ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว
โดย *อัฐศิริ*
การเข้ามาฟื้นฟูกอบกู้ปัญหาของประเทศชาติ จากผลงานอัปยศของกลุ่มพันธมารที่สร้างความหายนะ โดยที่คนพวกนี้ยังลอยนวลอยู่ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำต้องรับศึกหนัก เพราะปัญหามีอยู่ทุกระดับ เกิดขึ้นทุกพื้นที่
พิสูจน์แล้วว่า การต่อสู้ที่ผ่านมาไม่ใช่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
แต่อ้างคำว่า “ประชาธิปไตย” เพื่อสร้างการครอบงำ เพื่อจะนำไปสู่ “การเมืองใหม่” ที่เตรียมการไว้แล้ว
เพราะฉะนั้น วันนี้ประชาธิปไตยจึงเหมือนเดินอยู่บนเส้นด้าย
ความหมายของคำว่าประชาธิปไตยนั้น หมายถึงการได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน การมีสิทธิเสรีภาพแบบเท่าเทียมกัน ไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น เคารพกฎหมายของบ้านเมือง
หากปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งมีอภิสิทธิ์เหนือคนอีกกลุ่มหนึ่ง สังคมก็จะอยู่ร่วมกันอย่างไม่มีความสุข ความขัดแย้งก็ยังคงมีอยู่ต่อไปไม่สิ้นสุด
นอกจากเรื่องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติแล้ว เรื่องภัยจากเศรษฐกิจ จะเป็นเรื่องพิสูจน์น้ำยาของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
แต่กระนั้นก็ต้องเผื่อใจไว้บ้างสำหรับความผิดหวัง เมื่อผู้รอบรู้ในทางธุรกิจ เศรษฐกิจ ออกมาพูดตรงๆ ว่า ทีมงานเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ ดูจะขี้เหร่ไปหน่อย แม้จะเอาความหล่อของนายกรัฐมนตรี ที่มาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจด้วยตัวเอง คนยังส่ายหน้า
ก็ต้องอยู่ที่ผลงานเท่านั้น อย่างยื่นหมดสิทธิ์เป็นตัวช่วย
การเมืองของไทยที่ผ่านมา ดูเหมือนว่า ประชาชนถูกลดความสำคัญลงให้เป็นแค่กองเชียร์ ทำหน้าที่เชียร์คนหรือนักการเมืองที่มีภาพลักษณ์ที่ตัวเองชื่นชอบ แต่ลืมไปว่าตัวเองเป็น “เจ้าของอำนาจ” จึงไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรที่เราจะไปทุ่มเทชีวิตจิตใจ เพื่อจะเชียร์ใครคนใครคนหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา เมื่อเทียบกับสิ่งที่ประเทศชาติจะได้รับ
ปัญหาประเทศไทยวันนี้ ต้องแยกแยะความสำคัญให้ชัดเจน
เรื่องปากท้อง เรื่องประชาธิปไตย เรื่องการเข้าร่วมรัฐบาล ตัวเลขที่น่าจะเป็นคือ 60:30:10
นั่นคือเรื่องของปากท้อง การมีงานทำ การมีรายได้ ต้องมาก่อนอย่างอื่น
ถ้ามีประชาธิปไตยจ๋า แต่ปากท้องยังอดอยากหิวโหย ก็ไม่พ้นต้องหันไป ลัก-วิ่ง-ชิง-ปล้น
ที่จะตามมาก็คือ “ปัญหา” ของสังคม
วันนี้ นักการเมืองต้องเปลี่ยนความคิดว่า เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาล มามีอำนาจแล้ว คิดแต่ว่า มาใหม่ต้องทำของใหม่ ส่วนของเก่าเอาทิ้งไป
วันนี้ทำอย่างนั้นไม่ได้แล้วครับ อะไรที่เป็น “ของดี” ก็อย่าให้ “เสียของ” สิ่งที่รัฐบาลเก่าทำไว้ดี ก็ต้องเอาไว้ แล้วพยายามหาทางต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น เพื่อความผาสุกของพี่น้องประชาชน แต่จะมีการเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม เพราะยังเขินๆ อยู่กับการที่จะเอาของเขามาทั้งดุ้น ก็ไม่ว่ากัน
สำคัญอยู่ที่การปฏิบัติและผลลัพธ์ที่จะออกมามากกว่า
วันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจในชุมชนในท้องถิ่นอยู่ในสภาพย่อยยับ ไหนจะมีคนที่ตกงานกลับบ้านเพิ่มมากขึ้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องกระตุ้น “เศรษฐกิจรากหญ้า” ให้ขับเคลื่อนไปให้ได้
ต้องมีการสร้างงาน สร้างรายได้ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างหลักประกันในอนาคต
ซึ่งนโยบายเร่งด่วนก็หนีไม่พ้นการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ มาตรการแก้ปัญหาการส่งออก การปัญหาการท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสนามบินของกลุ่มพันธมารม็อบโกเต๊กซ์ ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ เช่นข้าว ข้าวโพด ยาง ปาล์ม การปัญหาการว่างงานที่รุนแรงขึ้น รวมถึงการเรียนฟรี การรักษาฟรี
ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นปัญหาหนักอกของรัฐบาลนี้ มีอยู่ไม่กี่เรื่อง คือ
1 การสร้างความเชื่อถือเชื่อมั่นในระดับนานาชาติ เมื่อฝ่ายต่างประเทศของ “ม็อบโกเต๊กซ์” ที่มีดีกรีเป็นถึงอดีตทูต ถูกจับมาวางเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คนนี้แหละที่ขึ้นเวที “ม็อบโกต๊กซ์” ในระดับแถวหน้า ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ มองว่าการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นข่าวไปทั่วโลก เพราะได้สร้างความเดือดร้อนให้ชาวต่างชาติ เป็นเรื่องสนุก เป็นความประทับใจ ความทรงจำที่ดีงาม
2. การสร้างความสมานฉันท์บนความแบ่งแยกกันชัดเจนของคนในประเทศ
3.การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เกิดความรุนแรงขึ้นมาต้อนรับรัฐบาลใหม่
ในสถานการณ์แบบนี้ ผู้รู้ทางด้านเศรษฐกิจเห็นว่า รัฐบาลสามารถนำเงินมาใช้จ่ายได้ เพราะการบริหารแบบขาดดุลงบประมาณ สามารถนำเงินมาใช้ได้ไม่เกิน 4 แสนล้านบาท ขณะนี้ รายได้ตกลงไป 1 แสนล้านบาท ยังเหลืออยู่ 3 แสนล้านบาท
หากรัฐบาลนี้สานต่องานจากรัฐบาลเดิมต่อ และเติมโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ก็เชื่อว่ายังมีงบประมาณที่พอเพียงที่จะนำมาจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่แรงงานที่ว่างงาน
นั่นคือ รัฐบาลจะต้องใส่เงินชดเชยเพิ่มเข้าไปในระบบทดแทนกำลังซื้อที่หายไป มีนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลาย ซึ่งการใช้เงินของภาครัฐมีผลต่อสภาพทางเศรษฐกิจ เชื่อว่ารัฐบาลนี้ทำงานได้ง่ายกว่าวิกฤติ ปี 2540
โดยสามารถใช้นโยบายประชานิยมได้ ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี เพราะทำให้เงินเข้าถึงประชาชนรากหญ้ามากที่สุด ซึ่งคนกลุ่มนี้จะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบ และเกิดการใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนรากหญ้า โดยเฉพาะในภาคอีสานและภาคเหนือ มีความรักและความศรัทธาในตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นอย่างสูง
นั่นเป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ความสำคัญกับคนรากหญ้า
นโยบายประชานิยมหลายเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ช่างโดนใจคนรากหญ้าเป็นอย่างมาก จึงเป็นเหตุให้ระบอบทักษิณสามารถหยั่งรากฝังลึกเข้าไปอยู่ในจิตใจของคนรากหญ้าได้อย่างมั่นคงและยาวนาน จนยากที่พรรคการเมืองอื่นๆ จะสามารถแทรกซึมเข้าไปแทนที่ในจิตใจของพวกเขาเหล่านั้นได้โดยง่ายดาย
แต่วันนี้ประชาชนคนยากคนจน ผู้ด้อยโอกาสต้องหน้าซีดเซียวไปตามๆ กัน เพราะข้าวของที่แพงขึ้น ค่าครองชีพที่สูงขึ้น การขยายระยะเวลา 6 มาตรการ 6 เดือน ออกไปอีก 6-12 เดือน จะช่วยลดภาระบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้ในระดับหนึ่ง
เห็นด้วยว่าจะต้องขยายระยะเวลาน้ำประปา ไฟฟ้า รถเมล์ รถไฟ ฟรีออกไปอีก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน มาช่วยเหลือประชาชนที่กำลังประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ และเดือดร้อนจากภาวะการตกงานที่เกิดขึ้น เพราะเรื่องขวัญและกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ
ก็ต้องมาดูว่า โครงการต่อไปนี้เกิดเป็นรูปธรรมจริงจังหรือไม่อย่างไร
นโยบายที่มาต่อยอดซึ่งเป็นประโยชน์กับประชาชนในยามนี้คือ กองทุนหมู่บ้าน ธนาคารประชาชน โครงการ SML เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ กองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพอิสระสวัสดิการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
ที่ต้องติดตามและจับตาคือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม ซึ่งจะทำให้สังคมเกิดสันติสุขอย่างแท้จริง และ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ยังมีกระแสการคัดค้านต่อต้าน
เพราะนี่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เป็นรัฐบาลเพื่อประชาชน หรือรัฐบาลเพื่อใครกันแน่