ที่มา ข่าวสด
รายงานพิเศษ
การชุมนุมประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นข่าวใหญ่ในต่างประเทศ
การปะทะ การก่อการร้ายโดยไอ้โม่ง ที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต ซึ่งมีทั้งผู้สื่อข่าวต่างชาติ นักท่องเที่ยว รวมไปถึงคนไทยด้วยกันเอง
วันนี้ข่าวการชุมนุมจึงเป็น "ประเด็นร้อน" ให้คนทั่วโลกจับตามองอย่างใกล้ชิด
สื่อหลายสำนักส่งนักข่าว ช่างภาพ เข้ามาเกาะติดสถานการณ์รายงานเหตุการณ์ ที่ย่านราชประสงค์
นักข่าวหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ซึ่งมาพร้อมกับนักข่าวไทย ทำหน้าที่แปลภาษาและหาข่าว กล่าวว่า การหาข่าวของหนังสือพิมพ์นั้น มีกระบวนการคล้ายกับหนังสือพิมพ์ไทย ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นปฏิบัติกัน
คือการเก็บข้อมูลตามการแถลงข่าวหรือสัมภาษณ์โดยตรงทั้งจากผู้ชุมนุมและรัฐบาล โดยมุ่งเน้นให้พื้นที่ทั้งสองฝ่ายเท่าเทียมกัน นำเสนอแต่ข้อเท็จจริงโดยปราศจากความเห็น
นิวยอร์กไทมส์ หนังสือพิมพ์ทรงอิทธิพลของอเมริกา เน้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหน่วยราชการที่เชื่อถือได้และมีความเป็น กลาง โทรศัพท์สายตรง การบันทึกบทสัมภาษณ์
รวมถึงพิจารณาการลงข่าวที่มีความสุ่มเสี่ยง ด้วยการอ่านบทวิเคราะห์จากนักวิชาการทั้งจากไทยและต่างประเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจเผยแพร่ข่าว แต่ไม่เน้นประจักษ์พยานและข่าวลือที่ไม่มีหลักฐานยืนยันเพราะอาจคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง
"นโยบายของนิวยอร์กไทมส์ คือผู้สื่อข่าวไม่มีสิทธิแสดงความคิดเห็นทั้งในข่าวและเป็นการส่วนตัว ไม่ว่ากรณีใดๆ เราเพียงแต่นำเสนอข้อเท็จจริงล้วนๆ ที่ได้มาจากทั้งสองฝ่ายในพื้นที่ข่าวใกล้เคียงกัน ซึ่งถือเป็นการเคารพสิทธิการรับรู้ข่าวสารของผู้อ่าน" นักข่าวอเมริกันกล่าว
นักข่าวคนเดียวกัน กล่าวต่อว่า หากนักข่าวเห็นเหตุการณ์ด้วยตาตนเองและมั่นใจในข้อเท็จจริง จะระบุชื่อของตัวเองกำกับข้อความในข่าว เพื่อรับผิดชอบกรณีเกิดความเสียหายตามมา
นอกจากนี้ นิวยอร์กไทมส์ ยังมีส่วนของข่าวและบทความวิเคราะห์ซึ่งแยกกันอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันความสับสนของผู้อ่าน
ด้าน ผู้สื่อข่าวอิสระจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของออสเตรเลีย ซึ่งใช้ชีวิตในประเทศไทยมากว่า 3 ปี กล่าวว่า หาข้อมูลข่าวมาจากเครือข่ายทางสังคมในอินเตอร์เน็ต อย่างเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือบล็อกของนักข่าวไทย ซึ่งเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษ
รวมถึงข้อความสั้นหรือเอสเอ็มเอสจากสำนักข่าวไทย และประจักษ์พยาน บางครั้งก็เดินทางมางานแถลงข่าวที่เวทีผู้ชุมนุมเสื้อแดง สัมภาษณ์แกนนำเพื่อนำข่าวไปเผยแพร่
