธิบายความให้ใครรับรู้ด้วยเหมือนกัน เพราะพูดไป ถ้าเข้าใจก็ดีไป ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ต่างอะไรกับการสีซอให้ควายฟัง
ในเมื่อมองแล้วไม่เห็นใคร เพราะฉะนั้นคนที่จะมาจัดการเรื่องนี้ ต้องทำอย่างที่นักตะกร้อพูดกันว่า ต้อง “ชงเองกินเอง” ไม่ใช่เก่งอย่างเดียว แต่จะต้องกล้าด้วย
ถ้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ นั่นคือความภูมิใจ ที่สามารถปลดโซ่ตรวนของเผด็จการที่ผูกมัดประชาธิปไตยได้ มันยิ่งกว่าการปิดทองหลังพระเสียอีก
ถามว่าเมื่อ “ม็อบพันธมาร” ไม่ยอมให้แก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างที่ประกาศเอาไว้ มีการออกมาต่อต้าน จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์จะต้องจัดการเรื่องนี้
เป็นเรื่องที่ “พรรคประชาธิปัตย์” ในฐานะแกนนำรัฐบาล กับ ”ม็อบพันธมาร” ที่มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ จะต้อง ”วัด” กันเอง เพราะรัฐบาลได้ประกาศ ให้ประชาชนรับรู้โดยทั่วกันแล้วว่า จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ส่วนผลจะออกมาอย่างไร ก็ต้องคอยดูกันต่อไป แต่ดีกว่า...พอจะอ้าปากว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็มีพวกที่ต่อต้านออกมาเต็มถนนแล้ว ไม่ใช่หรือ