ที่มา ประชาทรรศน์
‘เดอะตู่’ เรียกร้อง ‘รัฐบาลอภิสิทธิ์’ จี้ปลดฟ้าผ่าเจ้ากระทรวงบัวแก้ว เหตุสร้างความอับอายไปทั่วโลก หลังโดดป้องม็อบชั่ว-ชื่อชมพันธมารเหตุบุกยึดสนามบิน! ลั่นเดินหน้าซักฟอกในสภาฯ ขู่ฟอด! ‘คนเสื้อแดง’ พร้อมขัดขวาง ส.ส.ร่วมแถลงนโยบายรัฐบาล 29 ธ.ค.นี้ ด้านนายกฯทำมึนไม่รู้ดอดไปจ้อแบบไหน ย้ำดำเนินคดียึดสนามบินต้องเอาหลักฐานมาโชว์
จากกรณีที่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้ให้แถลงต่อบรรดาทูตต่างประเทศประจำประเทศไทยและผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ว่าการที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง เป็นเรื่องที่สนุก เพราะอาหารก็อร่อย แถมดนตรีก็เยี่ยม พร้อมทั้งกล่าวปกป้องกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าอยากขอให้คณะทูตมองกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าเป็นการผลักดันกระบวนการความเป็นประชาธิปไตยของไทยไปข้างหน้านั้น
ต่อเรื่องดังกล่าว วันนี้ (23 ธ.ค.) นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พิจารณาปลดนายกษิตออกจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ซึ่งตนเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะถือว่าการบุกยึดสนามบินทั้ง 2 แห่ง เป็นการทำร้ายคนไทยทั้งประเทศ โดยหากนายกรัฐมนตรีไม่ดำเนินการใดๆ ก็จะถือว่เห็นด้วยกับการบุกยึดสนามบิน
ทั้งนี้ นายจตุพร สำทับอีกว่า กลุ่มคนเสื้อแดงจะเดินทางไปชุมนุมที่กระทรวงการต่างประเทศแทน ซึ่งในการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ตนก็จะขออภิปรายในเรื่องดังกล่าว รวมทั้งเรื่องการหนีทหารของนายกรัฐมนตรีด้วย
นอกจากนี้ นายจตุพร ยังกล่าวถึงการจัดรายการความจริงวันนี้สัญจร ภาคสนามหลวง ในวันที่ 28 ธ.ค.นี้ ว่า แกนนำ นปช.กำลังหารือกันว่าจะนำกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางไปปิดล้อมรัฐสภาในคืนวันดังกล่าวเลยหรือไม่ แต่ยืนยันว่าจะไม่มีการขัดขวางไม่ให้ ส.ส.เข้าร่วมประชุมสภาในวันที่ 29 ธ.ค.นี้ และจะไม่บุกยึดรัฐสภาอย่างแน่นอน แต่ต้องการแสดงให้เห็นว่าการได้อำนาจในการปล้นประชาธิปไตยของรัฐบาลเป็นความไม่ชอบธรรมแล้วประชาชนรับไม่ได้
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายยังได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศของนายกษิต ภิรมย์ เพราะก่อนหน้านี้นายกษิตได้เคยกล่าวปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ พร้อมกับปราศรัยโจมตีรัฐบาลในกรณีการลงนามแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่สนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช
โดยครั้งนั้นนายกษิต ระบุว่ารัฐบาลชุดนายสมัครเป็นต้นเหตุให้ประเทศไทยเสียดินแดนให้กับประเทศกัมพูชาเพิ่มเติม และต่อว่าประเทศกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง และได้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ กระทั่งความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นมีการปะทะกันระหว่างทหารไทย-กัมพูชา
ก่อนหน้านี้ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ตอบโต้กรณีที่นายกษิตเคยกล่าวโจมตีรัฐบาลของนายสมัคร และรัฐบาลชุดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ โดยเฉพาะกรณีปราสาทเขาพระวิหารนั้น เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดความบาดหมางและกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นที่ทราบดีว่าการปราศรัยด้วยถ้อยคำเหล่านั้นเป็นความพยายามดิสเครดิตของรัฐบาล โดยเอาความรักชาติมาเป็นเครื่องมือต่อกร
ทั้งนี้ ในเมื่อนายกษิตได้ขึ้นมาเป็น รมว.ต่างประเทศในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอธิบายข้อสงสัย 2 ประการต่อสาธารณะ คือ 1.การกล่าวปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯเพื่อโจมตีรัฐบาลเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร จนเป็นเหตุให้เกิดกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 2.ต้องอธิบายต่อชาวยุโรปถึงการสนับสนุนให้กลุ่มพันธมิตรฯยึดท่าอากาศยานนานาชาติ เพราะได้เข้ามาเป็น รมว.ต่างประเทศ ในรัฐบาลชุดนี้
'มาร์ค'ทำมึนป้อง'กษิต'ไม่รู้พูดแบบไหน
วันเดียวกันนี้หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาลเสร็จสิ้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงว่าตนได้เรียนแล้วถึงนโยบายของรัฐบาลคือการรักษากฎหมายดังนั้นการกระทำใดๆที่เกี่ยวข้องกับการปิดสนามบิน ก็ต้องไปนำเอาข้อเท็จจริงออกมา และเจ้าหน้าที่ก็ต้องดำเนินการตรงไปตรงมา ส่วนการแสดงความคิดเห็นของนายกษิตนั้นตนไม่แน่ใจว่าเป็นการตอบคำถามในคำถามใดหรือบริบทใด และในที่ประชุมครม.ตนได้เน้นย้ำไปแล้วว่าการแสดงความเห็น รัฐมนตรีทุกคนจะต้องคำนึงถึงนโยบายและจุดยืนของรัฐบาลที่กำหนดเป็นภาพรวม และถ้าไม่ปฎิบัติตามก็เป็นหน้าที่ตนที่จะต้องดำเนินการต่อไป
เมื่อถามว่าในเรื่องการสร้างความสมานฉันท์รัฐบาลจะสร้างความสมดุลอย่างไรในเรื่องความยุติธรรมระหว่างกลุ่มคนที่คิดต่างทางการเมืองนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนได้แสดงความเห็นไปในกรอบง่ายๆคือสิ่งที่สำคัญคือความยุติธรรมๆมีสามส่วนคือ1.การจัดการเรื่องคดีความต่างๆที่ต้องใช้มาตรฐานเดียวกัน 2 สิ่งต่างๆที่มีความขัดแย้งและข้อเรียกร้องทางการเมืองซึ่งจะใช้กระบวนการในการปฎิรูปการเมืองที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างเป็นธรรม และ 3. ความยุติธรรมที่ประชาชนพึงจะได้รับจากการทำงานของรัฐบาลคือไม่มีการแบ่งภาค แบ่งฝ่าย
ต่อข้อถามว่าในเรื่องการปฎิรูปการเมืองจะต้องมีระยะเวลาหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดเวลา ซึ่งตนคิดว่าหัวใจสำคัญในการปฎิรูปการเมืองที่จะเริ่มต้นได้คือการได้บุคคลหรือองค์กรที่จะต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ไม่เช่นนั้นจะเริ่มต้นไม่ได้ ซึ่งต้องหาตรงนี้ และเมื่อได้ตัวบุคคลแล้วกระบวนกรอบเวลาก็ต้องว่ากันอีกครั้ง