"ผมไม่ใช้หน่วยงานราชการเป็นแหล่งข่าว เพราะหน่วยงานราชการไม่ให้ความสนใจสื่อท้องถิ่นอย่างผม และยังอ้างอุปสรรคเรื่องภาษามาบ่ายเบี่ยง ราชการเอาใจแต่สำนักข่าวใหญ่ๆ และไม่ชอบสื่อต่างชาติเพราะยิงคำถามจี้ใจดำ" ผู้สื่อข่าวอิสระกล่าว
สอบถามว่า ตรวจสอบความถูกต้องของข่าวหรือไม่ ผู้สื่อข่าวจากประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า จะสอบถามจากเพื่อนชาวไทย และนักข่าวต่างชาติที่มาทำข่าวด้วยกัน นอกจากนี้ยังอ่านความคิดเห็นจากเว็บบอร์ดเพื่อประกอบการตัดสินใจลงข่าวอีกด้วย
"กรณีโรงพยาบาลจุฬาฯ ที่ผู้ชุมนุมเสื้อแดงเข้ายึดครองพื้นที่นั้น ผมเห็นว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องเพราะถือเป็นการป้องกันตัวจากทหารที่แอบซ่อนตัวอยู่ในโรงพยาบาล รอเวลาสลายการชุมนุม" นักข่าวออสเตรเลียให้ความเห็น
และกล่าวต่อว่า การที่รัฐบาลประกาศเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย. เป็นเพียงการซื้อเวลา หลอกลวงผู้ชุมนุม เพราะเมื่อถึงเวลาหากรัฐบาลไม่ยุบสภาจริงก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ เนื่องจากแกนนำทั้งหมดคงถูก "เช็กบิล" ไปแล้ว
"ผมเห็นว่าการเลือกตั้งจะไม่เกิดขึ้นจริง และจะไม่มีใครสามารถหยุดรัฐบาลได้อีก เพราะการชุมนุมแต่ละครั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล การชุมนุมครั้งนี้ผู้สนับสนุนคนเสื้อแดงหมดเม็ดเงินไปจำนวนมาก ดังนั้น คงยากที่จะเสี่ยงด้วยวิธีเดิมอีกครั้ง" นักข่าวชาวออสเตรเลียกล่าวทิ้งท้าย
เคน นักข่าวจากสำนักข่าวชั้นแนวหน้าของญี่ปุ่น ระบุว่า นโยบายการเก็บข้อมูลของสำนักข่าวคือ การร่วมงานแถลงข่าว สัมภาษณ์ประจักษ์พยาน รวมทั้งติดตามข่าวสารจากทั้งแกนนำผู้ชุมนุมเสื้อแดงและรัฐบาล
รวมทั้งสำรวจทิศทางข่าวที่สื่อมวลชนท้องถิ่นรายงาน ทั้งนี้ มีการตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานราชการ การสอบถามแหล่งข่าวที่หลากหลายและจากสำนักข่าวไทย กรมประชาสัมพันธ์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องเที่ยงตรงที่สุด
"พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงความเห็นทางการเมือง และนักข่าวที่ดีก็ไม่ควรแสดงความคิดเห็นอยู่แล้ว นอกจากนี้ส่วนหนึ่งพวกเรายังเป็นสื่อต่างชาติที่ขาดความรู้ความเข้าใจอันลึกซึ้งในการเมืองของประเทศอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองในไทย ซึ่งมีประชาธิปไตยแบบไทยๆ เข้าใจยาก พวกเราจึงไม่ขอวิจารณ์" นายเคนกล่าว
เมื่อถามถึงกรณี นายฮิโร มูราโมโตะ นักข่าวรอยเตอร์ วัย 43 ปี ที่เสียชีวิตระหว่างรายงานข่าวทหารปะทะกับผู้ชุมนุมเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา
เคนให้ความเห็นว่าไม่คิดว่าเป็นการจงใจสังหารเพื่ออำพรางคดีแต่อย่างใด คิดว่าเป็นอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ ส่วนตัวตนได้รับข่าวที่นักข่าวญี่ปุ่นเสียชีวิตขณะรายงานข่าวในหลายประเทศอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก
ด้านความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่นในประเทศไทย เคน ระบุว่าปกติชาวญี่ปุ่นที่มาอาศัยในประเทศไทย มักอาศัยในย่านสีลมและราชประสงค์ซึ่งเป็นจุดที่เกิดการชุมนุมพอดี นักธุรกิจญี่ปุ่นหลายคนตื่นกลัว และถอนการลงทุนกลับประเทศทันที ที่ได้ยินข่าว และมีความเป็นไปได้ที่จะย้ายประเทศลงทุน
"คนญี่ปุ่นมักรู้จักย่านสีลม ย่านราชประสงค์ และเมื่อทราบข่าวว่ามีเหตุการณ์ชุมนุมและมีการปะทะอย่างรุนแรงในพื้นที่แถบนี้ก็จะตื่นตกใจกว่าปกติ ยิ่งเมื่อรัฐบาลไทยประกาศให้พื้นที่แถบนี้เป็นเขตเฝ้าระวังพิเศษ ก็ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวให้ชาวญี่ปุ่นขึ้นไปอีก" นายเคน ระบุ
เคน กล่าวด้วยว่า สื่อในประเทศไทยที่เผยแพร่เป็นภาษาญี่ปุ่นมีน้อย ทำให้ชาวญี่ปุ่นรู้สึกไม่ปลอดภัย
เมื่อถามถึงความเห็นในการเสนอข่าวของสื่อมวลชนต่างชาติโดยทั่วๆ ไป นำเสนอข่าวอย่างมีอคติหรือไม่ เคน ให้ความเห็นว่า ไม่ใช่สื่อต่างชาติทุกสื่อจะมีความเป็นกลาง ปราศจากอคติ
เนื่องจากสื่อมวลชนเองมีความรู้สึก มีความคิดเห็น และอาจสอดแทรกเข้าไปในข่าวสารของตนเองได้ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว
ดังนั้น ผู้บริโภคข่าวสารจึงไม่ควรสรุปว่าสื่อต่างชาติทุกสำนักเป็น กลางเพราะไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
แนวทางนำเสนอข่าวที่ดีที่สุดคือการเสนอข่าวทั้งสองข้างด้วยพื้นที่เท่าๆ กัน ด้วยข้อเท็จจริงซึ่งสามารถตรวจสอบได้
ทางด้าน ราเชล ฮาร์วี่ย์ ชาวอังกฤษ ผู้สื่อข่าวจาก สำนักข่าวบีบีซีในประเทศไทย กล่าวว่า การหาข้อมูลของนักข่าวบีบีซีก็คล้าย การหาข้อมูลของนักข่าวสำนักอื่น คือออกภาคสนามไปสัมภาษณ์แหล่งข่าวเอง
รวมถึงการฟังข้อมูลจากทั้งสองฝ่าย ทั้งทางฝ่ายรัฐบาล ผ่านทางแถลงข่าวโทรทัศน์ หรือรัฐ บาลเรียกสำนักข่าวเข้าไปชี้แจง
ฟังทางผู้ชุมนุมเสื้อแดง ผ่านการ สัมภาษณ์ในพื้นที่โดยตรงและเก็บข้อมูลจากเวทีปราศรัย นอกจากนี้ ยังสอบถามเหตุการณ์จากประจักษ์พยาน ต่อสายสัมภาษณ์เพิ่มเติมจากแกนนำหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง หากมีอุปสรรคด้านภาษาจะจัดหาล่ามมาช่วยแปล
มีการตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งด้วยการโทรศัพท์ตรวจสอบกับทางหน่วยราชการ หรือสอบถามแหล่งข่าวหลายแหล่ง และอ้างชื่อแหล่งข่าวในกรณีที่สุ่มเสี่ยง
เมื่อถามถึงกรณีสำนักข่าวต่างประเทศหลายฉบับรวมทั้งสำนักข่าวบีบีซี ลงข่าวเหตุการณ์วันที่ 28 เม.ย. ซึ่งเกิดเหตุปะทะระหว่างคนเสื้อแดง กองกำลังทหารและตำรวจ หน้าอนุสรณ์สถานจนเป็นเหตุให้ทหารนายหนึ่งเสียชีวิต
โดยบีบีซีรายงานสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจากการ "ยิงกันเอง"
ราเชล ซึ่งร่วมรายงานข่าวนี้ด้วย กล่าวว่า "ฉันเขียนในข่าวอย่างชัดเจนโดยใช้คำว่า "คาดการณ์ว่า" และตรวจสอบข้อมูลจากทางการทหารและตำรวจก่อนลงข่าวแล้ว ดังนั้น เนื้อข่าวจึงออกมาในลักษณะการคาดการณ์เพื่อแสดงความคืบหน้า ซึ่งหากมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงต่อไป"
ราเชล ยังกล่าวว่า แหล่งข่าวของเธอนอกจากจะเป็นผู้ชุมนุม และรัฐบาลโดยตรงแล้ว ยังอาจเป็นนักวิชาการชาวต่างประเทศ ที่จัดแถลงข่าวหรือจัดสัมมนาเรื่องนี้ แต่หากเป็นงานสัมมนาที่ใช้ภาษาไทย เธอจะให้ล่ามภาษาไทยช่วยแปลเหมือนการทำข่าวทั่วไป
สำนักข่าวบีบีซีมีนโยบายไม่อนุญาตให้นักข่าวออกความคิดเห็นทางการเมืองไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งในข่าวและเป็นการส่วนตัว ดังนั้น เธอจึงปฏิเสธที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับความเห็นที่มีต่อสถานการณ์ทางการเมืองทั้งหมดในไทย
สุดท้าย ราเชล เชื่อว่าประชาชนในประเทศไทยทุกฝ่ายจะตกลงกันได้โดยสันติวิธี
และหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายต่อไป
การปะทะ การก่อการร้ายโดยไอ้โม่ง ที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต ซึ่งมีทั้งผู้สื่อข่าวต่างชาติ นักท่องเที่ยว รวมไปถึงคนไทยด้วยกันเอง
วันนี้ข่าวการชุมนุมจึงเป็น "ประเด็นร้อน" ให้คนทั่วโลกจับตามองอย่างใกล้ชิด
สื่อหลายสำนักส่งนักข่าว ช่างภาพ เข้ามาเกาะติดสถานการณ์รายงานเหตุการณ์ ที่ย่านราชประสงค์
นักข่าวหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ซึ่งมาพร้อมกับนักข่าวไทย ทำหน้าที่แปลภาษาและหาข่าว กล่าวว่า การหาข่าวของหนังสือพิมพ์นั้น มีกระบวนการคล้ายกับหนังสือพิมพ์ไทย ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นปฏิบัติกัน
คือการเก็บข้อมูลตามการแถลงข่าวหรือสัมภาษณ์โดยตรงทั้งจากผู้ชุมนุมและรัฐบาล โดยมุ่งเน้นให้พื้นที่ทั้งสองฝ่ายเท่าเทียมกัน นำเสนอแต่ข้อเท็จจริงโดยปราศจากความเห็น
นิวยอร์กไทมส์ หนังสือพิมพ์ทรงอิทธิพลของอเมริกา เน้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหน่วยราชการที่เชื่อถือได้และมีความเป็น กลาง โทรศัพท์สายตรง การบันทึกบทสัมภาษณ์
รวมถึงพิจารณาการลงข่าวที่มีความสุ่มเสี่ยง ด้วยการอ่านบทวิเคราะห์จากนักวิชาการทั้งจากไทยและต่างประเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจเผยแพร่ข่าว แต่ไม่เน้นประจักษ์พยานและข่าวลือที่ไม่มีหลักฐานยืนยันเพราะอาจคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง
"นโยบายของนิวยอร์กไทมส์ คือผู้สื่อข่าวไม่มีสิทธิแสดงความคิดเห็นทั้งในข่าวและเป็นการส่วนตัว ไม่ว่ากรณีใดๆ เราเพียงแต่นำเสนอข้อเท็จจริงล้วนๆ ที่ได้มาจากทั้งสองฝ่ายในพื้นที่ข่าวใกล้เคียงกัน ซึ่งถือเป็นการเคารพสิทธิการรับรู้ข่าวสารของผู้อ่าน" นักข่าวอเมริกันกล่าว
นักข่าวคนเดียวกัน กล่าวต่อว่า หากนักข่าวเห็นเหตุการณ์ด้วยตาตนเองและมั่นใจในข้อเท็จจริง จะระบุชื่อของตัวเองกำกับข้อความในข่าว เพื่อรับผิดชอบกรณีเกิดความเสียหายตามมา
นอกจากนี้ นิวยอร์กไทมส์ ยังมีส่วนของข่าวและบทความวิเคราะห์ซึ่งแยกกันอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันความสับสนของผู้อ่าน
ด้าน ผู้สื่อข่าวอิสระจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของออสเตรเลีย ซึ่งใช้ชีวิตในประเทศไทยมากว่า 3 ปี กล่าวว่า หาข้อมูลข่าวมาจากเครือข่ายทางสังคมในอินเตอร์เน็ต อย่างเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือบล็อกของนักข่าวไทย ซึ่งเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษ
รวมถึงข้อความสั้นหรือเอสเอ็มเอสจากสำนักข่าวไทย และประจักษ์พยาน บางครั้งก็เดินทางมางานแถลงข่าวที่เวทีผู้ชุมนุมเสื้อแดง สัมภาษณ์แกนนำเพื่อนำข่าวไปเผยแพร่
"ผมไม่ใช้หน่วยงานราชการเป็นแหล่งข่าว เพราะหน่วยงานราชการไม่ให้ความสนใจสื่อท้องถิ่นอย่างผม และยังอ้างอุปสรรคเรื่องภาษามาบ่ายเบี่ยง ราชการเอาใจแต่สำนักข่าวใหญ่ๆ และไม่ชอบสื่อต่างชาติเพราะยิงคำถามจี้ใจดำ" ผู้สื่อข่าวอิสระกล่าว
สอบถามว่า ตรวจสอบความถูกต้องของข่าวหรือไม่ ผู้สื่อข่าวจากประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า จะสอบถามจากเพื่อนชาวไทย และนักข่าวต่างชาติที่มาทำข่าวด้วยกัน นอกจากนี้ยังอ่านความคิดเห็นจากเว็บบอร์ดเพื่อประกอบการตัดสินใจลงข่าวอีกด้วย
"กรณีโรงพยาบาลจุฬาฯ ที่ผู้ชุมนุมเสื้อแดงเข้ายึดครองพื้นที่นั้น ผมเห็นว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องเพราะถือเป็นการป้องกันตัวจากทหารที่แอบซ่อนตัวอยู่ในโรงพยาบาล รอเวลาสลายการชุมนุม" นักข่าวออสเตรเลียให้ความเห็น
และกล่าวต่อว่า การที่รัฐบาลประกาศเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย. เป็นเพียงการซื้อเวลา หลอกลวงผู้ชุมนุม เพราะเมื่อถึงเวลาหากรัฐบาลไม่ยุบสภาจริงก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ เนื่องจากแกนนำทั้งหมดคงถูก "เช็กบิล" ไปแล้ว
"ผมเห็นว่าการเลือกตั้งจะไม่เกิดขึ้นจริง และจะไม่มีใครสามารถหยุดรัฐบาลได้อีก เพราะการชุมนุมแต่ละครั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล การชุมนุมครั้งนี้ผู้สนับสนุนคนเสื้อแดงหมดเม็ดเงินไปจำนวนมาก ดังนั้น คงยากที่จะเสี่ยงด้วยวิธีเดิมอีกครั้ง" นักข่าวชาวออสเตรเลียกล่าวทิ้งท้าย
เคน นักข่าวจากสำนักข่าวชั้นแนวหน้าของญี่ปุ่น ระบุว่า นโยบายการเก็บข้อมูลของสำนักข่าวคือ การร่วมงานแถลงข่าว สัมภาษณ์ประจักษ์พยาน รวมทั้งติดตามข่าวสารจากทั้งแกนนำผู้ชุมนุมเสื้อแดงและรัฐบาล
รวมทั้งสำรวจทิศทางข่าวที่สื่อมวลชนท้องถิ่นรายงาน ทั้งนี้ มีการตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานราชการ การสอบถามแหล่งข่าวที่หลากหลายและจากสำนักข่าวไทย กรมประชาสัมพันธ์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องเที่ยงตรงที่สุด
"พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงความเห็นทางการเมือง และนักข่าวที่ดีก็ไม่ควรแสดงความคิดเห็นอยู่แล้ว นอกจากนี้ส่วนหนึ่งพวกเรายังเป็นสื่อต่างชาติที่ขาดความรู้ความเข้าใจอันลึกซึ้งในการเมืองของประเทศอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองในไทย ซึ่งมีประชาธิปไตยแบบไทยๆ เข้าใจยาก พวกเราจึงไม่ขอวิจารณ์" นายเคนกล่าว
เมื่อถามถึงกรณี นายฮิโร มูราโมโตะ นักข่าวรอยเตอร์ วัย 43 ปี ที่เสียชีวิตระหว่างรายงานข่าวทหารปะทะกับผู้ชุมนุมเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา
เคนให้ความเห็นว่าไม่คิดว่าเป็นการจงใจสังหารเพื่ออำพรางคดีแต่อย่างใด คิดว่าเป็นอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ ส่วนตัวตนได้รับข่าวที่นักข่าวญี่ปุ่นเสียชีวิตขณะรายงานข่าวในหลายประเทศอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก
ด้านความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่นในประเทศไทย เคน ระบุว่าปกติชาวญี่ปุ่นที่มาอาศัยในประเทศไทย มักอาศัยในย่านสีลมและราชประสงค์ซึ่งเป็นจุดที่เกิดการชุมนุมพอดี นักธุรกิจญี่ปุ่นหลายคนตื่นกลัว และถอนการลงทุนกลับประเทศทันที ที่ได้ยินข่าว และมีความเป็นไปได้ที่จะย้ายประเทศลงทุน
"คนญี่ปุ่นมักรู้จักย่านสีลม ย่านราชประสงค์ และเมื่อทราบข่าวว่ามีเหตุการณ์ชุมนุมและมีการปะทะอย่างรุนแรงในพื้นที่แถบนี้ก็จะตื่นตกใจกว่าปกติ ยิ่งเมื่อรัฐบาลไทยประกาศให้พื้นที่แถบนี้เป็นเขตเฝ้าระวังพิเศษ ก็ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวให้ชาวญี่ปุ่นขึ้นไปอีก" นายเคน ระบุ
เคน กล่าวด้วยว่า สื่อในประเทศไทยที่เผยแพร่เป็นภาษาญี่ปุ่นมีน้อย ทำให้ชาวญี่ปุ่นรู้สึกไม่ปลอดภัย
เมื่อถามถึงความเห็นในการเสนอข่าวของสื่อมวลชนต่างชาติโดยทั่วๆ ไป นำเสนอข่าวอย่างมีอคติหรือไม่ เคน ให้ความเห็นว่า ไม่ใช่สื่อต่างชาติทุกสื่อจะมีความเป็นกลาง ปราศจากอคติ
เนื่องจากสื่อมวลชนเองมีความรู้สึก มีความคิดเห็น และอาจสอดแทรกเข้าไปในข่าวสารของตนเองได้ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว
ดังนั้น ผู้บริโภคข่าวสารจึงไม่ควรสรุปว่าสื่อต่างชาติทุกสำนักเป็น กลางเพราะไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
แนวทางนำเสนอข่าวที่ดีที่สุดคือการเสนอข่าวทั้งสองข้างด้วยพื้นที่เท่าๆ กัน ด้วยข้อเท็จจริงซึ่งสามารถตรวจสอบได้
ทางด้าน ราเชล ฮาร์วี่ย์ ชาวอังกฤษ ผู้สื่อข่าวจาก สำนักข่าวบีบีซีในประเทศไทย กล่าวว่า การหาข้อมูลของนักข่าวบีบีซีก็คล้าย การหาข้อมูลของนักข่าวสำนักอื่น คือออกภาคสนามไปสัมภาษณ์แหล่งข่าวเอง
รวมถึงการฟังข้อมูลจากทั้งสองฝ่าย ทั้งทางฝ่ายรัฐบาล ผ่านทางแถลงข่าวโทรทัศน์ หรือรัฐ บาลเรียกสำนักข่าวเข้าไปชี้แจง
ฟังทางผู้ชุมนุมเสื้อแดง ผ่านการ สัมภาษณ์ในพื้นที่โดยตรงและเก็บข้อมูลจากเวทีปราศรัย นอกจากนี้ ยังสอบถามเหตุการณ์จากประจักษ์พยาน ต่อสายสัมภาษณ์เพิ่มเติมจากแกนนำหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง หากมีอุปสรรคด้านภาษาจะจัดหาล่ามมาช่วยแปล
มีการตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งด้วยการโทรศัพท์ตรวจสอบกับทางหน่วยราชการ หรือสอบถามแหล่งข่าวหลายแหล่ง และอ้างชื่อแหล่งข่าวในกรณีที่สุ่มเสี่ยง
เมื่อถามถึงกรณีสำนักข่าวต่างประเทศหลายฉบับรวมทั้งสำนักข่าวบีบีซี ลงข่าวเหตุการณ์วันที่ 28 เม.ย. ซึ่งเกิดเหตุปะทะระหว่างคนเสื้อแดง กองกำลังทหารและตำรวจ หน้าอนุสรณ์สถานจนเป็นเหตุให้ทหารนายหนึ่งเสียชีวิต
โดยบีบีซีรายงานสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจากการ "ยิงกันเอง"
ราเชล ซึ่งร่วมรายงานข่าวนี้ด้วย กล่าวว่า "ฉันเขียนในข่าวอย่างชัดเจนโดยใช้คำว่า "คาดการณ์ว่า" และตรวจสอบข้อมูลจากทางการทหารและตำรวจก่อนลงข่าวแล้ว ดังนั้น เนื้อข่าวจึงออกมาในลักษณะการคาดการณ์เพื่อแสดงความคืบหน้า ซึ่งหากมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงต่อไป"
ราเชล ยังกล่าวว่า แหล่งข่าวของเธอนอกจากจะเป็นผู้ชุมนุม และรัฐบาลโดยตรงแล้ว ยังอาจเป็นนักวิชาการชาวต่างประเทศ ที่จัดแถลงข่าวหรือจัดสัมมนาเรื่องนี้ แต่หากเป็นงานสัมมนาที่ใช้ภาษาไทย เธอจะให้ล่ามภาษาไทยช่วยแปลเหมือนการทำข่าวทั่วไป
สำนักข่าวบีบีซีมีนโยบายไม่อนุญาตให้นักข่าวออกความคิดเห็นทางการเมืองไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งในข่าวและเป็นการส่วนตัว ดังนั้น เธอจึงปฏิเสธที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับความเห็นที่มีต่อสถานการณ์ทางการเมืองทั้งหมดในไทย
สุดท้าย ราเชล เชื่อว่าประชาชนในประเทศไทยทุกฝ่ายจะตกลงกันได้โดยสันติวิธี
และหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายต่อไป